tag:blogger.com,1999:blog-106615752024-02-04T01:33:00.391+07:00Paul_012 : BlogPaul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.comBlogger255125tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-82703059055067628522022-10-20T20:06:00.001+07:002023-10-15T11:28:34.771+07:00Notes from the Book Expo (and the new QSNCC)<p>ไม่ได้อยากดูหน้งสืออะไรหรอก แต่รู้สึกต้องไปจาริกศูนย์ฯ สิริกิติ์ใหม่สักหน่อย แล้วพอดีช่วงนี้ห่างกันสักพักกับทวิตเตอร์อยู่ เลยได้โอกาสปัดฝุ่นบล็อกเสียบ้าง</p><p>ว่าเป็นข้อ ๆ ไปละกัน...</p><ul style="text-align: left;"><li>โอ้ ทางเชื่อมใต้ดินเข้าสถานี MRT แห่งที่ 5 แล้ว ใช้เวลาแค่ 18 ปีเอง (ประตูกั้นน้ำนี่ทองวิบวับเชียว)</li><li>ได้เห็นสักที อีเลขชั้นประหลาดตั้งมาให้งงแข่งกับพารากอน (ก็เหมือนจะเข้าใจได้มากขึ้นนิดนึง แล้วเพิ่งเห็นในวิกิพีเดียด้วยว่า lower ground floor นี่มีใช้กันจริง ๆ แต่ LM = lower mezzanine นี่มันได้เหรอ~)</li><li>ห้องน้ำติดตั้งก๊อกฝอยละอองนี่ก็ว้าวนะ เพิ่งเคยเห็น แต่นึกกลัว <i>Legionella</i> ไม่ก็ไอ้สารพิษใน Batman Begins ก่อนเลย แล้วประหยัดน้ำแต่เปลืองเวลาเหลือเกิน (ละก็มีความเพี้ยนงง ๆ อย่างไม่มีที่จ่ายสบู่บ้าง กระดาษเช็ดมืออยู่ด้านในไกลประตูบ้าง)</li><li>ดูตั้งใจสร้างภาพโลกที่ไม่มีโควิด-19 มาก จอสัมผัสเต็มไปหมด ขณะที่ทั้งตึกไม่มีที่กดแอลกอฮอล์สักจุด</li><li>ฟู้ดคอร์ทนี่เหมือนไม่ได้ตั้งใจอยากทำแต่แรกอะ ตำแหน่งการจัดวางอะไรต่ออะไรเลอะเทอะมาก ที่ซื้อคูปองไปซุกอยู่หน้าห้องน้ำ ตรงข้ามกะบันไดเลื่อนที่ลงมาเลย</li><li>การตกแต่งภายในก็สวยดีนะ ทางเข้าหันหน้าเข้าทะเลสาบนี่งดงามทำมาอวดแขกวีไอพีมาก แต่ตัวตึกดูไม่มีเอกลักษณ์แบบอันเก่า (ซึ่งก็เชยแล้วน่ะแหละนะ) เลยยังไงไม่รู้ (หรือแค่เพราะอันเก่ามันคุ้นเคยกว่า?) แต่น่าจะอยู่ที่ประเด็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ต้องทำยังไงถึงจะดูไทยน่ะแหละ</li><li>วันก่อนตอนที่เห็นพูดถึงกันว่าสร้างเสร็จก็งง ๆ ว่าอ้าวแล้วไหนว่าจะมีโรงแรมด้วยมันหายไปไหน ก็เห็น โสภณ พรโชคชัย <a href="https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1788.htm" target="_blank">วิจารณ์สรุปไว้ให้เรียบร้อยแล้ว</a> อืมม... (ว่าแต่การสมัครผู้ว่า กทม.ฯ นี่ช่างเป็นการโปรโมตตัวเองที่ได้ผลดีจริง)</li></ul><p>วิจารณ์อ้อมรอบศูนย์ฯ ละ เข้างานสักทีได้แล้วมั้ง</p><p>อ้ะ พองานมาจัดในฮอลล์ใหญ่แบบนี้แล้วไม่คุ้นเลย รู้สึกเหมือนตอนเห็นจัดที่อิมแพ็คที่เคยบ่นว่ามันไม่ได้ฟีล ไม่มี personality ของงานหนังสือที่คุ้นเคย เพราะอย่างแต่ก่อน มันจะมีรูปแบบการใช้พื้นที่ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำ โซนนิทรรศการอยู่ตรงโถงทางเข้า ร้านใหญ่อยู่ใน Plenary Hall (ใหญ่สุดนานมี อยู่เฉียงไปทางขวา) แต่ร้านนายอินทร์จะไปอยู่โซน C กว้างเต็มชั้นบนในสุดด้านขวา ส่วนมติชนครองโซน Plaza ฯลฯ แต่พอมาอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมยักษ์แบบนี้ เลยเหมือนว่าจะย้ายไปจัดที่ไหนแทนก็ได้ ความเชื่อมโยงกับสถานที่มันหมดไปแล้ว</p><p>ว่าจะเดินผ่านเร็ว ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เร็ว มีบางอย่างที่เตะตาจดมา</p><ul style="text-align: left;"><li>เข้าประตูมาไล่จากหัวมุมก็งงก่อนเลยว่า Kia ตั้งรถโชว์คืออะไร มาผิดงานเรอะ</li><li>เคยบ่น Thinknet ทำแผนที่แขวนผนังแต่ดันใช้ Mercator คราวนี้เหมือนแก้ตัวละ มาหมดเลย Robinson, Winkel tripel, Goode homolosine... แต่พิมพ์ใส่ผ้าใบวาดรูปนี่เล็กและแพงไปไปนะ</li><li>ฟ้าเดียวกัน ทอง มาก (ไม่มีรูปใด ๆ กล้องโทรศัพท์พัง )</li><li>กระแสแฟรนไชส์ Sapiens ยังไม่แผ่วเลยแฮะ คราวนี้มาเป็นหนังสือเด็ก Unstoppable Us ส่วน Guns, Germs and Steel ฉบับแปลก็ได้กระแสมาคล้าย ๆ กัน (ว่าแต่หนังสือมันปี 1997 เลยแฮะ)</li><li>เพิ่งเห็นว่ามติชนแปล Siamese Melting Pot</li><li>โซนประวัติศาสตร์และการเมืองนี่มีก้าวไกลทำห้องเสวนากับเพื่อไทยทำจอโฟนอินนี่ก็แอบงง ๆ เหมือนกัน (แต่ถ้ามี พปชร.ด้วยนี่คงยิ่งฟีลแปลกไปอีกเลย)</li><li>ว่าแต่เออ กลุ่มเป้าหมายของงานหนังสือฯ นี่อายุน้อยสักแค่ไหนนะ แล้วที่ผ่านมามันเปลี่ยนแปลงยังไงบ้างหรือเปล่า</li><li>เพราะคือไม่ค่อยได้เดินก็หลายปีแหละ แต่เพิ่งเห็นว่านิยายวายคือโปรโมตเยอะ แบบ เยอะ มาก นายอินทร์นี่เป็นโซนวายไปล็อกนึง 1/5 ร้านเลยมั้ง ไม่ต้องพูดถึง สนพ.เฉพาะทางทั้งหลาย (ขนาดไม่ได้เข้าไปไล่ซอยโซนนิยายและวรรณกรรมนะ) กระทั่ง Asia Books ยังตั้ง Heartstopper เป็นกำแพงเต็มด้านนึงเลย</li><li>นึกดูก็ ช่างเป็นกระแสวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งอะไรขนาดนี้ ไม่แปลกแล้วมั้งที่จะเป็นอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ส่งออก เทียบกับที่ชอบเล่ากันว่าสมัยก่อนต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วก็ อืม วงการนี้มาไกลมากจริง</li></ul>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-51589150764617347342021-11-11T03:03:00.000+07:002021-11-11T03:03:24.843+07:00Democracy with the monarch as head of state<blockquote>ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข</blockquote><p>ประโยคและวลีคลาสสิกที่คนไทยไม่มีใครไม่คุ้นเคย เพราะต่างถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่กลับลึกลับในความหมายที่ลื่นไหลอย่างน่าประหลาด</p><p>ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้วิจารณ์ว่ามันเป็นวลีที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสนอง “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” กันพอควร แต่ผมไม่เห็นด้วยนักนะ มันออกจะสื่อความหมายได้ชัดเจนและตรงประเด็นกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันอย่าง constitutional monarchy</p><p>เพราะการจำแนกระบอบการปกครอง ข้อสำคัญมันต้องอยู่ที่รูปแบบการบริหาร