23 December 2007

Democracy: What does it mean to you?

เอาล่ะครับ... ก็เป็นฤกษ์อันเหมาะสมที่จะบ่นเรื่องการเมืองการปกครองอีกสักครั้ง... (ที่จริงแอบแก้วันที่ post ให้ย้อนหลังไปเล็กน้อย)

ความจริงจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะผมก็ยังเอือมระอาและไม่อยากสนใจการเมือง อย่างที่เคยบอกใน My (long-belated) take on politics อยู่นั่นแหละครับ

เรื่องที่ดูน่าคุยกว่าหน่อยน่าจะเป็นรัฐศาสตร์มากกว่า...

อืมม... แต่ถึงผมจะบ่นว่าเบื่อ เกลียด ไม่อยากยุ่งกับการเมืองยังไง วันนี้ผมก็ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนะครับ (แล้วก็ไม่ได้กาช่องงดออกเสียง) (ถึงแม้จะลืมไปเลือกสมาชิกสภาเทศบาลก็ตาม)

แต่ว่าที่ไปเลือกนั้น จะว่าทำด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยอันแรงกล้าใด ๆ นั้น หามิได้แล้วล่ะครับ

ตอนนี้ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับผม เป็นเพียงหน้าที่ที่ยอมทำในฐานะที่อยู่ในสังคมที่เชื่อและยึดมันเป็นหลักในการปกครองเท่านั้นเอง

ประเด็นนี้ ส่วนใหญ่ก็พูดถึงแล้วใน post ที่อ้างถึงข้างต้น... จะพยายามไม่พูดซ้ำแล้วกัน...


เรามาดูคำถามประจำวันนี้ที่ผมอยากจะตั้งกันดีกว่าครับ

สำหรับคุณ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

ผมเข้าใจว่าสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย และสำหรับหลาย ๆ ฝ่ายในประเทศตอนนี้ ประชาธิปไตยหมายถึงการเลือกตั้ง เพื่อแสดงเสียงข้างมากของประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาล

แต่จากมุมมองที่เป็นสากลกว่านี้หน่อย ประชาธิปไตย คงหมายถึงการรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ

สำหรับชาวตะวันตกจำนวนมาก เสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น เป็นแกนหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย ที่จะขาดไม่ได้

ในขณะที่ ณ ที่อื่นในโลก มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะบ่อนทำลายประชาธิปไตยในแบบที่ถือกันอยู่

สำหรับบางคนในอิรัก ประชาธิปไตยอาจเป็นคำคำหนึ่งที่มีใครก็ไม่รู้พยายามยัดเยียดให้ พร้อม ๆ กับทำให้ชีวิตของเขาพังทลายไป

แต่ก็น่าเชื่อว่า สำหรับอีกหลายคน การได้มาซึ่งประชาธิปไตย หมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริง ๆ


สำหรับผมตอนนี้ คำว่าประชาธิปไตย เหมือนเป็นแฟชั่นที่ใคร ๆ ต่างก็พยายามจะอ้างถึง โดยที่ลึก ๆ แล้ว จะมีสักกี่คนที่เข้าใจหลักการและความหมายที่แท้จริง ก็ไม่ทราบ

ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ ว่าตกลงประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นควรจะหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้อยากจะพูดถึงคำตอบแรกที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งของ กกต.ผ่านทางโทรทัศน์ พอได้ยินท่อนสุดท้ายในเพลงประกอบที่ว่า "เข้าคูหากากบาทสร้างประชาธิปไตย" ผมก็อดสงสัยไม่ได้ครับ ว่ากากบาทมันมีความวิเศษอะไรที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาได้

แต่นอกจากประเด็นที่ว่าข้อความดังกล่าวอาจจะส่งเสริมให้คนมองประชาธิปไตยผิวเผินแค่การเลือกตั้งนั้น ก็คงเถียงไม่ได้หรอกครับ เพราะการเลือกตั้งมันก็เป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยที่เราถือกันอยู่จริง ๆ

และก็คงเป็นอย่างที่พี่ก้อนอ้างถึงคำกล่าวว่า การโหวต ก็เหมือนเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นนั่นแหละครับ

ผมแค่ไม่อยากให้มันจำเป็นอย่างที่ว่า

เพราะหลักการยึดเสียงข้างมาก นอกจากจะดูขัดกับหลักความเท่าเทียมของบุคคล อย่างที่ผมกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองความสัมพันธ์แบบ lose-win อย่างชัดเจน

