31 December 2008

ค่าโง่โทรศัพท์ - ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

Referring to: ค่าโง่โทรศัพท์ - เจอจนได้

ให้มันได้งี้...

แถมหมดตั้งแต่ 24 พ.ย. แล้ว เพิ่งจะรู้~

SMS เตือนก็ไม่มี

บ้าตาย

คราวนี้จะตั้ง reminder ไว้ละ

(คราวก่อนก็คิดแบบนี้ แต่ชีวิตไร้ระเบียบ ไม่ได้อัพเดทปฏิทินมาเป็นเดือน)

รู้สึก apathetic...


ส่วน blog ดองเค็มนี่... อื่ม... ที่จริงก็กะจะเขียนตั้งแต่เจ้าหนี้ทวงแล้วล่ะ แต่ตั้งแต่สอบเสร็จก็ยังไม่ได้เริ่มอยู่ดี

อารมณ์เดียวกับที่ไม่ได้เช็คโปรโมชั่นนั่นแหละ

...

Life --

23 October 2008

กระทรวงทำลายล้างเทคโนโลยีและปิดกั้นการสื่อสาร

ที่สุดก็อด quote th.uncyc ไม่ไหว

แต่ข่าวที่ออกมานี่ ("นายกฯ จี้ไอซีทีจัดการเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูง" สำนักข่าวไทย 2008-10-22) นี่มันช่างเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนจริง ๆ...

ว่าทั้งกระทรวงมีหน้าที่อยู่แค่นี้เอง


(กลับไปปั่น EBM ต่อ...)

16 October 2008

เอาอีกแล้ว... Mandate for the Internet Censorship Task force

Blognone (PaePae): ไอซีทีบล็อกบทความ "Bhumibol Adulyadej" บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ?

FACT นี่ก็ไม่ไหว... ไม่ทันข่าวอะไรกับเค้าบ้างเลย

ใครที่ไม่ได้ใช้เน็ต true หรือ จุฬาฯ หรือนนทรี ฯลฯ อาจมีปัญหาในการเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าว

แล้วไอ้หน้าปัญญาอ่อน นี่จะมีไว้ทำไม? มีหน้าจะเซ็นเซอร์ก็ redirect เข้าดวงตาพญามาร (ทำใจลิงก์ไป th.uncyc ไม่ได้) ให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ

ประเทศนี้...

เลิก ๆ ๆ

เลิก true

เลิกเน็ตจุฬาฯ (ยังรอว่าเมื่อไรจะเจอหน่วยงานอื่นของจุฬาฯ ทำงานห่วยกว่าสำนักไอที (ความจริงก็เวอร์ไป หลายหน่วยงานก็ห่วยพอกันทั้งนั้น))

เลิกประเทศไทย ไม่ไหวมั้ง ทำไจไปก่อนเหอะ

แม่ง...

(บรรทัดข้างบนมีความจำเป็นต้องไม่แก้เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ของผู้เขียน)

อย่าให้ต้องเขียนเรื่องหมิ่นฯ นะ...

เรื่องกระทรวงที่ริอาจคิดอยากจะสร้าง Great Firewall แต่ทำได้เผาเค้กวันเกิด (ทำใจ quote th.uncyc ไม่ได้อีกเหมือนกัน) นี่อีก...

ห่วยฉิบ

เอาเถอะ ผมจะช่วยบอกให้: พวกคุณลืมบล็อค The King Never Smiles ที่ Google Books น่ะ

เอาสิ ผมให้ลิงก์ตรงเลย แน่จริงก็บล็อคบล็อกผมสิ

จะได้รู้ว่าไม่มีอะไรสร้างสรรค์ทำแล้วจริง ๆ

เสียเวลาคนต้องอ่านหนังสือสอบ...


  • Wikipedia (วิกิพีเดีย) is a multilingual, Web-based, free content encyclopedia project (แปล: โครงการสารานุกรมออนไลน์หลายภาษาที่ไม่จำกัดสิทธิในการใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือแก้ไข) และเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการเข้าชมมากเป็นอันดับ 7 (สถิติจาก Alexa) ทั่วโลก
  • หนึ่งในเสาหลักห้าประการของวิกิพีเดียคือ "neutral point of view" หรือมุมมองที่เป็นกลาง และมีนโยบายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับ Biographies of living persons ซึ่งหมายความว่าการโจมตี ให้ร้าย หรือกล่าวถึงบุคคลในทางที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นประมาทนั้น จะทำไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับเด็ดขาด
  • ลักษณะเด่นของวิกิพีเดียคือผู้อ่านทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงทำลายล้าง... (oops) MICT) สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่ามีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ซึ่งการดูแลให้เนื้อหาของวิกิพีเดียมีความเป็นกลางข้างต้น ก็ขึ้นกับทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่ MICT) ที่มีสิทธิ์ร่วมแก้ไข
  • บทความ Bhumibol Adulyadej ได้รับเลือกเป็น featured article หรือบทความคัดสรร บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ หมายความว่าได้ผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาจากประชาคมแล้วแล้วว่าเป็นบทความคุณภาพที่มีความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง ซึ่งถึงจะพูดตรง ๆ ตามความเห็นของผมว่าหลังจากที่ได้รับเลือกแล้วหลายส่วนของบทความก็ลงเหวมาเรื่อย ๆ ก็ยังยากที่จะเข้าใจว่า...
  • ทำไม MICT ถึงเลือกที่จะปิดกั้นสายตาคนไทยไม่ให้สามารถเข้าไปแก้ไขสิ่งที่เป็นเท็จหรือไม่เหมาะสม (ถ้ามี) แต่กลับทิ้งไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้ โดยไม่คิดที่จะปรับปรุง? (หรือว่าจะเป็นเพราะความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ MICT (และคนไทย??? ← เอาอะไรมาบังคับความคิดของคนไทยทั้งประเทศ?) ต้องการ?)
  • ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ MICT จงใจบล็อคเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งน่าสนใจทีเดียวเมื่อพิจารณาข่าว เด็กฮิตท่องเน็ตดู"คลิปหลุด" - 86% เล่นเกม - แค่ 14% ศึกษา ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวานนี้ และรายงานการแถลงข่าวของปลัดกระทรวงศึกษาธิการตอนหนึ่งว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่เด็กและเยาวชนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เพราะสื่อการเรียนรู้ในอินเตอร์เน็ตมีไม่เพียงพอ และไม่มีทางเลือกที่หลากหลาย

เฮ้อ...ประเทศไทย

15 October 2008

14 ตุลา... ผ่านมา... แล้วก็ผ่านไป

พยายามจะอยู่ห่าง ๆ บล็อกแล้ว แต่ก็อดไม่ได้

14 ตุลา... ผ่านมา... แล้วก็ผ่านไป

ถูกลดความสำคัญไปเป็นแค่วันธรรมดา ๆ วันหนึ่งในประวัติศาสตร์... ที่ไม่ได้ฝากความสำคัญใด ๆ ไว้ในปัจจุบัน

เมื่อกี้พยายามหาบล็อกเอ็นทรีของใครก็ไม่ทราบที่เคยเห็นเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว แต่หาไม่เจอ เอ็นทรีนั้นเปรียบเทียบโดยเล่าประมาณว่ามีนกสองตัวแม่-ลูก อยู่บริเวณถนนราชดำเนินเมื่อสามสิบปีที่แล้ว แล้วลูกก็ถามแม่ว่าคนเค้าทำอะไรกัน แม่ก็บอกว่าอย่าดู เขาจะทำร้ายกัน แต่มันจะเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกเขา (คน) ที่เขาจะต้องเรียนรู้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เล่าถึงเมื่อสามสิบปีผ่านไป นกแก่สองตัวคุยกันอยู่ที่เดิม แล้วนกตัวหนึ่ง (ที่เป็นลูกนกเมื่อต้นเรื่อง) ก็พูดถึงว่า แม่พูดไว้ผิด เพราะพวกเขา (คน) ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย

ใครที่พอจะทราบ ก็ขอความกรุณาสงเคราะลิงก์ด้วยนะครับ

28 September 2008

ประเทศไทย~

ผมเพิ่งสังเกตอะไรบางอย่างจาก Google Maps...

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นพรมแดนประเทศได้ชัดเจนผ่านดาวเทียม!

พระเจ้าช่วย ตายละ... นึกถึงการ์ตูนมหาสนุกสักเรื่องที่เคยอ่านเมื่อนานมากมาแล้ว ที่เกี่ยวกับเจ้าหญิง (ทำนองนี้) ที่จะหนีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาประเทศไทย แล้วบอกว่ารู้ว่ามาถึงประเทศไทยแล้ว เพราะภูเขาลูกต่อไปไม่มีต้นไม้

ไม่นึกว่าจะจริงขนาดนี้

26 September 2008

On ads, rhythm and the BTS

ครับ หัวข้อนี้ที่จริงค้างมาเดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เขียนสักที จนชักน่ากลัวว่าจะเริ่มล้าสมัย ยังไงอาจจะต้องจินตนาการย้อนไปนิด คงไม่เป็นไรนะครับ

อยากจะพูดถึงเรื่องโฆษณา...

ปัจจุบันนี้ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสติดตามสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เท่าไรครับ (ห่างเหินกับกล่องสี่เหลี่ยมนั้นมากขึ้นทุกที)

ภาพยนตร์โฆษณาที่มีโอกาสได้เห็นส่วนใหญ่ก็จะเหลือแต่ที่ฉายบนสถานี/รถไฟฟ้า BTS เสียเท่านั้น

เพราะขนาดเพลง "เรื่องจริง" ของบอย(ด์) ที่ช่วงตอนอยู่ดมยา (วิสัญญี - ประมาณต้นเดือน ก.ค.) นับว่าได้ยินจากวิทยุในห้องผ่าตัดแทบจะทุกวัน วันละหลายครั้ง จนเกือบจะเอียน (แข่งกับ "เพื่อน" ที่ร้องใหม่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รัก สาม เศร้า) ผมยังเพิ่งจะทราบว่าเป็นเพลงประกอบโฆษณา Canon ก็ตอนที่เห็นอยู่ในอัลบั้ม Songs from Different Scenes #5 นี่เอง

ซึ่งเรื่อง SFDS นั่นก็ไม่ได้รู้มาจากไหน ก็โฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้านั่นแหละครับ

ความจริงเรื่องโฆษณาบนรถไฟฟ้า ชมรมหรี่เสียงกรุงเทพคงไม่เห็นด้วยเท่าไร

ซึ่งเรื่องเสียงดังนี่ผมก็เห็นด้วยอยู่เหมือนกันนะครับ แต่พูดไปก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าตัวกลายเป็น [hypocrisy] หรือเปล่า เพราะผมก็อาศัยโฆษณาเหล่านั้นเพื่อความบันเทิงเหมือนกัน (แต่ก็สังเกตอยู่ว่าระดับความดังมันฟังดูไม่ค่อยจะเสมอต้นเสมอปลายเอาเท่าไร)

เอาเถอะนะครับ ยังไงก็อยากจะขอพูดถึงโฆษณาที่เห็นช่วงที่ผ่านมา (บวกกับอีกเดือนเศษ) สักหน่อย

ผมชอบโฆษณา "50 ปี การไฟฟ้านครหลวง" ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MjCsCZb2VdE">Link</a>

ด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักการสร้างสรรค์สื่อโฆษณาแต่อย่างใด ก็จะไม่ขอวิจารณ์รายละเอียดนะครับ

นอกจากนี้ก็มีโฆษณาของธนาคารกสิกรไทย ที่ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายหรอกครับ เพียงผมรู้สึกว่าสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้คนดูจำได้ดีมาก (แต่จะกลายเป็นจำโฆษณาได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์หรือเปล่านี่ไม่ทราบนะครับ) ขนาดที่ผมเห็น trailer โฆษณาตัวอย่างภาพยนตร์ของจริงบางอันแล้วยังนึกว่าตอนจบจะเป็นโฆษณาธนาคารกสิกรไทย แต่ไม่ใช่เสียนี่

ส่วนโฆษณาที่น่ารำคาญที่สุด (ซึ่งจากการ google ดูคร่าว ๆ ผมว่ามีคนเห็นด้วยกับผมไม่น้อย) ก็คงไม่พ้นโฆษณาชุด "นามาฉะ นะมาชะ กรีนลาเต้" ครับ (อันนี้ไม่ต้องใช้ความรู้ด้านการสร้างสรรค์สื่อในการวิจารณ์)

ความน่ารำคาญนี่ไม่เกี่ยวกับข้อที่น่าสงสัยว่าทำไมถึงสะกดชื่อผลิตภัณฑ์แบบนั้น (เข้าใจว่าคงไม่เขียนตามเสียงอ่านว่า นามาฉะ แต่ทำไมถึงสะกดว่า นะมาชะ แทนที่จะเป็น นะมะชะ ถ้าจะถอดคำตามภาษาต้นแบบ?)

แต่นอกจากความน่ารำคาญโดยพื้นฐานที่ใครเห็นก็คงรู้สึกได้ (การทำหน้าบู้บี้แล้วพูดอะไรไม่รู้เรื่อง) ความไร้เหตุผลของแนวคิดของตัวโฆษณานี่ ผมว่าเกือบจะแย่กว่าด้วยซ้ำ

เพราะความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว Namacha คือชื่อผลิตภัณฑ์ green แปลว่าเขียว latte แปลว่ากาแฟใส่นม

รวมกันก็เป็น นามาฉะ กาแฟเขียว ไม่เห็นมีอะไรน่างงตรงไหนแม้แต่น้อย (นอกจากชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าอันนั้นเป็นปัญหาก็ไปเกิดใหม่เถอะ)

จะมา ชานามา เขียวแฟกา มาชานา แฟกาเขียว ฯลฯ ทำบ้าอะไร เพื่อ?