มากกว่าการดูแค่ว่าใครเป็นประมุขสิ อย่างบรูไนมีกษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญ ถ้าตีความตามตัวอักษรก็เรียกเป็น constitutional monarchy ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะ constitutional monarchy มันหมายถึงประชาธิปไตยที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ วลีภาษาไทยที่ใช้กันจึงสื่อความหมายได้ดีกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่หลงค้างมาตั้งแต่สามร้อยปีก่อน และเข้าท่ากว่าศัพท์บัญญัติกำปั้นทุบดินอย่าง <i>ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ</i> ที่ชวนประดักประเดิดยิ่งนัก</p><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><tbody><tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWSR_r2Js3duSkLhI-WmT5nxjVskRAQM0TChUI-ipKV_8vgluNtqkVayue3gL5BiyD5KQsP-kc0n_hIXubl58zMq_3M3w9MTzaEFmlM6A8E9f5cJ0UxSncjqnWx0wIw8FmVuziQw/s720/Screenshot_2021-11-10-23-17-33.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" data-original-height="384" data-original-width="720" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWSR_r2Js3duSkLhI-WmT5nxjVskRAQM0TChUI-ipKV_8vgluNtqkVayue3gL5BiyD5KQsP-kc0n_hIXubl58zMq_3M3w9MTzaEFmlM6A8E9f5cJ0UxSncjqnWx0wIw8FmVuziQw/w400-h213/Screenshot_2021-11-10-23-17-33.jpg" width="400" /></a></td></tr><tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">เรื่องความภักดีต่อศัพท์บัญญัติชวนประดักประเดิดนี่ต้องยกให้วิกิพีเดียเขาล่ะ</td></tr></tbody></table><p>ผมเองน่าจะเพิ่งประจักษ์กับความแตกต่างนี้เมื่อช่วงรัฐประหารปี 2006 ตอนนั้นในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษมีคนไปแก้กล่องข้อมูลในบทความ Thailand ที่ระบุระบอบการปกครองเป็น Constitutional monarchy โดยต่อท้ายเพิ่มว่า under military dictatorship ซึ่งก็ เออแฮะ พอเป็นวลีนี้มันก็มีความง่ายแบบแปลก ๆ ดี นัยว่าถึงจะยึดอำนาจเป็นเผด็จการทหาร แต่ระบอบกษัตริย์ก็ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกล้มล้าง ซึ่งเฮ่ยไม่ได้สิ ในเมื่อมันล้มล้างประชาธิปไตยเห็น ๆ ถ้าใช้ภาษาไทยตามที่บอกข้างต้นก็จะไม่เกิดการเลือนความหมายแบบนี้</p><p>แต่ถึงแม้วลี ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะสื่อความตามหลักภาษาได้ชัดเจนว่าประชาธิปไตยสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนประมุขเป็นอันดับรอง ก็เหมือนว่าความหมายโดยนัยนี้กลับกำลังถูกบางขั้วในสังคมพยายามบิดให้กลายเป็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มากขึ้นเรื่อย ๆ</p><p>ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก ถ้าลองย้อนดูรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ จะเห็นว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ถึง 2521 มาตรา 2 ไม่ได้เขียนไว้อย่างปัจจุบัน แต่ใช้ว่า <q>ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</q></p><p>สังเกตการเว้นวรรคที่สื่อว่าประชาธิปไตยกับประมุขนั้นเป็นสองประเด็นแยกกัน</p><p>การเอาช่องไฟออกและเติมคำเชื่อม อัน เข้าไป เพิ่งมีในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และ 2534 ตามลำดับ และคงอยู่ต่อมาแต่นั้น ซึ่งนึกดูก็น่าคล้อยตามว่าเป็นการสร้างความหมายใหม่ให้พระมหากษัตริย์กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกกันไม่ได้ของประชาธิปไตย (แบบไทย ๆ) ตามที่เขาว่า</p><p>แต่มาถึงวันนี้ ความหมายนั้นเหมือนจะกำลังถูกเปลี่ยนไปอีกขั้น พระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตยอาจจะกลับมาแยกกันได้อีกครั้ง</p><p>แต่เป็นการแยกให้เห็นว่ามีอย่างเดียวที่สำคัญ</p><p>และเขาก็ได้บอกอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-81684337918140402292021-08-15T19:00:00.004+07:002021-08-15T19:03:08.404+07:00ว่าด้วย ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ<p class="de-emphasis">เอ็นทรีนี้ดัดแปลงจากโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อปี 2015 ซึ่งอ้างถึงบทความ “<a href="https://web.facebook.com/withinthewalls.of.triamudom/photos/a.583416855036369/614414778603243/" target="_blank">ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ</a>” ที่เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ในโลกสี่เหลี่ยมของเตรียมอุดม เมื่อปี 2013 และเผยแพร่ซ้ำผ่านเพจ กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ในปี 2015</p><iframe src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fweb.facebook.com%2FEducationforLiberationofSiam2.0%2Fphotos%2Fa.480597798724707%2F870119329772550%2F%3Ftype%3D3&show_text=true&width=500" width="500" height="530" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowfullscreen="true" allow="autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share"></iframe><p>ผมเข้าใจประเด็นที่ผู้เขียนเสนอนะ ที่เขาบอกว่าฉันไม่ค่อยเก่ง จริง ๆ แล้วความหมายคือไม่เก่งเหมือนพวกเด็กโอฯ ที่มองอะไรก็เห็นไปถึงระดับอณูเหมือนนีโอใน The Matrix ส่วนที่เขาจำใจเรียนแบบท่องจำไปนั่นมันก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำนั่นแหละ แต่ที่แตกต่างคือเขาไม่สามารถทำใจหยุดยอมรับที่แค่นั้นได้</p><p>ไอ้คำถามอย่าง 1 คูลอมบ์แปลว่าอะไร หรือความหมายของหน่วยมูลฐานและมิติของปริมาณต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเข้าใจฟิสิกส์เป็นอย่างมาก แต่ครูก็ไม่เคยสอนจริง ๆ (ถึงจะอยู่ในภาคผนวกของหนังสือเรียน สสวท.