Lose-win ก็คือ ไม่เธอก็ฉันคนใดคนหนึ่งจะต้องแพ้ อีกคนถึงจะชนะได้

ไม่เป็นการคิดแบบ win-win ที่จะเป็นการหาทางออกที่ดีที่สุดที่จะเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

การหาคำตอบด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างเดียว จึงสื่อให้เห็นถึงความไม่สามารถที่จะสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้

และถึงแม้ว่าความไม่สามารถสื่อสารกันนั้น จะเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่โตในสังคมที่เราอาศัยอยู่ และคงจะทำให้ voting เป็น necessary evil จริง ๆ นั้น

อย่างน้อย... อย่างน้อยในชีวิตประจำวัน... ถ้าเราต่างพยายามเริ่มด้วยการ พูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ก็น่าจะทำให้เกิดอะไรดี ๆ ขึ้นได้?


แล้วสำหรับคุณล่ะครับ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

1 December 2007

1 December 2007

วันนี้ (วันที่ 1 ตอนเริ่มเขียน) มีเรื่องให้กล่าวถึงหลายเรื่องทีเดียว... ก็เลยจะขอแยกพูดถึงเป็นหัวข้อ ๆ แล้วกันนะครับ

World AIDS Day 2007

บางคนอาจจะสังเกต ว่าปีที่ผ่าน ๆ มาผมจะติดริบบิ้นสีแดงในสัปดาห์ก่อนวันเอดส์โลก (1 ธันวาคม) จนเกือบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่วนบุคคลอย่างหนึ่งไปแล้ว ซึ่งปีนี้อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์วันเอดส์โลกที่จะมาถึงอย่างได้ผลระดับหนึ่ง เพราะเกือบทุกคนที่เจอหน้ากันสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนถามว่าติดทำไม (สำเร็จ... 55+)

เรื่องความเข้าใจ เห็นใจผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อ HIV นี้ ผมเคยพูดกับเพื่อน ๆ อยู่หลายครั้ง ว่าการจะแก้ stigma เปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อของสังคมนั้นมันยากแค่ไหน ขนาดเราเองที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่เรียนอยู่โดยตรง ถึงจะรู้ดีแค่ไหน ก็ยังกลัว ยังหวาดจนเกินความพอดีอยู่ไม่น้อย เวลาที่ทำงานกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV

ช่วงเดือนที่แล้ว ผมและเพื่อน ๆ ในกลุ่มได้ปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยวชิราวุธล่าง ซึ่งก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV จำนวนไม่น้อย (เกือบ 50% ในบางช่วง) และในการปฏิบัติงานนั้นก็มีการทำหัตถการที่ต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมพบคือ ความกลัวที่ว่านั้น พอทำงานไปพักหนึ่งมันเริ่มชิน เริ่มลืมที่จะกลัวครับ (จนบางครั้งก็ยังต้องคอยเตือนตัวเองเรื่อง precaution อยู่) พอความกลัวเริ่มลดลง ก็เริ่มมีที่ให้กับความเห็นอกเห็นใจ และที่สำคัญ คือความหวัง ที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องตายสถานเดียวเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จะมีโอกาสดำรงชีวิตที่มีคุณภาพได้ในสังคม

แต่ [keyword] ก็คือสังคมนั่นเอง

ช่วยกันนะครับ ทุกคน

(ที่ว่ามาว่าการรักษามันดีขึ้น ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ความป้องกันสำคัญน้อยลงนะครับ ในทางตรงข้าม การตระหนักถึงอันตรายนี้เป็นสิ่งที่สังคมเรากำลังสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว... ขอให้ช่วยกันอีกข้อ... นะครับ)

ป.ล. ทีแรกว่าจะพูดถึง compulsory license ด้วย... แต่ขี้เกียจละ

สอบภาษาอังกฤษ (CU-TEP) ภาษาไทย คอมพิวเตอร์ สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 4

คณะเราส่วนเอนทรานซ์+โอลิมปิกวิชาการ ก็มีอยู่เกือบร้อยเก้าสิบคน สมัครมาสิบกว่าคน ปรากฏว่าไปสอบกัน 5 คน - -'... แต่ก็ได้มาเจอเพื่อน ๆ โครงการกับพี่นิวแทรคที่โดนบังคับ (?) มาสอบ

สอบครั้งนี้สอบที่อาคารจุฬาพัฒน์ 4 ห้อง 421 ทีแรกก็เอ๋อไปเหมือนกัน ว่า จุฬาพัฒน์นี่มันอยู่ส่วนไหนของจุฬาฯ เนี่ย เปิดไปเปิดมาปรากฏว่ามันคือห้องเรียนวิชา Human Relations ตอนปี 1 นั่นเอง ก็เลยได้ไปทานข้าววิทย์กีฬารำลึกความหลังเมื่อยังเยาว์วัย (ทำไมมันเหมือนน้านนนน นานมาแล้วนะ?)