เลิกฉายไปนี่โล่งใจเวลาขึ้นรถไฟฟ้าขึ้นเยอะครับ (ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครคิดจะอัพโหลด)

ส่วนโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งที่ผมรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ คือโฆษณา "ทิปโก้ คูลฟิต" ชิ้นนี้ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=L8Tcge79cJE">Link</a>

ไม่แน่ใจว่าคนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมจะขออธิบายความรำคาญของผมดังนี้ครับ

ขอถอดจังหวะเพลงในโฆษณาให้ดูดังนี้ (โน้ตบรรทัดล่างไว้ให้เทียบนับจังหวะ)

อาจจะดูยุ่งเหยิงไปหน่อย แต่ประเด็นคือ สังเกตเนื้อหาของเพลงส่วนที่คล้ายกัน เช่น ช้อบชอบ ว่าตรงกับจังหวะที่ 7, 12, 20, 25 ตามลำดับ

ปัญหาก็คือไม่มีค่า a ใดที่ทำให้ (xia) มีค่าหารร่วมมากเป็นจำนวนเต็มที่มากกว่าหนึ่ง สำหรับ i∈{1,2,3,4} เมื่อ x คือหมายเลขจังหวะข้างต้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพยายามแบ่งห้องให้กับโน้ตเพลงข้างต้นแล้ว จะพบว่ามันแบ่งไม่ลงตัว

ต้องมีห้องประหลาดที่มีจังหวะเกินมา ถึงจะทำให้เพลงลงพอดีห้องได้

ความจริงผมเองก็ไม่เคยได้เรียนทฤษฎีดนตรีมาแต่อย่างใด และก็ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน This Is Your Brain on Music โดย Daniel J. Levitin (วันก่อนเห็น The World In Six Songs โดยผู้แต่งคนเดียวกันเพิ่งวางแผงที่ Kinokuniya) ก็ไม่ทราบว่าความเข้าใจของผมเหล่านี้จะถูกต้องแค่ไหน

แต่การที่องค์ประกอบของเพลงเพลงหนึ่งจะหารลงตัวได้นั้น ผมว่าสำคัญมากต่อความน่าพึงประสงค์ของเสียงที่จะเกิดขึ้นมา

ลองเปรียบเทียบ ช้อบชอบ ข้างต้น กับในเพลงนี้ของยุ้ย ญาติเยอะ ที่ถึงแม้ชื่อเพลงจะสะกดไม่เป็นภาษา แต่อย่างน้อยองค์ประกอบของเพลงก็หารลงตัว (สังเกตท่อนสร้อย ตั้งแต่ประมาณวินาทีที่ 60)

<a href="http://www.imeem.com/itums/music/qG9ObC1P/yui/">Link</a>

ฟังดูรื่นหูกว่าใช่ไหมครับ

อีกตัวอย่างหนึ่ง (ที่อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไร แต่หาเรื่องโพสท์) คือ Potter Puppet Pals in "The Mysterious Ticking Noise" ที่ชนะเลิศ YouTube Awards 2007 ประเภท comedy ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Tx1XIm6q4r4">Link</a>

...

ความจริงแล้วโฆษณาทิปโก้ข้างต้น อย่างน้อยโครงสร้างของสามห้องแรกกับสามห้องหลังก็ตรงกัน อาจจะถือว่ายอมรับได้ในระดับหนึ่ง (หรือยอมรับได้? อย่างที่บอก ว่าไม่มีความรู้)

เพราะยังไงก็คงไม่กวนโสตประสาทได้เท่าริงโทนของ PCT รุ่นหนึ่ง ที่ฟังแล้วอยากจะตามไปฆ่าเสียบประจานทำร้ายคนแต่ง เพราะเอาทำนอง theme ของ the Pink Panther มาใส่จังหวะเกินเข้าไปจนฟังไม่ได้ดังนี้ครับ

[ภาพประกอบจะตามมาภายหลัง]

ความจริงแล้วน่าสงสัยนะครับ ว่าความสามารถในการรับรู้ความลงตัวของจังหวะเพลงที่ว่ามานี้ อาจจะมีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องอยู่ด้วย (นึกถึงข่าว Perfect Pitch May Be Genetic ที่เคยเห็นใน WebMD)

เพราะไม่อย่างนั้นจะมีคนแต่งริงโทนดังกล่าวออกมา หรือเจ้าของโทรศัพท์ที่ผมเคยได้ยินจะทนใช้อยู่ทุกวันได้อย่างไร

...

ก่อนจะจบ ขอย้อนกลับมาเรื่องโฆษณาอีกครั้งดีกว่าครับ

คือจะขอแปะภาพยนตร์โฆษณาที่ผมยังคงชอบเป็นอันดับต้น ๆ ชิ้นนี้

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=6UOEw88MQFU">Link</a>
Sharing โดย TA Orange ครับ

ซึ่งพูดถึง TA Orange แล้ว ก็โยงกลับมาหารถไฟฟ้า BTS ได้อีก...

คงจะจำได้นะครับ ว่าโฆษณาเปิดตัวของ Orange เป็นโฆษณาชุดแรกที่มีการโฆษณาบนรถไฟฟ้าแบบเต็มขบวนทั้งด้านในและด้านนอก ด้วยสโลแกน "The future's bright, the future's Orange." (ซึ่งปัจจุบันนี้ Orange ก็เลิกใช้ไปแล้ว)

ผมเองยังว่าเป็นโฆษณาที่เปิดตัวได้อย่างสวยงามโดยแท้ และหลาย ๆ คนก็คงจะยังจำภาพยนตร์โฆษณาที่กวาดรางวัล TACT Awards ปี 2002 ไปได้ถึง 5 รางวัลนั้นได้เป็นอย่างดี

ก็จะขอส่งท้ายเอ็นทรีนี้ด้วย Get Closer ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=luD8ibJFevA">Link</a>

*Note: Copyright of posted media are owned by their respective owners.

22 September 2008

Observances galore

วันนี้เป็นวันศารทวิษุวัต (autumnal equinox ในซีกโลกเหนือ) ครับ

บางคนอาจจะรู้สึกบ้างว่าไอ้นี่มันจะอะไรนักหนา วันโน่นวันนี่เยอะแยะ ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง

ก็จริงแหละครับ (เหอะ ๆ)

แต่ถึงแม้วันวิษุวัตกับวันอายันจะดูเหมือนไม่มีความสำคัญกับชีวิตเราเท่าไร เพราะปฏิทินในปัจจุบันก็ไม่ได้นับวันปีใหม่ตามปรากฏการณ์ในการโคจรของโลก ผมว่ามันก็ยังเป็นวาระที่น่าระลึกถึงอยู่ (อย่างน้อยก็มีความผูกพันพื้นฐานกับธรรมชาติมากกว่าการนับวันหยุดกลางปีธนาคาร)

อ้อ เผื่อใครไม่ทราบ วันวิษุวัตคือวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน (แกนของโลกตั้งฉากกับรัศมีวงโคจร) นะครับ (ส่วนศารท แปลว่าฤดูใบไม้ร่วง)

มาถึงเรื่องที่เอ่ยไว้ตามหัวข้อข้างบน...

ที่จริงก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ

เพียงแต่จะบอกว่าช่วงนี้วันที่ 19 ที่ผ่านมาก็เป็นวันครบรอบรัฐประหารธรรมดา ๆ อีกวันหนึ่ง วันที่ 20 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ วันนี้เป็นวันวิษุวัต แล้วมะรืนนี้ (วันที่24) ก็เป็นวันมหิดล

ยังมีวันอาทิตย์ที่แล้ว (วันที่ 14) เป็นวันไหว้พระจันทร์ และวันจันทร์หน้า (วันที่ 29) เป็นวันสารทไทย

(สองวันหลังนี่ถึงกับต้องไปหาปฏิทินเปิดดู - สะท้อนให้เห็นว่าปฏิทินจันทรคตินี่ใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจริง ๆ... นี่ถ้าวันพระใหญ่ไม่ได้เป็นวันหยุดนะ...)

ความจริงผมไม่เคยทราบหรอกครับว่าวันไหว้พระจันทร์นี่มีเมื่อไร (ปีนี้ยังไม่เห็นขนมไหว้พระจันทร์ด้วยซ้ำ) เพิ่งได้ความรู้ใหม่เมื่อครู่นี้เองว่าเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 8 ตามปฏิทินจีน

ส่วนวันสารทไทยนี่ยิ่งแล้วใหญ่ครับ ถ้าไม่ได้อ่านในหนุ่มชาวนา (หนังสือนอกเวลาตอน ม.1 (ใช่เปล่านะ )) ก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 10

(ความจริงไม่แน่ใจหรอกครับว่าในหนังสือนี่พูดถึงว่าไงบ้าง (หนังสือไม่อยู่ในความครอบครองแล้ว) แต่จำได้ว่ามีพูดถึง)

เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างสภาพสังคมที่เราอยู่กับที่กล่าวถึงในหนังสือได้ชัดเจนเหมือนกันนะครับ

เพราะผมยังไม่ทราบเลยครับว่าวันสารทไทยนี่มีความสำคัญอย่างไร (นอกจากว่ามีขนมกระยาสาท (กับกล้วยไข่)... อันนี้เหมือนได้มาจากหนังสือของซีเอ็ดสักชุดมั้ง ไม่แน่ใจเท่าไร แต่ยังไม่บ้าพลังพอที่จะไปค้น)

คนที่เป็นเหมือนผม ยังไงลองตามไปอ่าน "๒๒ กันยายน [๒๕๔๙] วันสารทไทย : วันทำบุญกลางปีเพื่อสิริมงคลและอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษ" โดยอมรรัตน์ เทพกำปนาท (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) ดูนะครับ

...

ความจริงเดือนกันยายนนี่เป็นเดือนที่ไม่มีวันหยุดราชการ (เช่นเดียวกับเดือนพฤศจิกายน (ส่วน ก.พ. มี.ค. มิ.ย. นี่แล้วแต่วันพระใหญ่จะตกเดือนไหน))

แต่ก่อนก็ไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไรหรอกครับ เพราะยังไงก็มีปิดเทอม...

เฮ้อ...

6 September 2008

Recycle? How?

เห็นสองสามวันมานี้ชอบมีส่วนร่วม ชอบแถลงการณ์กันจริง ทีแรกก็คิด ๆ อยู่ ว่าจะแต่งแถลงการณ์ส่วนตัวโพสท์ในนี้ ไม่ให้คนเข้าใจผิดว่ามีส่วนร่วมกับแถลงการณ์อื่นด้วย เอาให้มีข้อเรียกร้องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแก้ไขชื่อเป็น "พันธมิตรประชาชนเพื่อต่อต้านประชาธิปไตย" หรือไม่ก็ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบไทย ๆ" เพื่อความเข้าใจตรงกันในการถกเถียงปัญหา ให้รู้ชัด ๆ ว่าใครต้องการอะไรกันแน่ แล้วก็บอกแถมด้วยว่าผู้แถลงการณ์ "เคารพและให้ความสำคัญในสิทธิของบุคคลที่จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน" แต่เสียบเข้าไปหน่อยว่า "การเรียกร้องเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองนั้นไม่ควรทำโดยนำ 'ผลประโยชน์' ของประชาชนซึ่งอาจมิได้มีอุดมการณ์ร่วมด้วยมาเป็นข้ออ้าง" และ "การทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนวิธีอื่น ๆ อันไม่อาจนับได้ว่าอารยชนพึงยอมรับนั้น นับเป็นการกระทำที่น่าตำหนิ"...

แต่คิด ๆ ดูแล้ว ทำไปก็คงเปลืองสมอง เปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ ไม่จรรโลงใจหรือก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา ก็เลย... ช่างมันเถอะ

มาพูดถึงเรื่องที่ค้างคากันมาหลายสัปดาห์แล้วดีกว่าครับ...

วันก่อน ขณะกำลังเดินไปทางศาลาพระเกี้ยวผ่านคณะรัฐศาสตร์ ผมก็ได้พบเห็นภาพหนึ่งที่ติดตาผมอย่างมากครับ

อ่า... ครับ น่าเสียดายที่ผมถ่ายภาพนั้นเก็บไว้ไม่ทัน จึงมีแต่ภาพที่ตัดต่อห่วย ๆ นี้มาให้ดู

แต่ผมว่าภาพนี้ก็สื่อความหมายที่ผมเห็นตอนนั้นได้ดีทีเดียว

ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะเห็นเหมือนกับที่ผมเห็นหรือเปล่า แต่สำหรับผม ภาพนี้มันช่าง ironic อย่างหาที่เปรียบได้ยากจริง ๆ ครับ

ถังขยะ recycle รุ่นเก่า (จำนวนเทียบเท่า) สามใบ ที่ป้ายฉลากเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว และใช้รหัสสีที่คงไม่มีใครจำได้¹ ถูกวางเรียงกันอยู่อย่างไม่มีใครใส่ใจเท่าไร ชิ้นส่วนหัว-หางสลับกันปนเปไปหมด ต่อให้ใครที่จำได้ว่าแต่ละสีนั้นหมายถึงอะไร ก็คงไม่มีปัญญาเลือกทิ้งได้ถูก และถึงกระนั้น ก็คงไม่เกิดผลอันใด เพราะเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ของมัน เหลือเป็นได้เพียงถังขยะธรรมดา ๆ สามใบ ที่จะทิ้งอะไรก็ได้เท่านั้น (ขอให้ทิ้งลงถังก็บุญแล้ว)

แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะมีวิธีแยกขยะที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าการทิ้งขยะแยกถังอยู่แล้ว นั่นก็คือหญิงสาวคนนี้ที่เดินเก็บขวดพลาสติกตามถังขยะอยู่นี่เองครับ

แน่นอนว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างไรเสียคงต้องมีคนอื่นที่คอยเก็บกระป๋อง เก็บขวดแก้ว เก็บอะไรต่อมิอะไรที่พอจะเอาไปทำความสะอาดเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ อีกเป็นแน่แท้

เขาเหล่านี้เอง ที่เป็นส่วนหนึ่ง (ร่วมกับเหล่ากองทัพซาเล้ง และอื่น ๆ) เบื้องหลังกระบวนการ recycle ของประเทศนี้ ที่เป็นส่วนเติมเต็มช่องที่เหลือว่างอยู่จากความขาดระเบียบวินัย ความรู้ และความตระหนักของประชาชน ที่ทำให้เราไม่ต้องคอยแยกขยะอย่างยุ่งยากแบบในคู่มือ 14 หน้าของเมือง Yokohama

ผมยังเคยพูดอยู่บ่อย ๆ ครับ ว่าการขาดแนวทางการแยกขยะที่มีประสิทธิภาพของประเทศไทย มีส่วนในการสร้างงาน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