ก็เถอะ) ซึ่งบางคนก็สามารถคิดเข้าใจเองได้ (ตอน ม.5 ผมเคยเถียงกับเพื่อนอยู่ว่าทำไมโมลถึงเป็นหน่วยมูลฐานทั้ง ๆ ที่เป็นปริมาณไร้มิติ) แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่</p><p>แล้วการที่ไม่มีใครสอนคอนเซปต์พื้นฐานพวกนี้มันเป็นปัญหาแค่ไหน อย่างที่เห็นจากโพสต์ต้นทาง มันไม่เป็นปัญหาต่อการสามารถคิดวิเคราะห์และทำโจทย์ที่อาศัยหลักการที่สูงขึ้นไปหรอก แต่มันบังคับให้ต้องทำโดยยอมรับบทบัญญัติหลาย ๆ อย่างไปโดยปริยาย หรือก็คือที่ผู้เขียนบ่นว่าต้องเรียนแบบท่องจำ</p><p>ซึ่งผู้เขียนเขาทำใจยอมรับตรงนี้ไม่ได้ เขาอยากจะสามารถสร้างมโนภาพถึงองค์ประกอบทุกอย่างขึ้นมา และเข้าใจที่มาที่ไปทุกอย่างของมันตั้งแต่ต้น เขาไม่อยากจำว่ามุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้ 180 องศา แต่เขาต้องการเห็นภาพว่าถ้าวาดเส้นขนานกับฐานของสามเหลี่ยม มุมแย้งของมุมฐานทั้งสองจะประกบกับมุมยอดของสามเหลี่ยมรวมกันได้เป็นมุมตรงพอดี เขาอยากเป็นเหมือนเด็กเก่งระดับเทพทั้งหลายที่ไม่ต้องท่องสูตร เพราะเข้าห้องสอบไปก็สามารถพิสูจน์สูตรเหล่านั้นขึ้นมาได้เองจากความเข้าใจ แต่เขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเห็นเส้นที่ขนานกับฐานของสามเหลี่ยมนั้นได้เอง และอยากให้ครูสอนให้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง</p><p>ผมคิดว่าผมเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียนนะ ในวิชาคณิตศาสตร์ ผมมีปัญหากับเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติเป็นอันมาก เพราะคณิตศาสตร์ที่ผมเคยรู้จัก มันต้องเห็นที่มาที่ไปได้ชัดเจนพอที่จะสร้างมโนทัศน์ขึ้นในใจเองได้ เหมือนอย่างที่เราสามารถแรเงาพื้นที่ต่าง ๆ ในเซตที่อินเตอร์เซกกัน หรือนึกภาพลูกเต๋าในเรื่องความน่าจะเป็นได้โดยไม่ต้องยุ่งกับสูตรตัวเลขใด ๆ แต่กับตรีโกณมิติผมไม่สามารถทำได้</p><p>และพอไม่สามารถสร้างมโนทัศน์ได้ ก็เลยทำให้การเรียนเรื่องนั้น ๆ ดิ่งเหวไปเลย เพราะผมไม่สามารถท่องจำสูตรและสมการเหล่านั้นได้โดยปราศจากความเข้าใจ ในกรณีนี้ผู้เขียนข้างต้นยังประสบผลสำเร็จในการทำข้อสอบมากกว่าผม เพราะเขายังสามารถทนเรียนแบบท่องจำได้ ถึงแม้จะขัดใจตัวเองก็ตาม</p><p>ปัญหาก็คือเขาฉลาดพอที่จะเห็นว่าทุกอย่างมันควรเชื่อมโยงกันได้ แต่ยังไม่เก่งพอที่จะเห็นภาพความเชื่อมโยงเหล่านั้นได้เอง และแน่นอนว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ได้มุ่งที่จะช่วยเขาในจุดนี้</p><p>ทั้งนี้จะขอยังไม่กล่าวถึงประเด็นแหล่งความรู้นอกห้องเรียน เพราะยุคสมัยที่ผ่านไปอาจจะทำให้เปรียบเทียบประสบการณ์กันได้ยากสักหน่อย</p><p>* * *</p><p>จริง ๆ แล้วผมว่ายังมีอีกคำถามที่สำคัญและน่าคิด ว่าความต้องการของผู้เขียน ที่จะเรียนฟิสิกส์ (ที่จริงก็รวมไปถึง formal sciences ทั้งหลายด้วย) โดยสร้างความเข้าใจทะลุปรุโปร่งในทุกด้าน มันเป็นไปได้จริงหรือเปล่า</p><p>สำหรับฟิสิกส์ระดับมัธยมปลาย ซึ่งแทบจะหยุดอยู่แค่ศตวรรษที่ 19 อาจยังไม่เห็นภาพชัดนัก แต่ก็มีอยู่เรื่อย ๆ ที่จะต้องพบเจอกับทฤษฎีบทที่ “เขาพิสูจน์มาแล้ว” แต่วิธีพิสูจน์นั้นต้องใช้ศาสตร์ที่ยังไม่ได้เรียน จึงต้องยอมรับไปก่อนโดยปริยาย แม้กระทั่งในเรขาคณิตระดับประถม เราก็ต้องท่องจำว่าปริมาตรของทรงกรวยเป็น 1/3 ของทรงกระบอก เพราะการพิสูจน์ที่มานั้นต้องใช้แคลคูลัส การท่องจำจากสิ่งที่มีคนคิดไว้ก่อนแล้วจึงแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในบรรดาศาสตร์รูปนัย</p><p>กระนั้นแล้ว คนที่ได้ร่ำเรียนจนหมดมวลความรู้ของมนุษยชาติในสาขานั้น ๆ ก็ควรจะสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่ผู้เขียนต้องการหรือเปล่า อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันก็ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่าสมองของมนุษย์จะทรงพลังขนาดนั้น แล้วอย่างไรเสีย ต่อให้อัจฉริยะระดับไหน ก็คงไม่สามารถคิดวิเคราะห์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบได้โดยไม่ต้องแบ่งเป็นขั้นตอนเสียก่อน และในบรรดาขั้นตอนเหล่านั้น สุดท้ายแล้วยังไงมันก็มีสิ่งที่เราต้องจำไปใช้อยู่ดี แม้ว่าจะเคยคิดวิเคราะห์ไว้เองก็ตาม</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-19742742352978005612021-01-15T14:13:00.006+07:002021-01-15T14:13:51.075+07:0015... 20 years of Wikipedia<p class="de-emphasis">เอ็นทรีนี้คัดลอกจากโพสต์เก่าในเฟซบุ๊กเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อวาระที่วิกิพีเดียครบรอบ 15 ปี ไหน ๆ ตอนนี้ครบ 20 ปีแล้ว ก็ขอเอามาแปะในบล็อกด้วยแล้วกัน</p>
<p>เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่มีวิกิพีเดียมานานกว่าที่ไม่มีแล้ว นึกดูก็แปลกดี จำได้ว่า google เจอ Wikipedia ครั้งแรกเมื่อปี 2003 ตอนหาข้อมูลทำพรีเซนต์เรื่องวัฒนธรรมแคนาดาของ'จารย์ Jacobsen</p><p>
ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอกว่ามันเป็น open content ที่ใครก็ร่วมเขียนได้อะไรยังไง มารู้จักจริงจังก็ช่วงปี 2005–06 ที่กระแส Web 2.0 กำลังมาแรง ซึ่งวิกิพีเดียนี่น่าจะนับได้เลยว่าเป็นผลิตผลของ Web 2.0 ที่ revolutionary ที่สุด</p><p>
แต่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ใน 15 ปีที่ผ่านมานี้ พอจะเห็นได้ว่า 5 ปีแรกเป็นช่วงของการตั้งต้นเงียบ ๆ 5 ปีถัดมาเป็นการเติบโตพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว และ 5 ปีหลังนี้เริ่มนิ่งและอยู่ตัว แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าพลังงานและพลวัตของผู้ร่วมเขียนเว็บไซต์มันเริ่มแผ่วลงมานานแล้ว เราเองก็คงได้แต่สงสัยว่าในอนาคต เราจะยังมีแหล่งความรู้ของมวลมนุษยชาติที่กว้างขวางและเข้าถึงได้ง่ายอย่างวิกิพีเดียอยู่อีกหรือไม่ แต่ที่รู้แน่ชัดคือวิกิพีเดียได้ปฏิวัติการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ของเราไปแล้วตลอดกาล</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-86873851610824710512020-12-02T21:40:00.002+07:002020-12-02T21:47:24.613+07:00ปัญหาของการบังคับเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ<blockquote class="twitter-tweet" data-dnt="true"><p lang="th" dir="ltr">ธรรมนูญองค์การลูกเสือโลกระบุว่าการลูกเสือต้องเข้าร่วมโดยสมัครใจ แล้วที่โรงเรียนไทยให้เป็นกิจกรรมภาคบังคับนั่นทำได้ยังไง</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/799613594954440704?ref_src=twsrc%5Etfw">November 18, 2016</a></blockquote> <script async src="https://platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script>