พูดถึง... เพิ่งได้มีโอกาสอ่านป้ายตรงสวนหินอ่อนหน้าอาคารจุฬาพัฒน์ 7 (สำนักงานสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา)

นึก ๆ ดูก็ขำอยู่หน่อย... ตอนไปโรมเห็นเค้ามีของแบบนี้ที่เก่าสองพันปี ของเราเก่าร้อยปี

สอบ ก็... CU-TEP ก็ไม่มีอะไร เรื่อย ๆ (แต่ข้อ 100 โจทย์ผิดชัด ๆ) แต่ภาษาไทยนี่สิ... อ่าน-ฟัง-เขียน ไม่มีตัวเลือกสักข้อ ซีดเลย~ ยิ่งตอนที่ให้เขียนบทความนี่... เขียนอะไรก็ไม่รู้ที่นึกได้เกี่ยวกับหัวข้อที่ให้ไป โดยไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถทางภาษาไทยแม้แต่น้อย

ส่วนสอบคอมพิวเตอร์ ที่แต่ละคนต่างสงสัยกันว่าสอบยังไง... ปรากฏว่าข้อสอบนี่หลากหลายสุด ๆ... มาตอนแรกก็ถามวิธีใช้ Windows, Microsoft Office ทั่ว ๆ ไป พื้นฐานบ้าง [advanced] ขึ้นหน่อยบ้าง มากลาง ๆ เริ่มถามเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เน็ตเวิร์ค ฮาร์ดแวร์ จนถึงข้อ 80 กว่า ๆ (เต็ม 100) นี่เป็นเนื้อหาวิชาคอมพิวเตอร์ตอน ม.4-5 (ที่ลืมไปหมดแล้ว) ซะงั้น ทั้งเรื่องภาษา ระบบจัดการข้อมูล เล่นเอามึนไปเลย

เอาเถอะ... ถือว่าสอบขำ ๆ นี่เรายังห่างไกลการเรียนจบกว่าคนอื่นอีกกี่เท่าไม่รู้ (เอ๊ะ แต่ผลสอบนี่มันลง transcript หรือเปล่านะ~ แย่แล้ว...)

รักแห่งสยาม

ทีแรกกะว่าเอาเป็นหัวข้อ blog post นี้ดูจะตามแฟชั่นเค้าหน่อย แต่อย่าเลย ไม่ได้มีอะไรจะพูดถึงเท่าไร

ก็เป็นว่า วันนี้ยังไงก็รอพ่อแม่มารับ แล้วก็ไม่อยากเสี่ยงรอถึงปลายเดือน (ความจริงความอดทนไม่มี) หลังสอบว่าง ๆ... อยู่แถวนั้นด้วย ก็เลยตัดสินใจไปดูมันเปลี่ยว ๆ คนเดียวนี่แหละ (ไม่รู้จะชวนใคร - เหมือนคนที่กะจะดูก็ดูกันหมดแล้ว)

ก็เหมือนเดิมแหละนะ วิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ไม่เป็น แต่ความรู้สึกที่ไปดูมาก็ว่า satisfying ดีมาก ๆ ถึงแม้จะมีประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่มากพอควรเลยทีเดียว (ความจริงดูหนังก็ไม่ค่อยจะเคยเข้าใจอะไรทันอยู่แล้ว)

แต่โรงหนังก็ยังเสียงดัง... มาก... แถมหนาวสุด ๆ อีก (น่ะนะ ก็ไม่ได้วางแผนอะไรก่อนไปดูเลยแม้แต่น้อย)

สรุป: ดี ๆ... ต้องรอทดสอบว่าถ้าดูซ้ำ (ไม่ดูในโรงหรอก) แล้วจะยังอยากดูรอบ 3 อีกหรือเปล่า...


มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่านะ... นึกไม่ออกละ จบแค่นี้แล้วกัน สวัสดีครับ