แน่นอนว่ามันคงไม่สมบูรณ์แบบ และคงมีประสิทธิภาพเทียบกับแบบ Yokohama ไม่ได้ แต่คงไม่มีใครเถียงมั้งครับ ว่ามันก็ดูจะลงตัวที่สุดแล้ว สำหรับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน

เพราะขนาดผมเอง ที่พยายามแกะกล่องนมเปล่าล้างเพื่อเอาไปชั่งกิโลขาย ก็ยังไม่เคยมีปัญญาเก็บได้ถึงขีดเลยครับ


  1. ไม่แน่ใจว่าถังขยะเหล่านี้ใช้สีแบบเดียวกับถังขยะที่เห็นโผล่ขึ้นมาที่สาธิตเกษตรสมัยประมาณ ป.4 (?) หรือเปล่า (ปัจจุบันก็อาจจะยังอยู่? (ในสภาพที่อาจไม่ต่างจากในภาพด้านบน)) จำได้ว่าชุดนั้นจะเป็น สีแดง: กระดาษ, สีน้ำเงิน: แก้ว พลาสติก โลหะ, สีเขียว: อื่น ๆ, ซึ่งแม้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมจะมักหงุดหงิดที่ไม่มีใครแยกขยะทิ้งตามที่ถังกำหนดไว้ แต่ลองมองย้อนกลับไป ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรครับ

31 August 2008

For Better or For Worse

ครับ... ก็จบบริบูรณ์ไปแล้วนะครับ สำหรับ For Better or For Worse โดย Lynn Johnston ซึ่งดำเนินเรื่องให้ผู้อ่านชาวแคนาดาและทั่วโลกได้ติดตามกันมายาวนานถึง 29 ปี

บางคนอาจพอคุ้นเคยกับชื่อการ์ตูนช่อง [comic strip] การ์ตูนหนังสือพิมพ์รายวัน comic strip นี้บ้าง ซึ่งผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว (และนับว่าเป็น comic strip เดียวที่ผมติดตามต่อเนื่องอย่างจริงจัง)

For Better or For Worse กล่าวถึงเรื่องราวของครอบครัว Patterson ครอบครัวชาวแคนาดาทั่วไปครอบครัวหนึ่ง และเล่าเรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัวทั้งสี่รุ่น โดยพาให้ผู้อ่านได้ติดตามการเติบโตและความเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาเสมือนจริง และพาให้สัมผัสเกือบทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ ปัญหาในที่ทำงาน การหย่าร้าง ชีวิตวัยเรียน ปัญหาสุขภาพ วิกฤตวัยกลางคน ศีลธรรม ความตาย หรือแม้กระทั่งความเป็นเกย์ (ซึ่งในปี 1993 ได้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินเรื่องของ For Better or For Worse จะจบเพียงเท่านี้ Johnston จะยังคงเขียนการ์ตูนนี้อยู่อีกระยะหนึ่ง โดยเรื่องราวจะย้อนกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น และมีการสอดแทรกการ์ตูนที่เขียนขึ้นใหม่สลับไปกับของเดิม

For Better or For Worse ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กว่า 2,000 ฉบับ ใน 20 ประเทศทั่วโลก และมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ 8 ภาษา Lynn Johnston เป็นนักการ์ตูนหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล Reuben Awards ในปี 1985 ได้รับการเสนอชื่อรอบสุดท้ายเพื่อรับรางวัล Pulitzer ในปี 1993 และมีเกียรติประวัติระดับประเทศอีกหลายรายการ

และแน่นอน ว่าติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/For_Better_or_For_Worse


หมายเหตุ: ความจริงมี back(b)log ที่ mind map ไว้กะจะเขียนอีกหลายเรื่อง แต่ขอดองไว้ และยกพื้นที่ให้กับเรื่องราวปัจจุบันก่อนแล้วกัน

Last edited: 2008-09-08 03:34

29 August 2008

Definitions needed

ไหน ๆ บทความใน series อนุกรม ซีรีส์ กลุ่ม #Politics* ก็ดูจะโผล่ตามเหตุการณ์บ้านเมืองต่าง ๆ อยู่เรื่อย ไม่ว่าจะรัฐประหาร ลงประชามติ, กรณี YouTube, เลือกตั้ง (เรื่องชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ มีที่มาจากกรณีเขาพระวิหาร แต่ไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง) พอมีเหตุการณ์ช่วงนี้ก็เลยรู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่เล็ก ๆ (ต่อบล็อกอันนี้) ที่จะต้องหาอะไรมาแปะ...

แต่ปัญหาคือ นึกเรื่องจะเขียนไม่ออก~ (นอกจากความรู้สึกในฐานะคนเดินดินที่ว่า "***น่ารำคาญว่ะ" ซึ่งก็ดูไม่เป็นแนวคิดที่ควรสนับสนุนเท่าไร เพราะการเมืองมันก็ทั้งน้ำเน่าทั้งน่าตื่นเต้นขนาดนี้แล้ว ไม่สมควรจะอ้างว่า "เบื่อ" อีกได้)

ที่จริงตอนนี้ที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือรถไฟนี่แหละครับ เพราะส่งผลกระทบต่อการจัดการแข่งขันตอบปัญหาชีววิทยา “จุฬาฯ วิชาการ ๒๕๕๑” ชิงโล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยตรง

(เอาเถอะ บขส. อย่าหาเรื่องบ้างแล้วกัน...)

...

อย่างหนึ่งที่คงน่าแปลกใจสำหรับผู้เห็นข่าวที่ไม่รู้จักการเมืองไทย คือ ทำไมกลุ่มผู้ประท้วงถึงเรียกตัวเองว่า "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"

อืมม... ตอนนี้ google หา "พันธมิตรประชาชนเพื่อล้มล้างประชาธิปไตย" จะได้ 7 results (คงกลายเป็น 8 ในไม่ช้า)

แต่จะว่าอย่างนั้นมันก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว (7 results นี่น้อยกว่าที่คิดแฮะ) เพราะแต่ละฝ่ายคงมีคำจำกัดความของประชาธิปไตยที่ไม่เหมือนกัน (ลองดู Democracy: What does it mean to you?)

"ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ" มีผลลัพธ์ใน Google อยู่ 418 อันครับ (หน้าแรกเห็นขึ้นว่า 21,100 เข้าใจว่าจะเป็น bug?)

ผมลองคลิกตามไปดูแล้วก็เห็นบทความโดยปิยบุตร แสงกนกกุลกล่าวไว้ได้น่าสนใจ และอดคล้อยตามไปด้วยไม่ได้ (แล้วก็อ่านไปบทความเดียวนั่นแหละครับ)

...

ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ว่าที่สุดแล้วเราจะหาคำจำกัดความที่จะใช้ร่วมกัน เพื่อให้คุยกันรู้เรื่องได้หรือเปล่า...

ก็เพียงหากแต่เราจะหันมาคุยกันได้

เฮ่อ...


*สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทำการจัด labels ใหม่ ถ้าทำ feed ใครเละก็ขออภัยด้วยนะครับ

23 August 2008

30 years of minifigs, 5,922 pieces of the Taj Mahal

LEGO Minifigure

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) นิตยสาร Wallpaper* ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ LEGO minifigure ซึ่งก็มีอายุครบสามสิบปีในปีนี้ครับ

(ขออนุญาตใช้ภาพประกอบซ้ำ อย่างน้อยคงตรงประเด็นมากกว่าเดิม)

น่าสนใจอยู่นะครับ... ณ ปัจจุบันมี minifigure ผลิตออกมาแล้วกว่า 4×10⁹ ตัว นับได้เกือบ ⅔ ของประชากรโลกทีเดียว

LEGO Taj Mahal

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ (tabloid) Daily Mail ก็ลงบทความเรื่อง 10189 Taj Mahal ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวอย่างกึ่งทางการไปเมื่อต้นเดือนนี้ที่ผ่านมา และด้วยจำนวนชิ้นส่วนถึง 5,922 ชิ้น ก็ได้ครองตำแหน่งชุดตัวต่อเลโก้ที่มีจำนวนชิ้นมากที่สุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำลายสถิติ 5,195 ชิ้นของ 10179 Ultimate Collector's Millennium Falcon (ซึ่งมีราคาขายถึง US$499.99 เทียบกับ US$299.99 ของ 10189) [ภาพประกอบจากเว็บไซต์ LEGO Shop at Home]

พูดถึงราคา... วันก่อนเห็น 10184 Town Plan (set ฉลองครบ 75 ปี) ที่พารากอน ราคาอยู่แถว ๆ หนึ่งหมื่นสองพันบาท (แพงกว่าราคาสหรัฐฯ $149.99 กว่าสองเท่า) น่าสงสัยอยู่ว่าอากรนำเข้าของของพวกนี้มันคิดยังไง...

9 August 2008

เกมเจ้าปัญหา

ESRB M rating symbol
Half-Life: Counter-Strike ได้รับเรต M จาก ESRB เหมาะกับผู้เล่นที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป¹

ถ้าใครไม่ทราบ ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำพูดฮิตติดปากของผมเองตั้งแต่ตอน ม.3 และนับได้ว่าเป็นประโยคแจ้งเกิดของผมที่ รร.เตรียมฯ²

ถ้ายังจำกันได้ ช่วงประมาณปี 2000 นั้นเองที่เรากำลังเพิ่งจะรู้จักสถานบริการเกมคอมพิวเตอร์ที่เริ่มแพร่หลายในขณะนั้น และก็เป็นประกายกำเนิดกระแสความนิยมในกิจกรรมหลังเลิกเรียนนี้ที่ยังฮิตกันอยู่ถึงปัจจุบัน

ความจริงแล้วสมัยนั้นผมก็ไม่เคยได้เรียบเรียงความคิดจริงจังอะไรกับเรื่องนี้หรอกครับ นับว่าเป็นช่วงที่ยังคิดอะไรค่อนข้าง [concrete] ด้วยซ้ำ ทำนอง "เค้ากำหนดไว้ก็ควรจะทำตามสิ"

แต่เอาเข้า จนถึงปัจจุบันผมก็ยังเล่น Counter-Strike ไม่เป็น (เช่นเดียวกับ Ragnarok Online และ DotA) และก็ยังไม่เคยเข้าไปใช้บริการร้านเกมคอมพิวเตอร์สักครั้ง

ตอนที่เห็นเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงรูปแบบการใช้บริการร้านเกมแบบกินอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืนครั้งแรก (ช่วงปี 2001) ก็ทำให้ผมตกใจ/สะเทือนใจไปเหมือนกันครับ

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีปัญหาติดเกม (อื่น) ของผมเองนะครับ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง

ถ้าลองมองย้อนกลับไป ก็คงจะพอเห็นได้ว่าประเด็นที่เอ่ยไว้ข้างต้น เรื่องเด็กเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน เรื่องการควบคุมเรตเกม มันค่อย ๆ มีเรื่องราวข่าวที่สะท้อนออกมา ให้ภาครัฐต้องค่อย ๆ ตามไปควบคุมที่ปลายเหตุ ซึ่งก็อาจจะทำให้ผมตอน ม.3 พอใจขึ้นมาบ้าง

แต่มันจะช่วยทำให้อะไรดีขึ้นได้?

ในประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (ซึ่งผมเพิ่งจะรู้เรื่องภายหลังเมื่อไม่กี่วันมานี้) ผมติดตามดูแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเลยสักนิด (และอดถอนหายใจไม่ได้)

ที่ปฏิกิริยาแรกของสังคมไทยคือการ [ban] เกมเจ้าปัญหา

ผมยอมรับว่าไม่เคยเห็นหรือสัมผัสเกม Grand Theft Auto ภาคใด ๆ เอง แต่จากที่ติดตามข่าวสารต่าง ๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ก็พอจะสรุปอารมณ์ของเกมได้คำเดียวว่า [sick] และคงไม่เสียดายถ้าเกมนี้จะไม่มีอยู่อีก

แต่มาตรการที่ภาครัฐออกมาเพื่อพยายามแก้ปัญหาแต่ละอย่าง ผมไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้นอกจากเป็นการไกล่เกลี่ยอารมณ์ของสังคมที่ตอบสนองต่อข่าวที่เกิดขึ้นให้เรื่องมันเงียบ ๆ ไปในแต่ละครั้ง จะห้ามจำหน่าย แล้วจำนวนผู้ใช้อย่างถูกกฎหมายแต่แรกมีสักเท่าไรเชียว จะควบคุมเรตเกม ใครจะเป็นคนลงไปดูแลในระดับไหนได้ จะ [curfew] ร้านเกม แล้วเด็กจะกลับไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแทนอย่างนั้นหรือ

ถึงกระนั้น ผมก็สงสัยอยู่ว่า สถาบันครอบครัว ที่หลายคนให้เป็นคำตอบ จะเป็นคำตอบที่ล้าสมัยไปแล้วหรือยัง เพราะภาพสังคมที่เห็นทุกวันนี้ น้อยนักที่จะเห็นครอบครัวเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งพอที่จะค้ำจุนสังคมได้ต่อไป

เราจะต้องเริ่มกันตั้งแต่ต้น โดยสร้างสถาบันครอบครัวขึ้นมาใหม่อย่างนั้นเลยหรือ

เรื่องราวเหล่านี้ คงมีผู้ที่วิเคราะห์ได้ดีกว่าผมกล่าวถึงแล้วบ้างในช่วงที่ผ่านมา และคงมีอีกในอนาคตที่จะถึง ผมก็จะยังไม่ขอพยายามหาคำตอบของคำถามที่น่าปวดหัวนี้ต่อ

แต่ผมก็หวังอย่างยิ่งว่าสังคมจะพบคำตอบในเร็ว ๆ นี้ เพราะผมยังจำได้ ถึงภาพที่เห็นเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว

ที่ขณะไปเที่ยวกับกลุ่มลูกพี่ลูกน้อง และได้ผ่านหน้าร้านเกมในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่งในหมู่ญาติก็หันมาถามเชิงหยอกล้อกับผมว่า

"ไหนตอนนั้นพอบอกว่า Counter นี่ต้องอายุเท่าไรถึงจะเล่นได้นะ"

เพราะภาพที่เห็นตรงนั้น คือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง³ ที่ดูยังไงก็อายุไม่น่าจะเกินประถมต้น นั่งเล่นเกมนี้อยู่อย่างจริงจัง

(เรื่องเกมกับวุฒิภาวะนี้ยังมีอะไรให้กล่าวถึงอีกมาก แต่ภาพที่เห็นนั้น ยังไงก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกเอาเสียจริง ๆ)


  1. The ESRB "M" rating icon is a registered trademark of the Entertainment Software Association, and is proprietary to the ESRB. Its use here to illustrate the above quote is not in anyway endorsed by the ESRB, nor does it suggest ESRB's acknowledgement of this blog, or vice versa.
  2. ตอนปฐมนิเทศนักเรียน ม.4 ปีการศึกษา 2544 ผมทำให้พี่เอ็กซ์ (วิทย์คอม 9) อึ้งกับประโยคนี้ในฐานย่อยเรียนเราเด่น ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในฐานสมรรถภาพทางการปรับตัว โดยรูปแบบกิจกรรมคือให้ออกแบบตารางเรียนในฝัน และตัวอย่างที่พี่ทำไว้มีชั่วโมงเล่น Counter อยู่ จึงได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ในวันต่อมาผมก็ถูกเพื่อน ๆ ในกลุ่มคะยั้นคะยอให้นำคำพูดนี้ไปแสดงในละครนำเสนอของกลุ่มในหอประชุม ทุกคนในรุ่นจึงได้รู้จักประโยคนี้ด้วยเหตุนี้เอง
  3. ที่จริงน่าจะเล่นกันอยู่หลายคน แต่ในภาพที่ติดตาอยู่นั้นผมจำได้แค่คนเดียว

Last edited: 2008-08-18 23:57

1 August 2008

Name tag ubiquity

ระหว่างที่รอลุ้นกันว่าณัชจะพูดถึงป้ายชื่อใน Cubic Diary เพิ่มหรือเปล่า มาลองดูรูปนี้กันครับ...