<p>ผมเคยกล่าวถึงประเด็นการบังคับเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือมาบ้างแล้ว และเคยได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเสนอให้กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไททาง Facebook Messenger แต่เหมือนว่าเขาจะไม่สะดวกเลยมิได้ตอบกลับ แต่ไหน ๆ แล้ว ขอเอามาแปะไว้ตรงนี้อีกที่หนึ่งแล้วกัน เผื่อใครสนใจ</p>
<hr />
<p>สวัสดีครับ</p>
<p>ผมเห็นว่าที่ผ่านมา ELSiam ได้เสนอปัญหาเกี่ยวกับกิจกรรมลูกเสือฯ มาเป็นระยะ ๆ จึงอยากเสนอประเด็นที่อาจสนใจใช้เป็นแนวทางในการรณรงค์อีกอย่างหนึ่ง คือความสมัครใจในการเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ</p>
<p>ผมไม่แน่ใจว่า ELSiam เคยรณรงค์เรื่องนี้มาแล้วแค่ไหนบ้างนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าน่าแปลกใจเกี่ยวกับการลูกเสือในประเทศไทย คือการเป็นกิจกรรมภาคบังคับ ที่นักเรียนทุกคน “ต้อง” เข้าร่วมโดยปริยาย ซึ่งแตกต่างเป็นอันมากจากในประเทศต้นกำเนิด ที่เน้นความสมัครใจเข้าร่วมเป็นแก่นสำคัญอย่างหนึ่งของกิจการลูกเสือ (ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะลูกเสือนะครับ เพราะไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ ฯลฯ)</p>
<p>ทั้งนี้ธรรมนูญองค์การลูกเสือโลกเองให้นิยามกิจการลูกเสือไว้ว่า</p>
<blockquote>The Scout Movement is a voluntary non-political educational movement for young people open to all without distinction of gender, origin, race or creed, in accordance with the purpose, principles and method conceived by the Founder and stated below.</blockquote>
<p>ต้องยอมรับว่าในประเทศไทย กิจการลูกเสือมีสถานะพิเศษ มีกฎหมายรับรองการสนับสนุนจากรัฐโดยตรง สืบเนื่องจากที่มีรัชกาลที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้ง แต่กระนั้นก็ตาม ข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติก็ระบุชัดเจนว่า</p>
<blockquote>ให้เด็กชายเป็นสมาชิกของกองลูกเสือตามความสมัครใจ</blockquote>
<p>แนวปฏิบัติที่ขัดแย้งกับกับหลักการความสมัครใจนี้ ผมพบปรากฏในเอกสารทางการคือ แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.</p>
<p>ทั้งนี้หลักสูตรแกนกลางฯ กำหนดให้โรงเรียนจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งแบ่งเป็นกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ และระบุกิจกรรมนักเรียนไว้สองประเภท คือ (1) <q>กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชาทหาร</q> และ (2) <q>กิจกรรมชุมนุม ชมรม</q></p>
<p>จะเห็นว่าหลักสูตรแกนกลางฯ มิได้กล่าวถึงการบังคับเข้าร่วมแต่อย่างใด แต่คู่มือแนวทางการจัดกิจกรรม ของสพฐ. กลับเขียนไว้ว่า</p>
<blockquote>นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในข้อ 1 และ 2</blockquote>
<p>ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งกิจการลูกเสือโดยตรง</p>
<p>การบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมลักษณะนี้ นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนแล้ว ผมมองว่ายังเป็นผลเสียต่อกิจการลูกเสือในประเทศไทยอีกด้วย เพราะเมื่อผู้เข้าร่วมไม่เต็มใจ ตัวกิจกรรมก็ย่อมมีแนวโน้มจะถูกมองในแง่ลบ</p>
<p>และที่สำคัญ ยังจะทำให้คณะลูกเสือแห่งชาติขาดคุณสมบัติสมาชิกภาพตามบทบัญญัติของธรรมนูญองค์การลูกเสือโลกอีกด้วย เพราะธรรมนูญระบุคุณสมบัติไว้ข้อหนึ่งว่า</p>
<blockquote>Establishment of the National Scout Organization as an independent, non-political, voluntary movement of probity and effectiveness.</blockquote>
<p>ผมเคยได้รับทราบข้อมูลว่า มีองค์กรลูกเสือบางประเทศเคยถูกระงับสมาชิกภาพ เนื่องจากบังคับให้เยาวชนเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ยังไม่มีโอกาสสืบค้นรายละเอียดว่าหมายถึงประเทศไหน เมื่อไร แต่หากข้อมูลที่ผมได้รับมานั้นถูกต้อง ก็น่าจะพออนุมานได้ว่าองค์การลูกเสือโลกเขามองเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ร้ายแรงทีเดียว</p>
<p>การเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้คงไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ และย่อมต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ผมนำข้อมูลนี้มาเสนอ เผื่อว่า ELSiam จะสนใจนำไปเรียบเรียงและใช้ประชาสัมพันธ์เพื่อเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายการศึกษาได้ตระหนักถึงความขัดแย้งนี้ และดำเนินการแก้ไขต่อไป</p>
<p>และหากผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศไทยจะมองว่าไม่สำคัญ การส่งเรื่องให้องค์การลูกเสือโลกช่วยตรวจสอบ อาจจะช่วยเป็นแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาในทางที่ดีขึ้นได้อีกทางหนึ่ง</p>
<p>ขอฝากให้พิจารณาด้วยนะครับ</p>
<p>ขอบคุณครับ</p>
<hr />
<div class="footnote"><p>ลิงก์เอกสารประกอบ</p>
<ul>
<li><a href="https://www.scout.org/sites/default/files/library_files/WOSMconstitutionV2017%20EN%20FR%20xweb_1.pdf" target="_blank">ธรรมนูญองค์การลูกเสือโลก</a> (หน้า 3 ข้อ I-1, หน้า 9 ข้อ V-5(b))</li>
<li><a href="https://drive.google.com/file/d/0B9HwKDD9beP7NUhlVlBsR0VXb00/view" target="_blank">ข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วย การปกครอง หลักสูตร และวิชาพิเศษลูกเสือ พ.ศ. 2509</a> (ข้อ 3 วิธีการ (1))</li>
<li><a href="https://drive.google.com/file/d/1mKyU6tkVWlL5b6vfwHNEzqkcqVXf_H-m/view" target="_blank">หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551</a> (หน้า 21)</li>
<li><a href="https://sgs.bopp-obec.info/menu/Data/guidance01.pdf" target="_blank">แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551</a> (หน้า 25–26)</li>
</ul>
</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-35519100603689729802020-10-28T02:45:00.001+07:002020-12-20T15:07:11.713+07:00Thoughts behind the final farewell<blockquote class="instagram-media" data-instgrm-captioned data-instgrm-permalink="https://www.instagram.com/p/Baq-O-DBCcm/?utm_source=ig_embed&utm_campaign=loading" data-instgrm-version="12" style=" background:#FFF; border:0; border-radius:3px; box-shadow:0 0 1px 0 rgba(0,0,0,0.5),0 1px 10px 0 rgba(0,0,0,0.15); margin: 1px; max-width:540px; min-width:326px; padding:0; width:99.375%; width:-webkit-calc(100% - 2px); width:calc(100% - 2px);"><div style="padding:16px;"> <a href="https://www.instagram.com/p/Baq-O-DBCcm/?utm_source=ig_embed&utm_campaign=loading" style=" background:#FFFFFF; line-height:0; padding:0 0; text-align:center; text-decoration:none; width:100%;" target="_blank"> <div style=" display: flex; flex-direction: row; align-items: center;"> <div style="background-color: #F4F4F4; border-radius: 50%; flex-grow: 0; height: 40px; margin-right: 14px; width: 40px;"></div> <div style="display: flex; flex-direction: column; flex-grow: 1; justify-content: center;"> <div style=" background-color: #F4F4F4; border-radius: 4px; flex-grow: 0; height: 14px; margin-bottom: 6px; width: 100px;"></div> <div style=" background-color: #F4F4F4; border-radius: 4px; flex-grow: 0; height: 14px; width: 60px;"></div></div></div><div style="padding: 19% 0;"></div> <div style="display:block; height:50px; margin:0 auto 12px; width:50px;"><svg width="50px" height="50px" viewBox="0 0 60 60" version="1.1" xmlns="https://www.w3.org/2000/svg" xmlns:xlink="https://www.w3.org/1999/xlink"><g stroke="none" stroke-width="1" fill="none" fill-rule="evenodd"><g transform="translate(-511.000000, -20.000000)" fill="#000000"><g><path d="M556.869,30.41 C554.814,30.41 553.148,32.076 553.148,34.131 C553.148,36.186 554.814,37.852 556.869,37.852 C558.924,37.852 560.59,36.186 560.59,34.131 C560.59,32.076 558.924,30.41 556.869,30.41 M541,60.657 C535.114,60.657 530.342,55.887 530.342,50 C530.342,44.114 535.114,39.342 541,39.342 C546.887,39.342 551.658,44.114 551.658,50 C551.658,55.887 546.887,60.657 541,60.657 M541,33.886 C532.1,33.886 524.886,41.1 524.886,50 C524.886,58.899 532.1,66.113 541,66.113 C549.9,66.113 557.115,58.899 557.115,50 C557.115,41.1 549.9,33.886 541,33.886 M565.378,62.101 C565.244,65.022 564.756,66.606 564.346,67.663 C563.803,69.06 563.154,70.057 562.106,71.106 C561.058,72.155 560.06,72.803 558.662,73.347 C557.607,73.757 556.021,74.244 553.102,74.378 C549.944,74.521 548.997,74.552 541,74.552 C533.003,74.552 532.056,74.521 528.898,74.378 C525.979,74.244 524.393,73.757 523.338,73.347 C521.94,72.803 520.942,72.155 519.894,71.106 C518.846,70.057 518.197,69.06 517.654,67.663 C517.244,66.606 516.755,65.022 516.623,62.101 C516.479,58.943 516.448,57.996 516.448,50 C516.448,42.003 516.479,41.056 516.623,37.899 C516.755,34.978 517.244,33.391 517.654,32.338 C518.197,30.938 518.846,29.942 519.894,28.894 C520.942,27.846 521.94,27.196 523.338,26.654 C524.393,26.244 525.979,25.756 528.898,25.623 C532.057,25.479 533.004,25.448 541,25.448 C548.997,25.448 549.943,25.479 553.102,25.623 C556.021,25.756 557.607,26.244 558.662,26.654 C560.06,27.196 561.058,27.846 562.106,28.894 C563.154,29.942 563.803,30.938 564.346,32.338 C564.756,33.391 565.244,34.978 565.378,37.899 C565.522,41.056 565.552,42.003 565.552,50 C565.552,57.996 565.522,58.943 565.378,62.101 M570.82,37.631 C570.674,34.438 570.167,32.258 569.425,30.349 C568.659,28.377 567.633,26.702 565.965,25.035 C564.297,23.368 562.623,22.342 560.652,21.575 C558.743,20.834 556.562,20.326 553.369,20.18 C550.169,20.033 549.148,20 541,20 C532.853,20 531.831,20.033 528.631,20.18 C525.438,20.326 523.257,20.834 521.349,21.575 C519.376,22.342 517.703,23.368 516.035,25.035 C514.368,26.702 513.342,28.377 512.574,30.349 C511.834,32.258 511.326,34.438 511.181,37.631 C511.035,40.831 511,41.851 511,50 C511,58.147 511.035,59.17 511.181,62.369 C511.326,65.562 511.834,67.743 512.574,69.651 C513.342,71.625 514.368,73.296 516.035,74.965 C517.703,76.634 519.376,77.658 521.349,78.425 C523.257,79.167 525.438,79.673 528.631,79.82 C531.831,79.965 532.853,80.001 541,80.001 C549.148,80.001 550.169,79.965 553.369,79.82 C556.562,79.673 558.743,79.167 560.652,78.425 C562.623,77.658 564.297,76.634 565.965,74.965 C567.633,73.296 568.659,71.625 569.425,69.651 C570.167,67.743 570.674,65.562 570.82,62.369 C570.966,59.17 571,58.147 571,50 C571,41.851 570.966,40.831 570.82,37.631"></path></g></g></g></svg></div><div style="padding-top: 8px;"> <div style=" color:#3897f0; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; font-style:normal; font-weight:550; line-height:18px;"> View this post on Instagram</div></div><div style="padding: 