A lot of lanyard name tags จากซ้ายไปขวา: ค่ายเยาวชนสมองแก้ว รุ่นที่ 10; รับน้อง ม.4; รับน้อง ม.5; รับน้องวิทย์คอม ม.5; ศึกษานอกสถานที่ ม.6; ICT Fun Camp 1; รับน้องปี 1; แรกพบ สพท; รับน้องงานอินเดียน; กีฬาสองเข็ม; กีฬา 13 เข็ม; KUS Fun Camp 2; ICT Fun Camp 2; ค่ายอยากเป็นหมอ ปี 1; ค่ายภาษาอังกฤษตอนปี 2; AMSC 21

(ค่ายเยาวชนสมองแก้วเหลือแต่ปีสีม่วงแฮะ... สีฟ้าหายไปอย่างลึกลับตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย...)

แต่เอาเถอะครับ... ประเด็นที่จะว่าคือ... มันเยอะใช่ไหมครับ

ไม่คำนึงถึงประเด็นที่ว่าเจ้าตัวบ้าเก็บ แต่ขนาดงานประชุมวิชาการของคณะฯ ครั้งที่ผ่านมา ยังใช้ป้ายชื่อแบบนี้สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมเลยครับ (แทนที่จะเป็นป้ายอันเล็กแบบมีคลิปหนีบ ที่เห็นงานที่เป็นทางการกว่ามักนิยม)

จำได้ว่าช่วงค่ายสักค่าย (น่าจะเป็น KUSFC) ณัชเคยเปรย ๆ ว่าทำไมเราต้องทำป้ายชื่อเป็นป้ายแขวนคอห้อยคอแบบนี้เสียทุกที ทั้ง ๆ ที่รูปแบบมันก็ไม่ได้ดีมากมาย และยังมีข้อจำกัดต่าง ๆ หลายประการ

ไม่ทราบเหมือนกันว่า Cubic Diary จะได้พูดถึงป้ายชื่ออีกว่าไงบ้างหรือเปล่า แต่ดูจากรูปข้างบน ก็ทำให้ผมคิดว่าป้ายห้อยคอนี่มันก็เป็น ultimate solution ของโจทย์ป้ายชื่อในระดับหนึ่ง

เพราะแม้ว่าจะมีอรรถประโยชน์ที่จำกัด อาจเกะกะ และพลิกไปพลิกมาทำให้ไม่เห็นได้ แต่มันก็ตอบโจทย์ในการทำให้เรารู้ชื่อของบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างดีทีเดียว

ลองเทียบกับแนวทางอื่น ๆ เช่นการใช้ผ้าคาดศีรษะ ซึ่งจะทำให้ชื่ออยู่ใกล้ระดับสายตาและสะดวกกว่าในการอ่าน แต่ก็มีความยุ่งยากในการสวมใส่กว่ามาก หรือภาพฮอโลแกรมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะที่ผมเคยจินตนาการไว้ ที่มีความเป็นไปได้ในการทำได้จริงต่ำมาก

ป้ายคลิปหนีบที่ผมว่าข้างต้น ถ้าไม่นับบัตรนิสิตแพทย์ที่ต้องติดทุกวันในปัจจุบัน ผมยังมีเหลือเก็บอยู่แค่สองอัน คือจากค่าย สอวน. และวิชา Dr/Soc

เหตุผลหนึ่งที่มันเหลือแค่นั้นก็คืองานอื่น ๆ เจ้าของเก็บคืนไปเกือบทุกครั้งที่ได้ใช้

ซึ่งก็สะท้อนและชี้กลับไปที่คำสำคัญเดิม คือประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ในการตอบโจทย์นั่นแหละครับ


(ถ้าเอ็นทรีนี้ดูกลวง ๆ สาระน้อย ๆ ก็ขอให้โปรดเข้าใจว่าไม่มีสาระอะไรเท่าไรตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เพียงแต่อยากโพสท์รูปเท่านั้นเอง)


Last edited: 2008-08-18 23:42

1 August 2008

วันนี้เห็นหนังสือเล่มนี้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ...

เคมีสำหรับนิสิตแพทย์ เล่ม 1
ทำไมชื่อหนังสือมันคุ้น ๆ นะ...

สังเกตชื่อผู้แต่ง:

ผศ.ดร.วรวีร์ โฮเว่น
อะ...

แล้วงี้ผมจะหลอกน้องที่ไหนให้ซื้อ Raymond Chang ภาษาอังกฤษได้อีกล่ะครับ~

(แต่ก็เพิ่งทราบว่าอาจารย์เปลี่ยนชื่อแฮะ)

แล้วก็...

ใช้บัตร Smart Purse ขึ้นรถป๊อปได้แล้ว! (หลังจากที่เคยบ่นไว้ที่นี่)

แถมลด 50% ถึงสิ้นเดือนอีกต่างหาก แต่เนื่องจากโดนกล้องหักหลังอีกแล้ว รูปโปสเตอร์โฆษณาเลยหายไปซะงั้น~

เอารูปน้องหมา Smart Purse ไปแทนแล้วกัน (Mascot น่ารักดีแท้)

Smart Purse mascot dog

ป.ล. อัพโหลดรูปใน Flickr เพิ่มนิดหน่อยแล้วนะครับ... รอบนี้มีป้ายอันเดียว (จรสพงษ์เห็นเราสะสมป้ายแปลก ๆ ไปแล้ว)


Last edited: 2008-08-24 18:37

9 July 2008

9 July 2008

วันนี้อาจารย์ปล่อยลงจาก OR เร็วหน่อย เลยไป รร.เตรียมฯ กับต้องลักษณ์กับน้อง Month (ภาษาไทยสะกดยังไงเนี่ย เคยเห็นแต่หมั่นมั้น) เพื่อคุยเรื่องงานตอบปัญหาจุฬาฯ วิชาการ ซึ่งก็ได้พบว่า...

โล่ในห้อง 111

ได้อยู่ในห้อง 111 แล้ว โฮะ ๆ

โล่ Shell Quiz

น่าเสียดายไม่สลักชื่อให้... (จะเอาอะไรนักหนา (วะ) เค้าแจกมาให้เก็บไว้ดูเล่นที่บ้านแล้วไม่พออีกรึไง)

ใครยังไม่ได้อ่าน ก็ติดตามเพิ่มเติมได้ที่เอ็นทรี On Shell Quiz นะครับ

ที่จริงมั้นอาสาจะถ่ายให้แล้ว แต่ก็... นะ กะมาลงบล็อก ยังยึดคอนเซ็ปต์ไม่ประจานตัวเองอยู่...

...

ที่จริงเรื่องที่อยากจะมาโพสท์วันนี้คือ

First Look: Chamchuri Square

แต่เนื่องด้วยความเสร่อเล็กน้อยถึงปานกลาง เลยโดน (โปรแกรม) กล้อง (สุดชัด) ของ 818 pro หักหลัง... รูปที่ถ่ายมาทำ photo essay หายไปเกือบหมด~ (กรำ)

เข้าใจว่าคงมีเหตุร่วมจาก (non-HC) SD card 4 GiB ที่ไปเดินหาทั่วฟอร์จูนมีขายอยู่ 1 ร้านเมื่อวันก่อน

เซ็งเลย...

เอาเถอะ... งั้นเอาไปดูแค่นี้แล้วกัน

รายชื่อร้านค้า
  • ร้านนายอินทร์ ซีเอ็ด นานมี Asia Books นี่เหมือนตั้งใจจะเอามาประดับบารมี "ศูนย์หนังสือจุฬาฯ สาขาจามจุรีสแควร์" อันใหญ่โตมโหฬาร บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ซึ่ง...

    ยังไม่เปิด

    [Flash Video] แถมวีดิโอแสดงความโอ่โถง (ความว่าง)

    (บ้าที่สุด เพิ่งรู้ว่าชื่อที่ YouTube โดนแย่งไปแล้ว ชิ (แต่เอาเถอะ ขนาดคนที่ google หาชื่อ (g ตัวเล็กเพื่อแสดงว่าเป็นกริยา) เพื่อยืนยันว่าชื่อใหม่ไม่มีใครซ้ำก็ยังไม่พ้นชะตากรรมนี้...))
  • มี Hardware House กับ iBeat (by iAny) (ยังไม่เปิดทั้งคู่) ด้วยนะเออ
  • TrueLife กับ dtac Shop (ยังไม่เปิด) ด้วย... สะดวกดีจริง... ไม่ต้องถ่อไปถึงสยามพารากอนแล้ว (ไกลสุด ๆ (ประชด))
  • หึ ๆ... ไว้สิ้นคิดมาก ๆ อีกหน่อยอาจจะนัดกินข้าวหรือเลี้ยงน้องแถวนี้ซะเลย...
  • แต่ยิ่งคิดยิ่งดูจะตอกย้ำ stereotype ภาพลักษณ์เด็กจุฬาฯ ที่เคยได้ยินคนพูด ๆ กันเสียจริง

ที่จริงเรื่องจามจุรีสแควร์นี่ก็ขำอยู่... สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ เปิดตั้งแต่วันครบรอบสถาปนาจุฬาฯ เมื่อ 26 มี.ค. สัปดาห์ถัดจากนั้นก็มีนาย ก. ถามมา (ตอบไปว่ารู้แต่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ เปิดไปแล้ว) แต่ปรากฏว่านาย ก. กับนางสาว จ. ไปถึงก็เจอแต่ตึกที่สร้างเสร็จและเสร็จแค่สร้าง (ข้างในกลวง) ซะงั้น... นี่กว่าจะเปิด (ในสภาพที่ยังก่อสร้างเต็มไปหมด) จริงได้นี่เล่นเอาผ่านไปอีก 3 เดือนกว่า

ซึ่งโทรไปบอกนาย ก. (ที่จริงบังเอิญเห็นตอนนั่งรถเมล์รถโดยสารประจำทางกลับจาก รร.เตรียมฯ - พอดีไม่ได้ติดตามข่าวเท่าไร + ช่วงนี้ไปรถไฟฟ้าเลยไม่ผ่าน) รายนั้นก็ไวซะ... มาก่อนเราอีก

เอาเฮอะ... ที่จริงอยากดูวิวบนดาดฟ้าว่าจะเห็น skyline กรุงเทพฯ ที่ใช้ได้บ้างหรือเปล่า

ทำไงถึงจะได้ขึ้นไปล่ะนี่...

26 June 2008

ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์...

...คือสามสิ่งที่ส่งเสริมความแตกแยกของคนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

พูดถึงความแตกแยก ผมว่ามันเป็นธรรมชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งของสังคมมนุษย์ครับ

สิ่งมีชีวิตเราวิวัฒนาการมาบนหลัก survival of the fittest อย่างไร ก็ยังเห็นเงาสะท้อนของหลักที่ว่าแทรกซึมอยู่ภายใต้ความเป็นไปต่าง ๆ ของเราในปัจจุบันได้อย่างนั้น

ถึงแม้ว่าในกระบวนการสรรค์สร้างวัฒนธรรม มนุษย์จะได้พัฒนารูปแบบของสังคมเพื่อจำกัดผลกระทบของความแตกแยกไว้บ้าง ความแตกแยกเองก็ยังเป็น [defining element] หนึ่งที่แทรกอยู่ในทุกระดับของสังคม

การเมืองเอง มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อกดความแตกแยกในสังคมเอาไว้ ให้อยู่ในระดับต่ำพอที่จะให้สังคมดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และพัฒนาโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นได้* แต่นั่นก็หมายความว่าความแตกแยกยังเป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกกดเอาไว้อยู่ในหัวใจของการเมืองนั่นเอง

ประชาธิปไตยซึ่งอาศัยการเลือกตั้ง เป็นระบบที่สะท้อนความแตกแยกที่อยู่ในหัวใจของการเมืองได้อย่างชัดเจน... ยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ: ในระดับสูงสุดแล้ว การเมืองกำหนดกติกาไว้ว่าใครที่ชนะการเลือกตั้งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งทุกคนในประเทศต้องยอมรับ แต่ภายใต้นั้นก็คือความแตกแยกระหว่าง Democrats และ Republicans ซึ่งตบตีกันได้ตลอดปีตลอดกาล ถ้าย้อนลึกลงไปถึงการเลือกผู้แทนพรรคฯ ก็เห็นว่าในพรรคเดียวกันเอง ก็ยังตบตีกันเลือดสาดไม่น้อยกว่าในระดับประเทศ และก็เป็นเช่นนี้ย้อนลงไปถึงหน่วยย่อยที่สุดของสังคม

ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าการเลือกตั้งทำให้เกิดความแตกแยก อย่างที่สภาวการณ์ชวนให้เข้าใจ เพียงแต่มันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความแตกแยกที่ซ่อนอยู่ภายในเท่านั้นเอง ก็นับได้ว่าเป็นเรื่อง [ironic] ไม่น้อย เพราะการเมืองนั่นแหละ ที่กดความแตกแยกนั้นเอาไว้ไม่ให้เห็นตั้งแต่แรก

ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ก็เป็นหัวใจหลักของการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันทำหน้าที่เป็นกรอบกำหนดขอบเขตของความสามัคคี ที่การเมืองจะต้องสร้างขึ้นมา เราจึงมักเห็น ได้ยิน และถูกส่งเสริมให้เชื่อในสังคมที่มีความปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในกรอบของชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี้

หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่ง ว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องกำหนดขอบเขตของความแตกแยก ที่จะ [project] ออกไปยังสังคมอื่นนอกเหนือจากของตน

จึงไม่น่าแปลกใจว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี่เอง ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบั่นทอนและบ่อนทำลายความรัก ความเข้าใจ และความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นได้บนโลกนี้ (ยังไม่นับว่าถ้ามีชีวิตนอกโลกอีก เรื่องราวอาจจะซับซ้อนยิ่งขึ้น)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้คำจำกัดความคำ สามัคคี ไว้ว่า

สามัคคี น. ความพร้อมเพรียงกัน, ความปรองดองกัน. ว. ที่พร้อมเพรียงกันทำ, ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำ, เช่น กฐินสามัคคี ผ้าป่าสามัคคี. (ป.; ส. สามคฺรี)

สังเกตนะครับ ว่าไม่มีอะไรที่พูดถึงการเกลียดคนอื่นเลยสักนิด

ความสามัคคีที่เราถูกปลูกฝัง ถูกโฆษณาชวนเชื่อกันมา ที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ รังแต่จะเป็นความสามัคคีจอมปลอมที่อ้างขึ้นเพื่อให้ร่วมกันเกลียดคนอื่น ให้ร่วมกันสู้รบกับศัตรู โดยที่มิได้คำนึงถึงความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะช่วยให้เราสามารถสรรค์สร้างความเจริญของสังคมมนุษย์ร่วมกันโดยพร้อมเพรียงและปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน เชื้อชาติหรือศาสนาอะไร

มนุษย์เราเดินทางออกห่างจากพื้นฐานเดิมของธรรมชาติมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังพยายามต่อสู้กับศัตรูต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอก โดยไม่เห็นถึงศัตรูที่แท้จริงที่อยู่ภายใน...

เมื่อไรนะ เราถึงจะหันมาพูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ได้เสียที

See also: Imagine


*ทีแรกอยากจะพูดถึง enthalpy ของสังคม แต่ความรู้ thermodynamics อันน้อยนิดมันหายไปไหนหมดแล้วไม่ทราบได้

3 June 2008

โลกร้อน: อย่าดีแต่ปาก สักแต่ว่าพูด

เมื่อปีที่แล้วผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ [awareness] เรื่องภาวะโลกร้อนในประเทศไทยไว้นิดนึง... เอาเข้า ถึงตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่าดูภาวการณ์น่าเป็นห่วงจริง ๆ

เพราะไม่ว่าทั้งภาครัฐหรือเอกชน ต่างฝ่ายก็ยังไม่เห็นมีใครทำอะไรที่ดูจะพอจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันในอนาคตอันใกล้นี้เลย (หรือผมไม่เห็นเอง?) วัน ๆ เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่จะเอาเรื่องภาวะโลกร้อนไปเป็นเครื่องมือหากิน บ้างยังพยายามทำเป็นรณรงค์โน่นนิดนี่หน่อย บ้างก็ทำโลกร้อนเองเสียดื้อ ๆ ด้วยซ้ำ

ความรู้ความเข้าใจของประชาชน และความตระหนักในปัญหา มันไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ

เพราะตอนนี้ผมมีเหตุให้ต้องสงสัยอยู่มากทีเดียว ว่าคนที่เข้าใจถึงสาเหตุของภาวะโลกร้อนในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีมากกว่าคนที่กำลังแตกตื่นกันอยู่เรื่องวันที่จะเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมโลกเท่าไรเชียว

ไว้มีเวลาจะมาขยายความแล้วกัน ระหว่างนี้ก็ขอให้คลิกไปอ่านบทความจากจดหมายข่าวกรีนพีซ เดือนกันยายน-ธันวาคม 2550 เรื่อง กรีนพีซปลื้มคนไทยสนใจโลกร้อน เตือนอย่าเห็นเป็น "แฟชั่น" ฮิตแล้วเลิก: แนะต้องเฝ้าจับตานโยบายรัฐ-เร่งปฏิบัติจริงจัง ไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ


ป.ล. ผมยังไม่แนะนำให้รีบหาทางซื้อรถที่รองรับน้ำมัน E85 นะครับ ไม่ทราบว่าเร็วแค่ไหนรัฐบาลจะเปลี่ยนนโยบายตามอำเภอใจอีก หรือนานแค่ไหนจะรู้ตัวกันว่าเอาที่นาไปปลูกอ้อยหมดจนไม่มีข้าวกินกันแล้ว

ป.ป.ล. เรื่องน้ำมันแพง มองในแง่หนึ่งก็ [ironic] ดีนะครับ ถือได้ว่าเป็นภาษี CO₂ ที่ไม่ได้ตั้งใจไปในตัว

24 May 2008

เริ่มต้นกับ RSS

ครับ... ครั้งนี้ก็จะมาตอบคำถามเพื่อน ๆ ทั้งหลายนะครับ ที่ว่า RSS คืออะไร ไอ้ไอคอนส้ม ๆ นี่มันแปลว่าไง จะ subscribe feed ยังไง...

ความจริงไม่มีใครสงสัยตามคำถามที่ว่ามาข้างต้นเลยสักคน

แต่ก็เป็นเรื่องเดียวกับที่มีคนอยากรู้อยู่ครับ ว่า "เราอยากจะติดตามอ่านบล็อกคุณพอเหมือนกันนะ แต่จะมาโพสท์เมื่อไรบ้างก็ไม่รู้ถี่บ้างห่างบ้าง ใครจะมาคอยนั่งเช็คได้ทุกวี่ทุกวัน (ทำไมไม่ใช้ Windows Live Spaces อย่างน้อยมันก็มีดาวเหลือง ๆ ขึ้นบอก)"

คำตอบก็คือ ใช้ web feeds ครับ

ความจริงถ้าผมขี้เกียจ ก็จะแค่ให้ลิงก์ไปบทความ Wikipedia เรื่อง web feed แล้วให้ไปอ่านเอาเอง แต่รู้อยู่ว่าท่านผู้อ่านที่จะได้ประโยชน์จากการตอบคำถามนี้คงไม่อยากตามไปอ่านหรือค้นเองต่อ ก็จะมาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ครับ

ในตัวอย่างต่อไปนี้ จะใช้ Internet Explorer 7 เป็นตัวอย่างในการนำเสนอครับ ทั้งนี้นอกจาก IE7 จะมี [feature] ในการเป็น feed reader แล้ว ยังเป็น browser ที่มีการพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า (IE6) อย่างมาก ไม่ว่าจะในเรื่องของความปลอดภัย ความสามารถต่าง ๆ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการให้การรองรับมาตรฐานเว็บที่ดีขึ้นจาก IE6 มาก (ถึงแม้จะยังตามหลัง web browsers ยี่ห้ออื่นอยู่) จึงอยากจะฝากไปยังท่านผู้อ่านที่ยังใช้ IE6 อยู่ว่า อย่างน้อยก็อัพเกรดเป็น IE7 เถอะครับ เพื่อความเป็นสุขของนักพัฒนาเว็บไซต์ทั่วโลก

ครับ ลองมาดูกัน...

ก็อย่างที่พูดถึงตอนต้นนะครับ ไอคอนสีส้ม ๆ ที่ว่านี่ก็เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเว็บเพจที่กำลังอ่านอยู่นั้นมี feed คือมีไฟล์ไฟล์นึงที่มันจะคอยอัพเดทเวลาที่มีการโพสท์อะไรใหม่เข้ามา ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำก็คือ subscribe to feed อันนั้นไว้ เพื่อที่โปรแกรมที่ใช้ subscribe (คือ feed reader หรือ aggregator) จะได้บอกเราเวลาที่มีการอัพเดทอะไรใหม่

ซึ่งคลิกดูแล้วมันก็จะบอกว่ามีไฟล์อยู่สองแบบ คือ RSS กับ Atom ก็จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดนะครับ (เพราะผมเองก็ไม่รู้เรื่อง) ที่บอกว่าเริ่มต้นกับ RSS ในหัวข้อโพสท์ก็แค่คิดว่าเป็นตัวย่อที่อาจจะเคยได้ยินกันแค่นั้นเอง

หรือถ้าใครหาไอคอนสีส้ม ๆ อันนั้นไม่เจอ ก็ลองหาลิงก์ดูที่ด้านล่าง (หรือที่ไหนสักแห่ง) ของหน้านั้นนะครับ (บางเว็บอาจจะมีตัวอักษร RSS หรือ XML บนพื้นสี่เหลี่ยมสีส้ม)

ครับ นี่ก็คือหน้าตาของ feed ตามที่เห็นใน IE7 ครับ จะเห็นว่ามันก็คือข้อความของบล็อกแต่ละเอ็นทรีเรียงต่อ ๆ กันให้เห็น

สิ่งที่เราจะทำก็คือ subscribe to this feed ครับ

ตั้งชื่อ กำหนดที่ไว้ได้ตามใจชอบ

ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ คราวนี้เวลาเราเปิดดูเมนู subscribed feeds (Ctrl+J) ก็จะเห็นหัวข้อ feeds ทั้งหมดที่ subscribe ไว้ (พอดีเราเพิ่ง subscribe ไป feed เดียว)

เมื่อไรที่มีการอัพเดท หัวข้อ feed นั้นก็จะขึ้นเป็นตัวหนาครับ

เราก็คลิกเข้าไปอ่าน feed นั้นได้ตามที่ subscribe ไว้ ตรงนี้ก็จะเลือกได้ว่าจะเปิดดูเฉพาะที่อัพเดทใหม่ หรือเลือกดูทั้งหมด ฯลฯ และคลิกที่หัวข้อเพื่อไปดูตัวจริงเสียงจริงที่หน้าเว็บเพจนั้นได้ครับ

สำหรับ IE7 ก็แค่นี้เอง จบ!

ซึ่งนอกจาก IE7 ที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ก็ยังมี feed reader ให้เลือกใช้บริการได้อีกมากมายครับ ทั้งที่เป็น client software เดี่ยว ๆ หรือที่เป็น web-based เช่น Bloglines หรือ Google Reader ซึ่งแต่ละโปรแกรมแต่ละยี่ห้อก็มีคุณสมบัติหลากหลายแตกต่างกันไป ก็เลือกใช้ได้ตามความพอใจครับ

ง่าย ๆ แค่นี้เอง เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้น คราวหน้าห้ามอ้างแล้วนะครับ ว่าไม่รู้จักวิธี subscribe เพื่อให้ติดตามอ่าน blog ของเพื่อน ๆ ทั้งหลายแหล่ได้

19 May 2008

Post #200

ครับ...

ไหน ๆ ก็ไม่ได้โพสท์ฉลอง 3rd anniversary (ซึ่งก็เป็นไปตามที่แอบคาดไว้ใน 6 February 2008)... ยังไงวันนี้ลองมา [review] 200 posts ที่ผ่านมากันดูครับ...