12.5% 0;"></div> <div style="display: flex; flex-direction: row; margin-bottom: 14px; align-items: center;"><div> <div style="background-color: #F4F4F4; border-radius: 50%; height: 12.5px; width: 12.5px; transform: translateX(0px) translateY(7px);"></div> <div style="background-color: #F4F4F4; height: 12.5px; transform: rotate(-45deg) translateX(3px) translateY(1px); width: 12.5px; flex-grow: 0; margin-right: 14px; margin-left: 2px;"></div> <div style="background-color: #F4F4F4; border-radius: 50%; height: 12.5px; width: 12.5px; transform: translateX(9px) translateY(-18px);"></div></div><div style="margin-left: 8px;"> <div style=" background-color: #F4F4F4; border-radius: 50%; flex-grow: 0; height: 20px; width: 20px;"></div> <div style=" width: 0; height: 0; border-top: 2px solid transparent; border-left: 6px solid #f4f4f4; border-bottom: 2px solid transparent; transform: translateX(16px) translateY(-4px) rotate(30deg)"></div></div><div style="margin-left: auto;"> <div style=" width: 0px; border-top: 8px solid #F4F4F4; border-right: 8px solid transparent; transform: translateY(16px);"></div> <div style=" background-color: #F4F4F4; flex-grow: 0; height: 12px; width: 16px; transform: translateY(-4px);"></div> <div style=" width: 0; height: 0; border-top: 8px solid #F4F4F4; border-left: 8px solid transparent; transform: translateY(-4px) translateX(8px);"></div></div></div></a> <p style=" margin:8px 0 0 0; padding:0 4px;"> <a href="https://www.instagram.com/p/Baq-O-DBCcm/?utm_source=ig_embed&utm_campaign=loading" style=" color:#000; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; font-style:normal; font-weight:normal; line-height:17px; text-decoration:none; word-wrap:break-word;" target="_blank">Waiting on a final farewell</a></p> <p style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px; margin-bottom:0; margin-top:8px; overflow:hidden; padding:8px 0 7px; text-align:center; text-overflow:ellipsis; white-space:nowrap;">A post shared by <a href="https://www.instagram.com/paul_012/?utm_source=ig_embed&utm_campaign=loading" style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; font-style:normal; font-weight:normal; line-height:17px;" target="_blank"> Paul_012</a> (@paul_012) on <time style=" font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px;" datetime="2017-10-25T12:44:24+00:00">Oct 25, 2017 at 5:44am PDT</time></p></div></blockquote> <script async src="//www.instagram.com/embed.js"></script><p>เคยว่าอยากจะเล่าความคิดเบื้องหลังภาพด้านบนนี้มาสักพัก แต่ยังไม่ได้พยายามเรียบเรียงจริง ๆ จัง ๆ สักที วันนี้<a href="#final-farewell-note1">¹</a> ครบรอบสามปีแล้ว คงเป็นเวลาที่นานพอที่จะย้อนกลับไปมองในฐานะอดีตได้ (และปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของสังคมในช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็ได้ช่วยให้ก้าวข้ามความลังเลที่จะเล่าเรื่องเหล่านี้ออกมา)</p><p>คนที่รู้จักผมอาจแปลกใจกับภาพนี้ที่โพสต์ในอินสตาแกรม อย่างผมเนี่ยนะ จะไปเบียดเสียดฝูงชนปักหลักรอขบวนพระบรมศพทั้งคืน ซึ่งก็ถูกแล้ว ผมไม่ได้ไปรอข้ามคืนหรอก และคงไม่ได้คิดจะไปร่วมพระราชพิธีในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์เลย ถ้าไม่ใช่เพราะที่บ้านรู้จักกับโรงแรมแถวท่าเตียนและสามารถจองห้องเพื่อเป็นใบเบิกทางให้เข้าพื้นที่ได้ ว่ากันตรง ๆ แบบเห็นแก่ตัวเลยก็คือ ผมไม่ได้ตั้งใจไปเพื่อน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยในฐานะประชาชนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เท่ากับที่จะไปเพื่อประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเอง (กับอาจจะได้รูปไปลงวิกิพีเดีย) และไม่ได้คิดที่จะลงทุนแบบที่บรรดาผู้คนที่ฝ่ามาด้วยใจเขาต้องทำเลยด้วยซ้ำ</p><p>แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดหรอก</p><p>ผมเติบโตในระบบโรงเรียนมาในทศวรรษ 1990s โดยเฉพาะในบรรยากาศการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ช่วงนั้นแนวคิดเกี่ยวกับชาติและการปกครองของไทยเริ่มตกผลึกนิ่งแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นที่เคารพนับถือในฐานะผู้ค้ำจุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสื่อรอบตัวต่าง ๆ ก็สะท้อนแนวคิดเหล่านี้ ผมไม่เคยเรียนว่าคนไทยมีหน้าที่รักในหลวง แต่คนไทยรักในหลวงเพราะทรงทุ่มเทอุทิศพระวรกายและพระปรีชาสามารถเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน อันที่จริงเรื่องเล่าเหล่านี้แทบไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่เราสัมผัสและซึมซับมันมาจากการบอกย้ำในโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันแต่งกลอนเทิดพระเกียรติ การบ้านวิชาศิลปะที่ให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ การแปรขบวนรูปตราสัญลักษณ์กาญจนาภิเษกในพิธีปิดกีฬาสาธิตสามัคคี ตลอดจนการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและสดุดีมหาราชาตอนเข้าแถวหน้าเสาธงปีละสองครั้ง</p><p>ช่วงเวลานั้น จนถึงการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีในปี 2006 เป็นช่วงที่หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเป็นจุดสูงสุดของฐานะความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล สำหรับผมเองก็เช่นกัน วันที่ 9 มิถุนายนนั้น ผมกับเพื่อน ๆ ไปชมการซ้อมใหญ่ขบวนเรือพระราชพิธี และตอนค่ำก็ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวง ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ ท่ามกลางความวุ่นวายและฝูงชนที่แน่นขนัด นาทีที่ทุกคนเริ่มร้องเพลงพร้อมกันนั้น มันสัมผัสได้ถึงการมีความรู้สึกร่วมกันกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย ณ ที่นั้น (ถึงจริง ๆ แล้วเพลงจะไม่พร้อมเลย เพราะลำโพงอยู่ไกล) มันเป็นความตื้นตันที่เหนือกว่าการร้องหน้าเสาธงที่โรงเรียนทุกครั้ง</p><p>นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ร้องและรู้สึกอะไรกับเพลงเหล่านั้น</p><p>ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่หลังจากนั้นความ “อิน” หรือการรู้สึกร่วมเวลาเห็นการเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ สำหรับผมก็ค่อย ๆ ลดหายไป อาจเป็นเพราะบรรยากาศการเมือง ที่นับจากรัฐประหารที่ตามมาไม่นานก็เข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง หรือเพราะทิศทางของการเฉลิมพระเกียรติส่วนมาก ที่แปรเปลี่ยนจากการเชิดชูพระราชกรณียกิจเป็นการสรรเสริญเทิดทูนอย่างออกนอกหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รู้สึกว่าภาพของสถาบันกษัตริย์ที่เห็นมันเริ่มต่างจากสิ่งที่เคยถูกปลูกฝังมามากขึ้นทุกที</p><p>หลายคนที่เสื่อมศรัทธากับสถาบันพระมหากษัตริย์ มักพูดถึงโมเมนต์ “ตาสว่าง” นัยว่ามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องฉุดให้เห็นความจริง แต่ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น แม้ความรู้สึกร่วมจะลดลง แต่ในความคิดผมก็ยังพยายามรักษาภาพเดิมที่มีไว้ตลอด และมองเสมอว่าการอ้างตัวโหนสถาบันฯ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ตลอดจนการเหยียบย่ำเสรีภาพต่าง ๆ ตั้งแต่บล็อคยูทิวบ์ บล็อควิกิพีเดีย หรือคดี 112 ต่าง ๆ นั้นเป็นความเลวของคนที่ทำ โดยไม่เกี่ยวกับสถาบันฯ</p><p>ที่จริงมันก็อาจเป็นกลไกป้องกัน ที่พยายามหาเหตุผลอ้างให้เรื่องต่าง ๆ สอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากเชื่อ แต่เอาเป็นว่าสำหรับผม ผมไม่เคยมีประสบการณ์ของการตระหนักและเปลี่ยนความคิดอะไรที่ชัดเจน หากแต่ชุดความคิดเดิมมันค่อย ๆ จางไปตามกาลเวลามากกว่า</p><p>และเมื่อมุมมองเก่าจางไป ก็เหมือนเราจะเปิดรับมุมมองใหม่ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวคิดที่ผมรับมาแต่เด็ก ว่าทรงเป็นมนุษย์ผู้อุทิศตน ไม่ใช่สมมุติเทพดั่งลัทธิเทวราชาที่ถือกันในสมัยโบราณ แนวคิดหรือข้อเขียนที่วิจารณ์การกระทำในฐานะมนุษย์จึงไม่ได้เป็นเรื่องรับไม่ได้สำหรับผมขนาดนั้น อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสืออะไรมากมาย (อย่าง The King Never Smiles ที่ผม<a href="/2007/09/on-youtube-issue.html">เคยพูดถึงว่ามีบน Google Books</a> นั่นผมก็แค่เห็นผ่าน ๆ ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ) แต่ก็ไม่ได้พยายามปิดหูปิดตา และก็มีงานเขียนภาษาอังกฤษผ่านตาอยู่บ้าง ซึ่งมันก็คงค่อย ๆ สร้างความยอมรับใหม่ในความคิดของเรา อย่างตอนที่ Andrew MacGregor Marshall เขียน #Thaistory จนเป็นกระแสเมื่อปี 2011 ผมนั่งอ่านก็แอบงงนิดนึงว่ามันไม่เห็นจะมีอะไรน่าขัดแย้งขนาดนั้นเลยนี่นา ออกเคารพพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลด้วยซ้ำ และไม่ได้แตะประเด็นร้อนของจริงอย่างเรื่อง 6 ตุลาเลย</p><p>แต่ขณะที่ผมไม่ได้ประสบภาวะวิกฤตทางศรัทธาหรือความเชื่อแบบบางคนที่รับอดีตไม่ได้จนต้องไล่ลบโพสต์ “ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙” กันนั้น ก็ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่ได้ทิ้งช่องว่างไว้สำหรับผม หลังเพลงสรรเสริญพระบารมีในปี 2006 นั้น ผมเองยังคงหวังที่จะได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนั้นอีก แต่ก็ไม่มีโอกาสอยู่หลายปี จนอีกทีถึงได้ตระหนักว่ามันไม่อาจกลับมาได้แล้ว แต่แท้จริงสิ่งที่เราโหยหาคือ “อดีต” เมื่อครั้งที่ยังสามารถ “ซาบซึ้ง” กับมันได้ต่างหาก</p><p>การไปร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่บอกว่าไปเพื่อประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้นหรอก สำหรับผม มันคือการไปร่วมปิดฉากในเรื่องราวเล่าขานที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาหลายสิบปี</p><p>และบางที อาจมีสักช่วง แม้สักเสี้ยววินาทีก็ยังดี ที่เราจะได้ลืมทุกอย่าง และกลับไปรู้สึกและรำลึกถึงสถาบันฯ ในแบบที่เราเคยเมื่อครั้งยังเด็ก โดยไม่ต้องคิดอะไร</p><p>ก่อนที่มันจะลอยหายไปกับควันพระเพลิง และกลายเป็นอดีตไปตลอดกาล</p><p>* * *</p><p>ช่วงหลังสวรรคต ที่เสียงบรรเลงตามห้างร้านกลายเป็นเพลงเทิดพระเกียรติและเพลงพระราชนิพนธ์กันไปหมดนั้น ผมซื้อซีดีเพลงชุด “ต้นไม้ของพ่อ” มา ซึ่งถึงตอนนี้น่าจะได้เปิดเล่นไปแค่ครั้งเดียว</p><p>จริง ๆ แล้วผมไม่ได้สนใจเพลงอื่นในอัลบั้มเลยนอกจากเพลงแรกกับเพลงของขวัญจากก้อนดิน และที่อยากได้เก็บไว้ก็ไม่ใช่เพราะความหมายที่เพลงสื่อ</p><p>หากแต่เพราะเพลงสองเพลงนี้ เป็นเพลงที่ผมกับเพื่อน ๆ ใช้ร้องประกอบในกิจกรรมละครเทิดพระเกียรติภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนให้ทำเมื่อปี 1999 และช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นความทรงจำที่มีค่าของผม</p><p>จากนี้ไป มันก็คงมีค่าให้ผมเก็บไว้เพียงเท่านั้น</p><p>ส่วนเรื่องราวของสถาบันกษัตริย์ คงต้องปล่อยให้เป็นบทบันทึกของหน้าประวัติศาสตร์ ที่จะถูกเขียนขึ้นต่อไป</p><hr /><div class="footnote"><ol><li id="final-farewell-note1">เมื่อเริ่มเขียน</li></ol></div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-44609994364394093972017-05-10T19:58:00.000+07:002017-05-10T21:34:13.244+07:00ว่าด้วย ฉลาดเกมส์โกง<p>ไปดูมาละด้วยความกลัวถูกสปอยล์… ถึงทีของเราละ <span class="emphasis">[SPOILER ALERT]</span></p> <p>
ชอบนะ ก็ดีมากแหละ ตามที่มีคนพูดถึงเยอะแล้ว (ที่จริงยังไม่ได้ตามอ่านรีวิวของใครเลย แต่ก็นั่นแหละ วิจารณ์หนังไม่เป็น ก็ถือว่าเชื่อตาม ๆ เขาละกัน)</p> <p>