Milestones

  • 2005-02-06: Placeholder... - โพสท์แรกของบล็อกนี้ (หรือจะเรียกให้เหมาะกว่านั้นน่าจะเป็นโพสท์จองชื่อบล็อกมากกว่า) ถึงตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าที่ว่า "ยังเลียนแบบ NuttyGM อยู่" นั้นหมายถึงว่าเลียนแบบเรื่องอะไรมาก่อนหน้านี้
  • 2005-03-08: #Start# - โพสท์เปิดบล็อกอย่างเป็นทางการ... ความจริงเหตุผลหนึ่งในการเริ่มเขียน blog นี้ คือด้วยคำแนะนำของแป้ง-อมรลักษณ์ ที่บอกให้ทำเพื่อเป็นที่ใส่ปฏิทินงานต่าง ๆ ให้เพื่อน ๆ ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงได้ ดังเช่นในเอ็นทรี This Month's Calendar - March 2005 (ซึ่งการทำปฏิทินนี่ก็ยึดเป็นงานปฏิบัติสืบมาพักใหญ่ (ถึงจะไม่มีใครดูก็ตาม) จนค่อย ๆ สลายหายไปราว ๆ กลางปี 2007)
  • 2005-03-08: Today's Log - 8/3/2005 - เอ็นทรีแรกในกลุ่ม daily logs (การจัดหมวดหมู่นี้เพิ่งมีขึ้นภายหลัง ช่วงย้ายกลับมา Blogger) สุทธิแล้วมี daily logs ทั้งหมด 60 อัน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าช่วงที่ทำ daily logs นี้เป็นช่วงเดียวที่มีการโพสท์อย่างค่อนข้างสม่ำเสมอ... แล้วก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ใกล้เคียง diary/บันทึกประจำวัน มากที่สุดที่เคยทำได้ตั้งแต่เกิดมา (ใกล้เคียงกว่า diary ความฝันตอน ม.4 ที่บันทึกได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็เจ๊งไป) มองย้อนดูก็พอมีสาระอยู่บ้างบางอัน แล้วก็สะท้อนให้เห็นชีวิตปิดเทอมปีหนึ่งได้ดีไม่น้อยทีเดียว
  • 2005-03-09: สมบัติชาติ... กับโจรฝรั่ง? - เอ็นทรีแรกในกลุ่ม essays... นับถึงปัจจุบันมีบทความในกลุ่มนี้ 12 บทความ ซึ่ง essays นี่ก็นับได้ว่าเป็นกลุ่มบทความที่มีสาระมากที่สุดของบล็อกนี้ทีเดียว... มากเสียจนบางครั้งก็ดูเป็นการเหมาะที่จะแบ่ง essays (และ commentaries) ออกเป็นอีกบล็อกหนึ่ง เพื่อแยกภาคสาระไปนำเสนอให้ประชาชนทั่วไปได้ดีกว่า
  • 2005-04-14: The Symbol of the Medical Profession - เอ็นทรีภูมิใจนำเสนอ และหนึ่งในเอ็นทรีที่มีสาระที่สุดของบล็อกสมัยนั้น (ไม่ได้รับการจัดเข้ากลุ่ม essays เนื่องจากประเด็นไม่เครียดพอ)
  • 2005-05-11: Today's Log - 11/5/2005 - Daily log อันสุดท้าย นับเป็นการเริ่มต้นการสิ้นสุดยุคแรกของบล็อกนี้
  • 2005-05-26: Moving...! และ Moving...! (เอ็นทรีชื่อเดียวกันที่ WLS แต่เนื้อหาไม่เหมือนกัน) - ยุคที่สองของบล็อกเริ่มขึ้นเมื่อย้ายจาก Blogger ไปที่ MSN Spaces (ต่อมาเปลี่ยนเป็น Windows Live Spaces) โดยยังคง concept การ "เลียนแบบ NuttyGM" (และหวังจะได้ readership จากการขึ้นดาว/ดอกจันสีเหลือง ๆ ใน msnmsngr) ซึ่งที่ Spaces นี้ก็ทำให้ Calendar ได้มีแถบขวาเป็นของตัวเอง และเปลี่ยนสีตาม template เป็นพื้นขาวอักษรเข้มแทน (จากพื้นเขียวอักษรอ่อนเดิมที่ใช้ที่ Blogger) ซึ่งหลังจากย้ายมา ก็เริ่มมี entry สั้น ๆ มาบ่นระบายอารมณ์โผล่ขึ้นมานี่ที โน่นทีหลายอัน
  • 2005-08-19: Photo Trip 2005 - เอ็นทรีที่ 100... แต่ตอนนั้นไม่รู้หรอก เพราะแตกแยกอยู่ระหว่าง Blogger กับ Spaces
  • 2005-10-21: Corpse Bride - คอร์ป ไบร์ด? - เอ็นทรีที่ยาวเป็นที่สอง และได้รับคอมเมนต์เยอะที่สุด นับถึงปัจจุบัน (ความจริงเรื่อง comments นี่อาจจะมีผลจากความที่เป็นช่วงปิดเทอมด้วย) ซึ่งความจริงแล้ว essays ในเรื่องที่ไม่ใช่การเมืองแบบนี้ เป็นกลุ่มบทความที่ผมอยากเขียนลงบล็อกอยู่ และมีหัวข้อที่จดไว้ว่าจะเขียนอีกหลายเรื่องทีเดียว แต่ด้วยเหตุที่ว่า ขี้เกียจ และก็เป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรมากระตุ้นแรง ๆ เข้า ก็เลยถูกหมก ดองไว้อย่างที่เป็นนี่เอง... (ยังไงก็ยังคาดหวังว่าสักวันมันคงได้เกิดแหละนะ)
  • C. 2006: เมื่อไรจำไม่ได้ แต่น่าจะเป็นราว ๆ ต้นปี 2006 ได้เริ่ม license เนื้อหาในบล็อกตาม Creative Commons Attribution-Share Alike 2.5 (ต่อมาอัพเดทเป็น 3.0) และก็ได้อนุญาตให้ใช้งานตามเงื่อนไขดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน
  • 2006-01-08: January 08 9:17 PM - เข้าสู่ยุคที่ 2.5 ของบล็อกกับปี 2006 ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. นับเป็นช่วงที่ความเงียบเหงาปกคลุมบล็อกอย่างมากครับ ในช่วงเวลาดังกล่าว โพสท์ที่ยาวที่สุดคือ The seasons, they stopped changing. (2006-09-16) ด้วยความยาวเพียง 204 คำเท่านั้น
  • 2006-09-20: Nowhere nearer to democracy & Democracy in Thailand... When? How? - อย่างที่บอกในสามข้อก่อนหน้า ว่าดูไม่มีอะไรจะมากระตุ้นให้เขียนอะไรที่เป็นสาระเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ก็ปรากฏว่าเรื่องการเมืองนี่เองแหละครับ ที่น่าอัดอั้นตันใจจนทำให้ระบายออกมาเป็นย่อหน้ายาว ๆ ได้ (และกลายเป็นหัวเรื่องที่มีมากที่สุดในกลุ่ม essays) แต่ก็อีกเกือบปีต่อมาครับ กว่าจะโผล่มาอีกครั้ง
  • 2006-10-13: โอ๊ยย~ - หลังจากความเงียบถูกหักลงด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร เอ็นทรีบ่นเล็ก ๆ นี้ก็เป็นเครื่องหมายบอกการเปลี่ยน theme มาใช้พื้นเข้ม (น้ำเงิน) อักษรอ่อนอีกครั้ง และเข้าสู่ยุคที่ 3 ของบล็อก ซึ่งถึงแม้ในช่วงต้นของยุคนี้ จะยังเงียบเป็นป่าช้าอยู่บ้าง แต่ไม่ช้าเอ็นทรีที่มีตัวมีตนก็เริ่มปรากฏให้เห็นไม่เว้นห่างกันจนเกินไป
  • 2006-12-16: Communication... - อีกเอ็นทรีภูมิใจเสนอครับ ถึงแม้จะสั้นนิดเดียว แต่ก็เป็นความเชื่อพื้นฐานของผมเกี่ยวกับปัญหาของสังคมมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน
  • 2007-01-21: TU-CU Traditional Football 63rd - เอ็นทรีที่ยาวที่สุดนับถึงปัจจุบัน ที่ 2,018 คำ ก็กลายเป็นว่าเรื่องที่เขียนได้ยาวสุด ๆ นั้น ไม่ใช่บทความเคร่งเครียดอะไร แต่เป็นบันทึกเรื่องเล่ากลุ่ม journals นี่เอง
  • 2007-03-29: หูฟัง กับวัฒนธรรมโลกส่วนตัว, กระจกประตู & Third post of the day - Triple post 3 ครั้งในวันเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรก (เคยเมื่อ 2005-10-17) แต่อันนี้ได้สาระเยอะกว่าครับ บทความกระจกประตู เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมออกจะชอบอยู่ และกุง-วรงค์พรก็บอกเช่นเดียวกัน
  • 2007-08-19: My (long-belated) take on politics - ณ ปัจจุบัน ความเชื่อทางการเมืองของผมยังผูกอยู่กับคำถามที่ว่า "Why democracy?" และบทความนี้ก็ตั้งใจให้เป็นเครื่องอธิบายถึงความเชื่อดังกล่าวของผมครับ บทความ On the YouTube issue (2007-09-02) และ Democracy: What does it mean to you? (2007-12-23) ก็ออกจะเขียนไปในสไตล์เดียวกัน
  • 2007-10-20: Moving again... back this time. เมื่อ NuttyGM เปลี่ยนเป็น Zerothman และข้ามไปยังโลกแมคเต็มตัว เหตุผลในการเลียนแบบก็มลายหายไป กอปรกับเหตุผลโน่นนี่ ก็เลยย้ายบ้านกลับมาที่ Blogger นี้อีกครั้ง นับว่าเป็นเปลี่ยนยุคของบล็อกอีกครั้ง สู่ยุคที่ 4
  • 2007-12-09: ความเหงา... - เอ็นทรีหนึ่งที่รู้สึกเหมือนมีหน้าที่จะต้องเขียน... ถึงแม้จะไม่ได้ทำได้ดีนัก
  • 2008-03-01: จะรอดไหมนี่~ - แอบ note ไว้ใน entry นี้ว่าเปลี่ยน layout อีกครั้ง เป็น theme พื้นขาวเลียนแบบ Facebook ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน (แต่ยังยุคเดิม)
  • 2008-03-19: Post #200 - ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี่เอง

อืมม... จากหลักกิโลที่ว่ามานี่ก็คงได้ภาพกันไปพอควร ก็ขอ [review] 200 posts นี้ไว้เพียงเท่านี้ล่ะครับ

11 May 2008

ปราสาททราย

ที่จริงตอนแรกบอกเจ้าหนี้ไว้ว่าจะลงเรื่องที่ไปอ่าวอุดมกันมา... แต่เอาเข้าก็ไม่รู้จะเล่าอะไร ขืนเล่าไปจะกลายเป็นบันทึกว่าแต่ละวันทำอะไรกันบ้าง เดี๋ยวคนอ่านหลับคาจอกันพอดี

งั้นขอเล่าแค่ว่าวันเสาร์ที่ 3 ก็มี excursion ไปเกาะล้านกัน... ซึ่งก็ได้นี่:

(ถ้าคนอ่านเดาออกว่าพยายามสร้างอะไรจะน่าดีใจยิ่ง)

แล้วไหน ๆ ก็โพสท์รูปปราสาท (สิ่งก่อสร้าง) ทรายแล้ว... เอาอันนี้จากตอนทริปเกาะช้างปีที่แล้วด้วยแล้วกัน

นี่ความจริงพยายามจะสร้าง Neuschwanstein แต่ scale เล็กเกิน... เลยไม่ค่อยจะมีความคล้ายเท่าไร (เอธยาบอกว่าเหมือนนครวัด) พอตอนหลังมีตกแต่งรอบนอกเพิ่มเติมโดยเบิ้ล et al. ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น

แล้วก็นี่จากตอนทริป 144 เมื่อปี 2004

น่ะนะ...

ที่พยายามจะสร้างเป็นวัดอรุณนั่นความจริงขุดลอกร่องน้ำไว้ให้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย... แต่น้ำขึ้นไม่ถึง ต้องรีบกลับไปขึ้นเรือก่อน :( ก็ไม่รู้ว่าตกลงมันได้อยู่รอดจนน้ำขึ้นมาถึงให้ใครได้เห็นหรือเปล่า

ใครอยากดูรูปอ่าวอุดมเพิ่ม ก็ขอ URL มาหลังไมค์แล้วกัน


(ติดตาม entry ที่ 200 ในโพสท์ถัดไป...)

*All photos in this post are copyrighted by their respective owners.

10 May 2008

On Shell Quiz

อ่า... เจ้าหนี้ทวง... จำต้องมาโพสท์

(ที่จริงถึงจะเกิน 30 วันแต่ก็ยังไม่โหว่ข้ามเดือนเลยนะ... ยังรักษาอัตราการ post ทุกเดือนได้อยู่)

พูดถึง post ก่อนหน้านิดนึง... คนอื่นไม่เป็นกันบ้างเหรอ เวลาเห็นพื้นที่ว่าง ๆ เยอะ ๆ แล้วต้องเอาเมาส์ลากดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า อืมม...


เอาล่ะ เข้าเรื่อง...

ก็... ช่วงที่ผ่านมาก็ดู ๆ Shell Quiz (หรือปีที่ผ่านมานี้เพิ่มชื่อเป็น Shell Quiz on the Road) ปี 2007 ย้อนหลังอยู่... สำหรับใครที่ยังไม่รู้ ปีที่ผ่านมารายการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ (มี [elements] ที่ทำให้นึกถึง Digital LG Quiz Golden Bell) เทียบดูก็นับได้ว่าพัฒนาขึ้นจากรูปแบบเก่าไม่น้อย (ดำเนินรายการสนุกกว่า คนดูคงเบื่อน้อยกว่า) ยังไงแนะนำให้ลองดู อย่างน้อยก็รอบชิง... แข่งกันโหดมันฮาใช้ได้ทีเดียว...

เทียบดูแล้วปีเราคนดูคงเบื่ออยู่เหมือนกัน คุ้น ๆ ว่าตอนนั้นใครสักคนบอกว่าทำไมใจร้ายอย่างนี้ ใจคอจะไม่ให้ทีมอื่นทำคะแนนกันบ้างหรือไง

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขออนุญาตตัดใบ้คำปี 2003 มาให้ดูกันสักนิด...

This video requires the Windows Media Player plugin.

มาย้อนดูแล้วตลกอยู่... นี่ถ้าตัดเวลา "อ่า..." ออกไปคงใบ้เพิ่มได้อีกหลายคำ

ก็ลองเทียบกับของปีที่ผ่านมา (ซึ่งมีใบ้คำทุกรอบ) แล้วกัน... แต่ดู ๆ เหมือนว่าใบ้คำสมัยก่อน ๆ จะง่ายกว่า? (ปีนี้เห็นมีคำว่า astrophysics หลุดมา... พระเจ้าช่วย จะใบ้ได้ยังไงนั่น)

แล้วก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตอนนั้นเจอโชติช่วงด้วย จำไม่เห็นได้เลย (ขอโทษด้วยนะ~)

...

รู้กันหรือเปล่าว่า Shell Quiz เป็นรายการโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประเทศไทย ออกอากาศมาตั้งแต่ปี 1965?

รู้หรือเปล่าว่าเดิมทีรายการออกอากาศทางช่องสี่บางขุนพรหม แล้วก็เคยถ่ายทอดทั้งช่อง 7 ช่อง 5 ช่อง 9 ช่อง 11 จนปัจจุบันถ่ายทอดทาง Nation Channel?

รู้หรือเปล่าว่าสมัยแรก ๆ ใช้เขียนตอบแล้วจดคะแนนบนกระดานดำ และ quiz master ก็มาจากผู้บริหารชาวต่างประเทศของบริษัทเชลล์ที่มารับตำแหน่งทำงานอยู่ในไทยนี่เอง?

มีเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ อีกที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Shell_Quiz (ใครทราบผลการแข่งขันเก่า ๆ ก็ช่วยเข้าไปเติมหน่อยนะครับ)

...

ผ่านมาขนาดนี้เราก็ไม่รู้จักน้องแล้วล่ะ... (เป็นรุ่นพี่ที่แย่มาก) แต่เรื่องขำ ๆ เดิม ๆ ก็ยังมีได้เรื่อย ๆ... (ใบ้คำ รอบรอง:)

พิรัฐิมา: "I am..." (trying to convey "explain[ing]")
เตชินท์: "Fat?"

(I am panda ลอยมาแต่ไกล)

ปรากฏว่าเตชินท์นี่เป็นรุ่นน้อง KUS 33 ด้วยแฮะ แล้วน่ากลัวจริง ๆ... Shell + เคมีโอเหรียญเงิน + ทุนคิง (มี precedence หรือเปล่าเนี่ย)


พิมพ์ไปพิมพ์มาเจอขอบหน้าผากะทันหัน นึกเรื่องต่อไม่ออก ก็ขอจบเท่านี้แล้วกัน


ป.ล. นี่ก็เพิ่งจะหา VCR ได้ หลังจากเครื่องเก่าไฟไหม้ไป

1 April 2008

พอกันที...

กับทุกสิ่งทุกอย่าง...

ชีวิตนี้... ที่นับวันมีแต่จะถดถอย

ตัวเอง... ที่ไม่เคยเข้มแข็งพอ

ความล้มเหลว... ทุกอย่าง...


ขอโทษทุก ๆ คนด้วย... แต่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริง ๆ...











16 March 2008

วิกฤต hard disk

โหลดรูปลงเครื่อง... เหลืองี้เลย (จากเดิมที่แคบน้อยกว่านี้นิดนึง)

ดีนะ page file ไม่ได้อยู่ partition นี้...

แต่ไม่มีอะไรให้กวาดทิ้งง่าย ๆ แฮะ... เล่นเป็น My Documents ซะหมด

เอาไงดี ไหนดูหน่อย...

  • Downloads 1.72 GB
  • My Music 3.03 GB
  • My Pictures 5.26 GB
  • My Videos 1.29 GB
  • School Work 11.3 GB
  • School Work - Activities 1.19 GB
  • อย่างอื่น 1.76 GB

ฮึ่มม...

อภิมหาเล็กเชอร์ที่เก็บไว้นี่จะมีวันได้ใช้ประโยชน์อะไรมั้ยเนี่ย... ไม่ได้จัดหมวดหมู่ซะครึ่งนึง ถ้ามานั่งจัดนี่คงใช้เวลาอีก 3 วัน...

แล้วจัดไปจะได้ประโยชน์?

ตัดใจโละทิ้งน่าจะสิ้นเรื่อง...

แต่ก็... นะ...

ถ้าตั้งใจเรียนกว่านี้อาจจะรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามเก็บไว้ก็ได้

เฮ่อ...

ยัดลง ext. HDD ไว้ก่อนก็แล้วกัน

...

14 March 2008

いらっしゃいませ

อืมม... กลับมาแล้ว (ตั้งแต่วันที่ 11)

ไม่รู้จะเล่าอะไร... ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ (หรือเปล่า?) เช่น...

  • อย่างที่หนังสือนำเที่ยวบอก ไปญี่ปุ่นนี่ฟังคำว่า いらっしゃいませ (irasshaimase) จนหูชาเลย... ประจักษ์จัง ๆ เลยว่าประโยค "สวัสดีครับ เชิญครับ" นี่มันแปลมาจากอะไร (ถ้าจำไม่ผิด เคยได้ยินครั้งแรกที่ร้าน Tsutaya เมื่อประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว (นี่เราแก่ขนาดนั้นแล้วเรอะ))
  • เหอะ ๆ... ภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียน... หายไปไหนหมดแล้วไม่รู้ พอจะถามทางเป็นภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อยก็ฟังที่เค้าตอบไม่รู้เรื่องอยู่ดี... สรุปคือ ฟังภาษาญี่ปุ่นได้น้อยกว่าคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษนิดนึง เลยไม่ค่อยช่วยอะไร (ขนาด katakana ยังจำไม่ได้เล้ย~) แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฟังคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องมากขึ้นหน่อย
  • สัมผัสคลื่นมหาชนที่สี่แยก Shibuya และกระแสชนคนทำงานบนทางเท้า Shinjuku (อันหลังนี่เหมือนเป็นกองทัพ salaryman สักอย่าง... ถึงแม้ทุกคนจะเดินตัวใครตัวมัน แต่ในความตัวใครตัวมันนั้นมันมีความเป็นหนึ่งอยู่อย่างบอกไม่ถูก) สถานี Shinjuku นี่เหมือนเป็น portal อะไรสักอย่างที่พ่นคนออกมาไม่ขาดสาย
  • เจอคนสูบบุหรี่น้อยกว่าที่คิด มาก เผลอ ๆ น้อยกว่าตอนไป Deutschland/Austria อีก (สะกดเยอรมนีไม่ถูก)
  • ทุกคนที่เห็น (ที่ Tōkyō) เหมือนจะพกโทรศัพท์มือถือดูท่าทางสมัยใหม่ แต่คนที่ใส่หูฟังเดินตามถนน/ขึ้นรถไฟ ไม่เห็นจะดูว่าเยอะเท่ากรุงเทพฯ
  • ไม่ได้เห็นเจ้าหน้าที่ชานชาลาผลักคนเข้าไปให้ประตูรถไฟปิด
  • Narita มันอยู่ไกล Tōkyō มาก หรือสุวรรณภูมิมันอยู่ใกล้กรุงเทพฯ เกินไป?
  • Shinkansen ไม่นิ่มอย่างที่คาดหวังไว้
  • ไม่เห็นรถไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลงสักขบวน (แต่เรียกรถไฟฟ้าว่ารถไฟ)
  • เห็นซากุระบาน 4 ต้น
  • สงครามนี่มันแย่จริง ๆ (ทั้ง Tōkyō แทบจะไม่เห็นอะไรเก่ากว่า WW II เลย)
  • ไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิจาก Shinkansen สาย Tōkaidō แต่ตอนบินกลับกรุงเทพฯ กัปตันเอียงเครื่องบินให้ดูนี่Aerial view of Mt Fuji
  • ป.ล. อีกอย่าง: ไปแล้วชักสงสัยว่าทำไมในโคนันถึงเรียกพวกผู้ร้ายว่าชายชุดดำ เพราะที่ไปนี่ก็เห็นเกือบทุกคนแต่งตัวสีดำกันทั้งนั้น

Last edited: 2008-09-09 23:10

1 March 2008

จะรอดไหมนี่~

สอบเสร็จแล้วเมื่อวาน...

ขี้เกียจ... ไม่ได้อ่าน... อ่านไม่ทัน... อยู่เวร... ง่วง... ทำไม่ได้... ทำไม่ทัน...

จะผ่านไหมเนี่ย~

แล้ว... สอบวอร์ดเด็ก เป็นที่รู้กันว่ามีแจกลูกอม

Rotate นี้เป็น OLE รส salacidre (ใครเป็นคนคิดคำนี้เนี่ย cider ก็ไม่ใช่)

แกะ กิน เปิดอ่านดู... แล้วดันได้นี่!

เรียน ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าโง่ อย่ายอมแพ้ เพื่อน อย่ายอมแพ้

อะไรจะตรงขนาดนั้น... ลางบอกเหตุ... ตาย... ตายแน่ ๆ... ยิ่งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ด้วย... Crying

...


เปลี่ยน layout ใหม่แล้วนะ ด้วยเสียงเรียกร้อง (1 เสียง) + ความที่รู้สึกว่า background เข้มแล้วมีปัญหา compatibility นิดหน่อย

แต่ด้วยความที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อย่างแรง ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ... (ใครไม่เข้าใจ ลองดู Facebook Blog)

6 February 2008

6 February 2008

วันนี้เลิกครึ่งวัน (ตามตารางของวอร์ดเด็ก)

ที่จริงก็มีงานต้องทำเยอะแยะ แต่หนึ่งในภารกิจที่ต้องทำคือไปรับใบรับรองฯ ที่ขอ สทป. ไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว

ก็เลยออกเดินทางหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ทีแรกว่าจะไปขึ้นรถโดยสารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (รถป๊อป? ปอพ.? ← ตกลงมันสะกดยังไง) ก็ขอตั๋วจากพัชรพรรณแล้วเดินไปศาลาพระเกี้ยว

ที่จริงเราไม่ควรจะต้องขอตั๋วเพื่อไปขึ้นรถ

เพราะเห็นโฆษณาอยู่ครึกโครม (ที่ป้ายรถ) ว่าใช้บัตร Smart Purse ได้

การที่จริง ๆ แล้วใช้ไม่ได้ตามที่โฆษณาก็ควรจะเป็นเหตุผลให้เราขึ้นรถฟรี ไม่ใช่ต้องลำบากหาตั๋วมาขึ้นรถ

(แต่ก็ยังไม่กล้าทำอย่างนั้นน่ะนะ)

เอาเถอะ ไปถึงศาลาพระเกี้ยว (แวะไปตากแอร์ศูนย์หนังสือพักหนึ่ง) ก็รู้สึกว่า เดินมาขนาดนี้แล้ว เดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึง สทป. แล้ว ไม่คุ้มรอรถสาย 2 เอาซะเลย

ก็เลยเดินไป... เลี้ยวซ้ายหอนาฬิกา (ใช่ที่เรียกว่าสามแยกปากหมาหรือเปล่า) ผ่านหน้าหอประวัติฯ มีนิทรรศการ ร.6 ที่เลยกำหนดเวลามาแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บออกแสดงอยู่ แต่ไม่ได้เข้าไปดู

เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา ก็เลยว่า... แวะเข้าห้องน้ำจามจุรี 5 ก็คงได้ แต่ไม่เคยแฮะ มีให้เข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้

เลยว่าแวะเข้าห้องน้ำชายที่ใหญ่ที่สุดในจุฬาฯ ดีกว่า

ห้องน้ำที่ว่าหมายถึงห้องน้ำตึกชีววิทยา 1 คณะวิทยาศาสตร์ ใครที่เคยใช้บริการคงจะนึกออกว่ามันพื้นที่โอ่โถงขนาดไหน

อืมม... ไหน ๆ ก็มาตึกนี้แล้ว แวะขึ้นไปดูพิพิธภัณฑ์ฯ หน่อยดีกว่า เดี๋ยวนี้หน้าตาเป็นยังไงแล้วนะ... ยังไงก็ต้องรอ สทป. เปิดบ่ายโมงอยู่ดี

ก็เลยได้มาแวะชม พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกครั้ง (เหมือนจะไม่เคยมาตั้งแต่ตอน สอวน. มั้งถ้าจำไม่ผิด)

ท่าทางเหมือน ๆ เดิมเลยแฮะ... (คือให้ความรู้สึก "พิพิธภัณฑ์" ตามความหมายที่คุ้นเคยในภาษาไทย ว่าเป็นที่เก็บวัตถุโบราณ มากกว่าที่ให้ความรู้ แต่นั่นก็อีกประเด็นที่ยังไม่ขอพูดถึงดีกว่า)

แต่กระนั้น [collection] แต่ละอย่างก็น่า [fascinating] ไม่น้อยอยู่ดี...

เอาเถอะครับ มาถึงประเด็นที่จะอวดใน blog post นี้ดีกว่า...

ข้างทางเข้า ก็มีโต๊ะสมุดเยี่ยมชมอยู่... เป็นสมุดเยี่ยมชมที่ดูใช้มาหลายปีแล้ว (ยังไม่เต็มสักที)

ลองพลิก ๆ ดู... อ๊ะ...

!

ตายละ ตอนนั้นใคร (อาจารย์อะไร) คิดผิดให้เราเป็นคนลงชื่อไว้เนี่ย จำไม่เห็นได้เลย...

(ว่าแต่เห็นชื่อกิตติศักดิ์ สิงห์พิทักษ์เมธา ด้วยแฮะ ที่เคยเห็นพูดถึงว่าเคยเข้าค่าย สอวน.ชีวะ คือค่ายนี้เองหรอกเหรอ อืมม...)

แต่พูดถึงเรื่องค้นชื่อเก่า ๆ ใน guest book นี่... เหมือนตอนไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวันเลยแฮะ...


3rd Anniversary

แถมอีกเรื่องพ่วงไว้ใน post เดียวกันแล้วกัน ไหน ๆ ก็หัวเรื่องว่า 6 February 2008 แล้ว...

Link: Zerothman: 3rd Anniversary

วันนี้ก็ครบรอบสามปีของบล็อกนี้เหมือนกันครับ

ขอพูดถึงซะหน่อย (เลียนแบบ NuttyGM Zerothman)*

แต่เนื่องจาก post แรก ยังไม่สมควรนับเป็นการเริ่ม blog ก็เลยเก็บ 3rd anniversary ไว้พูดถึงตอนครบรอบ post ที่ 2 ดีกว่า

(ถ้าจะได้พูดถึงน่ะนะ)


* Referring to: Placeholder...

Ugh. Just ugh.

I can hardly believe it.

Well, no. Actually, this is quite believable. This is Thailand, after all.

หมายเหตุ: ถ้ามีกระแส comments มากพอ อาจจะขยายความเพิ่มใน edit ถัด ๆ ไป

5 February 2008

On ชายหนุ่มที่แบก iMac กลางบุญมาครอง

ลองอ่าน ชายหนุ่มที่แบก iMac กลางบุญมาครอง (จาก Zerothman's Blog) ดูครับ...

อ่านจบแล้วสังเกตว่ามีอะไรแปลก ๆ หรือเปล่าครับ

สังเกตไหมครับว่าอะไรแปลก ๆ นั้นมัน [systematic] ยังไง

ลองอ่านดูอีกครั้งนะครับ...


คือผมเองอ่านไปรอบแรกตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้สังเกตอะไรเลยครับ

ทำให้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับ language psychology ที่เคยเรียน/เห็น บางอย่าง

โดยเฉพาะ forwarded email ที่หลาย ๆ คนคงเคยได้รับ ที่ว่า

Aoccdrnig to a rscheearch at Cmabrigde Uinervtisy, it deosn't mttaer in waht oredr the ltteers in a wrod are, the olny iprmoetnt tihng is taht the frist and lsat ltteer be at the rghit pclae. The rset can be a toatl mses and you can sitll raed it wouthit porbelm. Tihs is bcuseae the huamn mnid deos not raed ervey lteter by istlef, but the wrod as a wlohe.

เรื่องราวเกี่ยวกับ forwarded email ฉบับนี้ Matt Davis จาก University of Cambridge เขียนอธิบายเพิ่มเติมไว้ที่นี่ครับ

ผมเองเข้าไปเจอผ่าน blog post ของ Just Aaron ที่เขียนสรุปไว้ (+ พูดถึงเรื่องอื่นที่น่าสนใจอีกเล็กน้อย)

จะว่าไป... เรื่องราวที่พูดถึง กับตัวอย่าง blog post ที่ยกไว้ข้างต้น จะเกี่ยวกันแค่ไหนก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ... ปรากฏการณ์คล้าย ๆ กัน แต่ดูกลไกก็ไม่คล้ายกันเสียทีเดียว

น่าสนใจ...

2 February 2008

Final Score: 365 วันฯ

อืมม... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กะไว้ว่าว่าง ๆ อยากหาโอกาสดู แต่ก็ยังไม่ได้ดูสักที

พอดีวันนี้กลับมาจากไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย (ขึ้นรถไฟฟ้าเอกมัย... ยังนึกอยู่ว่าจะแวะท้องฟ้าจำลองดีหรือเปล่า (แต่อย่าเลย)) เกือบบ่ายสอง ก็เปิด Outlook ใน Bangkok Post อ่านการ์ตูน แล้ว scan ดูโปรแกรมทีวี ก็เห็นว่าเป็นเวลาเริ่มพอดี (เลยทานข้าวกลางวันตอนบ่ายสามครึ่งได้ (ความจริงคือวิ่งไปเปิดทีวีทีเดียว))

ที่ว่าอยากดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่ต้นเท่าไร แต่ก็เห็นว่า presentation น่าจะน่าสนใจดี...

ก็ดี... ชอบเหมือนกัน แต่ดูจบไปแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าประเด็นที่หนังจะสื่อคืออะไรบ้าง

ทำนองว่าเรื่องราว 365 วันเอามาย่อเหลือ 95 นาที ความรู้สึกที่ได้เลยเหมือนเล่น VCD แบบ fast forward (คือ skip ข้ามเป็นห้วง ๆ) ไม่ค่อยมี flow ของเรื่องราว หรือประเด็นที่ชัดเจนให้เห็น

ส่วน nostalgia factor เรื่องนี้ก็ไม่ได้แรงมาก (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกเรา... จะมีก็ตอนวันเรียนวันสุดท้าย)... ก็คงจะเพราะปัจจัยหลายอย่างรวมกัน (รวมทั้งการที่ไม่ได้ต้องลุ้นเรื่องเอนทรานซ์อะไรเท่าไร)

อืมม... แต่พูดถึงแล้ว... จำได้นะ ตอนนั้นเช้าวันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2546 มาถึงโรงเรียนประมาณหกโมงห้าสิบ ช่วงนั้นคะแนนเอนท์มันก็ทำท่าจะออกมิออกแหล่มาหลายวัน เช้าวันนั้นก็ยังเปิดเว็บประกาศคะแนนดูอยู่ก่อนออกจากบ้าน ก็ยังไม่มีอะไรโผล่มา (คืนก่อนเว็บล่มไม่เป็นท่าอยู่นาน)...

เดินเข้าโรงเรียนมา เจอเป๋าเป่าตรงหน้าโรงอาหารหอประชุม เธอบอกว่าคะแนนเอนท์ออกแล้ว~!

ตอนนั้นเลยวิ่งหาคอมกันให้วุ่นเลย พอดีไปเจอปาพจน์ (จำไม่ได้แล้วว่าเจอยังไง หรือโทรหา?) แล้วสุดท้ายก็ไปนั่งลุ้นกันในห้อง Shell (สิทธิพิเศษ - มีเน็ตใช้ส่วนตัว)

ตอนนั้นมีใครบ้างจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่ตัวเองนี่ได้เปิดเป็นคนแรกหรือคนที่สองเนี่ยแหละ คลิกใส่เลขที่นั่งสอบแล้วก็รีบคว้าเมาส์ไปลาก border ของจอ IE (สมัยนั้นยังไม่มี Firefox) ขึ้นมาให้เหลือบรรทัดเดียวแทบไม่ทัน (คนอื่นเค้าเอากระดาษปิดกัน)...

เช้าวันนั้นเพื่อน ๆ แต่ละคน สีหน้าบอกคะแนนมาแต่ไกลเลยทั้งนั้น


(อะไรเนี่ยเรา หวนอดีตอีกแล้ว กลับมาด่วน ๆ~!)


Edit:

แต่ว่าไปแล้ว... ที่ว่าอารมณ์ของหนังมันรู้สึกลอย ๆ... ก็คงเหมาะกับการบรรยายจังหวะชีวิตปีสุดท้ายในโรงเรียนอยู่... ช่วงเวลาและความรู้สึกที่ fleeting... ผ่าน ๆ มาแล้วจบไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่ทันจะตั้งตัว

Last edited 21:45, 24 February 2008

28 January 2008

50 years of LEGO bricks

วันนี้เป็นวันครบรอบ 50 ปี ของตัวต่อ LEGO® ครับ (official press release)

คิดว่าเพื่อน ๆ ที่โตมาใน socioeconomic class นี้หลายคนคงจะมีความทรงจำดี ๆ กับของเล่นชิ้นนี้อยู่ไม่มากก็น้อย

(นึกถึงงานวิทยาศาสตร์ตอน ม.3 ที่ณัชเอา Technic + ลูกปิงปองมาทำ anemometer)

เห็น Google holiday logo วันนี้แล้วคิดอยู่ว่า เอ... ไม่เห็นจะเคยเห็นตัวต่อ LEGO สีเขียวเท่าไรนะ...

วันก่อนไป (สยาม) พารากอน เห็นมี 4780 วางขายด้วย... มีสีเขียวด้วยแฮะ... ชักอยากได้ (เอ๊ะ ยังไง)

แต่เห็นราคา 10181 แล้วจะลมจับ... แพงกว่าที่สหรัฐฯ 4 เท่าได้... (นี่ภาษีมันเท่าไรเนี่ย)

แต่ที่ไปวันนั้นมีที่เตะตามากสุดคือนี่ครับ...

LEGO creation by Jumpei Mitsui on display at Siam Paragon

ปราสาทพระเทพบิดร ผลงานของคุณ Jumpei Mitsui (ดูบทความจาก the Nation)

ว่าไปแล้ว... Brickset มีรูป 10185 ออกมาให้เห็นแล้วด้วยแฮะ...

ส่วน 10184 ที่เป็นโมเดลฉลองครบ 50 ปีนี่ก็สุดยอด... (มีสีทองด้วย กรี๊ด)


ป.ล. ตอนนี้มีกล่องสมนาคุณของ LEGO ที่สามารถแลกตัวต่อ LEGO ได้ 870 cm³ ที่ LEGO Store ภายในวันที่ 31 มีนาคม... แต่ดันไม่มีร้าน LEGO อยู่ใกล้บ้าน (หรือในประเทศใกล้บ้าน)... ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนพอจะมีลู่ทางเอาไปทำประโยชน์ได้ก็ติดต่อมาแล้วกันนะครับ

ป.ป.ล. พูดถึงราคาแล้ว... NXT ที่วางขายตามห้างร่วมสองหมื่นบาท ที่สหรัฐฯ ขาย 249 เหรียญ ถ้าไม่นับค่าขนส่งนี่ราคามากกว่ากัน 250% ~ (เครื่องหมาย ~ ในที่นี้ทำหน้าที่เป็น emote)

Last edited for accuracy: 18:45, 2 February 2008

17 January 2008

Nostalgic. Badly.

เมื่อวานนี้วันที่ 16 มกราคม เป็นวันครู

ด้วยความที่สบโอกาสว่าวันพุธบ่ายว่าง (วอร์ดเดียวในปีสี่ที่มีครึ่งวันว่าง) ก็เลยแวะ (ที่จริงเดินทางไปไกลพอควร) ไปสวัสดีอาจารย์ที่โรงเรียน

พอดีว่ากลับมาแล้วยังอาการหนักไม่หายเลย (ตาม post title) ก็เลยขอหาที่ระบายแบ่งให้คนอื่นรับรู้บ้างเถอะ... (ที่จริงเมื่อวานคิดจะเขียนแล้วเหมือนกันแต่ความคิดมันซับซ้อนวกวนไปหมด วันนี้ก็คงไม่ได้ต่าง ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)

ความจริงบอกมาเท่านี้ก็น่าจะพอ [imply] ได้ว่าหมายถึงโรงเรียนอะไร ด้วยข้อมูลที่ว่า 1. ไม่หยุดวันครู และ 2. ต้องเดินทางไปไกลพอควร

(แต่นอกจากนั้นแล้ว ถ้าเคยสังเกตดู... ปกติถ้าพูดถึงโรงเรียนเตรียมฯ เราก็จะเรียกว่า "โรงเรียนเตรียมฯ" ส่วน "โรงเรียน" เฉย ๆ จะเก็บไว้เรียกสาธิตเกษตร... ก็เป็นไปตามลำดับก่อน-หลัง แต่เริ่มเข้าอีกประเด็นแล้ว ไว้พูดถึงต่อด้านล่างแล้วกัน)

อันที่จริงที่ว่าไปเยี่ยมอาจารย์ก็เหมือนจะเป็นเพียงข้ออ้างส่วนหนึ่งที่จะกลับไปเยี่ยมโรงเรียนด้วย

ก็ตั้งเกือบ 3 ปีแล้ว ที่ไม่ได้ผ่านไปทางนั้นเลย...

คงเพราะว่าเราเองก็ [sentimental] เวอร์ ด้วยส่วนหนึ่ง แต่การกลับไปโรงเรียนนี่นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ [emotional] สุด ๆ แทบทุกครั้ง

ไปคุยกับอาจารย์หลาย ๆ ท่านถึงเพิ่งนึกได้ ว่านี่มันเกือบ 7 ปีมาแล้วที่จากมา...

7 ปี!!

มองไปรอบ ๆ ตัว เวลา 7 ปีที่ว่านั้นเหมือน rewind กลับไปถึงในพริบตาเดียว... นึกไม่ถึง... นึกไม่ถึงเลย...

ไม่อยากลืม...

ไม่อยากลืม...


ที่จริงวันเสาร์ที่แล้วไม่ได้ไปงานเลี้ยงรุ่น... ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปตั้งแต่แรกแล้ว คือเรากลัวด้วยส่วนหนึ่ง... กลัวว่าไปเจอเพื่อน ๆ แล้วจะช็อก จะตกใจกับเวลาที่ผ่าน กับความจริงที่เปลี่ยนไป...

รู้อยู่ ว่ามีอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้... ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน... ที่จะทำความเข้าใจการไหลผ่านของเวลา...

เวลา...

เวลานี่เอง ที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่างเข้าใจ ช่างยอมรับได้ยากที่สุด...

ไปโรงเรียนครั้งนี้... หลายอย่างที่เห็นก็เป็นภาพเดิม ๆ ที่คุ้นตา... แต่เบื้องลึกใต้นั้นแล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป...

น่าเสียดายที่ไม่พบอ.อัชฌา... ก็ทราบมาว่าอาจารย์เกษียณอายุราชการไปแล้ว เลยไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอ แต่พอรู้ว่าอาจารย์ยังมาทำงานอยู่ แต่มาไม่ทันพบอาจารย์ ก็เลยว่าน่าเสียดายขึ้นมาอีก...

อาจารย์หลาย ๆ ท่านเล่าให้ฟัง ถึงสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป... นั่นสินะ... เกือบ 10 ปีแล้ว... 10 ปี อาจจะเร็วจนประวัติศาสตร์มองไม่เห็น แต่เมื่อเทียบกับชีวิตสั้น ๆ ของคนหนึ่งคน ก็แทบไม่น่าเชื่อเลย ว่าอะไร ๆ จะเปลี่ยนไปเร็วเท่านี้...

ไปนี่ก็ถูก อ.พรรัตน์ ลากเข้าไปคุยกับน้อง ๆ ม.3/7 (ที่จริงจะบอกอาจารย์ว่าขอไม่รบกวนเวลาการสอน - -')... มีน้องจำเราจาก Fun Camp ได้ด้วย~

โอ... ซึ้ง...

(ที่จริงแวะไปดูน้อง ๆ รับสมัคร Fun Camp ตรงลานเงิน... มีน้องทักด้วยอีกนั่น... แต่ก็จำไม่ได้อยู่ดี~ ก็เป็นอย่างนี้ซะทุกที... เฮ่อ)

อีกอย่าง ก็เพิ่งสังเกตตัวเองเหมือนกัน ว่าไปอยู่ รร.เตรียมฯ แล้วนอบน้อม เกรงใจอาจารย์ขึ้นเยอะ...


อันที่จริง... ก็รู้สึกอยู่บ่อยครั้ง ว่าเวลา 9 ปีกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนแห่งนี้ มันยังขาดอะไรไปเยอะ...

เหมือนเรื่องที่ติดตามอ่าน ติดตามดู มาตั้งแต่ต้น แต่เลิกไปเสียก่อนจะถึง climax...

ค่าย ม.4 - กีฬาสี - สาธิตสามัคคี ก็คงเป็นสิ่งที่เรา [would never] ได้พบ... ก็ยอมรับว่าเสียดายอยู่...

แต่ไม่เสียใจนะ กับทางที่เลือกเดินมา

อีกหลากหลายประสบการณ์ เพื่อน ๆ อีกหลายคน ที่เราคงไม่มีวันได้พบถ้าไม่ได้มา รร.เตรียมฯ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดทิ้งไปได้จากชีวิต

เคยมีหลายคนถาม ว่ารัก ผูกพัน กับโรงเรียนไหนมากกว่ากัน

(เราน่ะหรือก็บ้าสถาบันมิใช่น้อยอยู่...)

ก็ตอบไปทุกครั้งว่ามันไม่เหมือนกัน

ตลอดสามปีที่เตรียมฯ ความภูมิใจอย่างหนึ่งของเราคือการกลัดเข็มพระเกี้ยวองค์จริงที่ได้รับจากอาจารย์ในพิธีประดับพระเกี้ยว มาบนอกเสื้อนักเรียนด้านขวาทุกวัน โดยไม่เคยทำหาย หรือต้องเช่าพระเกี้ยวสำรองเลย

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือทุกวันที่ติดเข็มพระเกี้ยวอยู่นั้น เรามีเข็มพระพิรุณทรงนาคอยู่ข้างใจ ในกระเป๋าเสื้อนักเรียนเสมอ...

(บอกแล้วไหมล่ะว่าไอ้นี่มันบ้าสถาบัน~)

และตั้งแต่วันที่ก้าวออกจากรั้วโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสียงเพลงสาธิตเกษตรที่รัก ก็ก้องอยู่ในใจเสมอมา...

สาธิตเกษตร แหล่งความรักความภูมิใจ แม้ห่างไกลจะไม่ลืมพระคุณเอย