แต่นึก ๆ ดูแล้วก็ยังมีประเด็นที่ค้างคาอยู่ คือตอนจบ ทีแรกก็ลุ้นกลัวว่าจะทิ้งลอยให้ไปคิดเอาเอง เอาเข้าจริงก็ขมวดซะแน่นเลย แต่ก็เฉพาะกับตัวละครหลักที่บทเลือกจะเก็บไว้คนเดียวคือลิน ขณะที่แบงค์ (ซึ่งเราในฐานะคนดู invest ความสนใจไปเยอะแล้ว) กลับถูกผลักทิ้งให้เหมือนเป็นแค่ plot device ที่เข้ามาสร้างปมให้ลินเท่านั้น</p> <p>
ซึ่งพอยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าปมนี้มันยังไม่คลายดีเลยด้วยซ้ำ คือตอนจบที่แบงค์เรียกลินมาคุย เราเห็นลินได้สะท้อนว่าตัวเองทำอะไรลงไป คือไม่ใช่แค่พาตัวเองหลงมาตามเส้นทางของการโกง (ที่ตอนนี้กลับใจแล้ว) แต่ยังลากแบงค์ (ซึ่งตั้งต้นด้วยความบริสุทธิ์) ตกลงมา to the dark side ด้วยอีกคน แต่ลินกลับไม่ได้ต้องทำอะไรเพื่อ redeem ตนเองจากการกระทำนี้เลย นอกจากเพียงแค่ปลงใจยอมรับคำขู่ของแบงค์ (ที่ยังติดอยู่ด้านมืด) ด้วยคำว่า “งั้นเราหายกัน” แค่นั้น</p> <p>
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลินอาจจะแก้ปมที่ทำให้แบงค์เดือดร้อนแล้วโดยการทำให้แบงค์ได้เงินซื้อเครื่องซักผ้า แต่ลินยังไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลยกับการทำให้แบงค์แปดเปื้อนแต่แรก</p> <p>
นอกเสียจากว่าผู้ชมจะต้องเข้าใจนอกฉากเอาเองว่าการปิดประตูของลินนั้นมันเพียงพอที่จะกระชากแบงค์กลับมา ซึ่งผมดูแล้วรู้สึกว่ายังอ่อนเกินไปมาก</p> <p>
แต่ยังไงคือโดยรวมก็ถือว่าดีมาก โดยเฉพาะในเรื่อง mentality ของเด็กทำข้อสอบเก่ง อันนี้เป๊ะจริง ๆ</p> <p>
ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ก็มีเช่น</p> <ul><li>
ใครสอนให้เล่น Für Elise ใช้นิ้ว 5-4-5 หือ?</li> <li>
บาร์โค้ด ตอนแรกคิดว่าเอ็งใช้ที่เปลืองขนาดนั้นดินสอมันจะยาวพอมั้ย แต่ไล่นับดูจริง ๆ แล้วไบต์นึงมันกว้างแค่ 0.25 mm เออก็พอแฮะ (ขืนทำเป็น binary มาลูกค้าก็อ่านไม่ออกอีก)</li> <li>
จำเลขข้อ A, B, C มาเรียงต่อกันง่ายกว่านะเออ</li> <li>
ทำเป็นเล่นไป Queen of the Night Aria เราฟังเล่นตอนเดินทางจริง ๆ นะ</li> <li>
การเอาข้อความมาเข้ารหัสเป็นโน้ตดนตรีก็เหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ เคยคิดเล่น</li> <li>
เจมส์จะได้เล่นบทอื่นที่ไม่ใช่ลูกคนรวยโดนสปอยล์บ้างมั้ยเนี่ย</li> <li>
ฉาก ผอ.ทำไมเราเห็นแต่แม่ดาว</li></ul> <p>
ป.ล.</p> <ul><li>
เงินสองล้านบาทมันจะพอไปเรียนบอสตันได้ไง</li></ul>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-5196037121613921972016-08-06T02:55:00.000+07:002016-08-06T02:55:26.825+07:00รำพึงรำพัน เรื่องรัฐธรรมนูญ<p>
แป๊บ ๆ เก้าปีแล้วเหรอเนี่ย รู้สึกเหมือนเพิ่งจะเขียนถึงเหตุผลที่ไม่ไปลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญรอบที่แล้ว<a href="http://paul012.blogspot.com/2007/08/my-long-belated-take-on-politics.html">เมื่อไม่นานมานี้</a>เอง</p> <p>
แต่คราวนี้คงอ้างเหตุผลแบบเดิมว่ายุ่งจนไม่มีโอกาสติดตามข่าวสารไม่ได้เสียแล้ว ในเมื่อมีคนแชร์ความเห็นฝั่งโน้นฝั่งนี้ผ่านตามาเต็มไปหมด ไหนจะคลิปไวรัลโยนหีบแตกนี่อีก เรื่องนี้ใครจะเกลียดจะด่า กกต.สมชัยว่าไงบ้างไม่รู้นะ แต่ในแง่การประชาสัมพันธ์สร้างกระแสนี่เอาถ้วยไปเลย</p> <p>
แต่ถึงจะมีข้อมูลตรงหน้ามากมายขนาดนี้เราก็ยังเพลียและไม่อยากจะสนใจมันอยู่ดี</p> <p>
เรื่องเดิม ๆ ที่ว่าการลงประชามติภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารนี่ยังไงก็รู้สึกว่าปาหี่นี่ก็ส่วนหนึ่ง คือท่านก็แต่งตั้ง-ร่าง-ชงมาให้เสร็จสรรพขนาดนี้ แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม (♪)… เอ่อ นั่นแหละ ราวกับว่าการลงประชามติจะสามารถชดเชยการที่ห้ามเลือกกรรมการหมู่บ้านมาสองปี แล้วบ้านเมืองจะกลับมาเป็นประชาธิปไตยอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งก็ทำใจเชื่อไม่ลง และจึงไม่ค่อยอยากจะมีส่วนร่วมด้วยอย่างที่เคยบอกตั้งแต่คราวก่อน</p> <p>
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น</p> <p>
สำหรับผม ความสนใจในรัฐธรรมนูญคงไม่อาจกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว</p> <p>
อย่างที่บอกไปใน<a href="http://paul012.blogspot.com/2014/05/blog-post.html">โพสต์รำพึงรำพันที่แล้ว</a> ผมโตมาในบรรยากาศการเมืองยุคหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในยุคที่เราคิดและเชื่อกันจริง ๆ ว่าบ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตยเต็มตัวเสียที</p> <p>
ผมนั่งดูข่าวการอภิปรายมาตรา 211 สมัยรัฐบาลชวน 1 ทางโทรทัศน์ ตั้งแต่ยังไม่อาจรู้เรื่องด้วยซ้ำว่ามันมีความสำคัญอย่างไร</p> <p>
ผมนั่งอ่านเอกสารแนะนำการเลือก ส.ส.ร.ที่ส่งมาที่บ้าน และค่อย ๆ เรียนรู้ว่าทำไมเขาถึงจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่</p> <p>
ผมไล่อ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชน ถึงแม้จะรู้เรื่องเพียงแค่บางส่วน และตื่นเต้นกับความจับต้องได้ของบทบัญญัติสูงสุดของการปกครองประเทศ</p> <p>
ตอนนั้นผมอยู่ ป.6</p> <p>
ผมยังจำได้ถึงการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ยังจำได้ว่ามี ส.ส.คนหนึ่งพยายามสร้างจุดสนใจโดยบอกว่า “เห็นด้วย แต่ไม่ค่อยชอบ” จนประธานสภาต้องติงให้ระบุให้ชัดเจนว่าเห็นชอบหรือไม่</p> <p>
ยังจำได้ถึงบรรยากาศการรณรงค์สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญโดยเครือข่ายประชาสังคมก่อนหน้านั้น จนนักการเมืองที่ก่อนหน้านี้พยายามอภิปรายให้ร่างฯ ไม่ผ่านเพราะข้อความ “พ.ศ. …” ยอมถอย</p> <p>
จนหลายปีผ่านไป สติกเกอร์สีเขียวตองที่เริ่มเก่าลอกและซีดจาง ก็ยังคงเป็นภาพที่คุ้นเคย ที่อาจพบเห็นติดอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้ของโรงเรียนและที่สาธารณะต่าง ๆ</p> <p>
แต่บัดนี้คงเหลือเพียงความทรงจำที่รางเลือน</p> <p>
เช่นเดียวกับความฝันที่ว่าเรามีประชาธิปไตย แค่ 9 ปีถัดมา ความเชื่อว่าเรามีรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์แบบก็ถูกรอยตีนตะขาบรถถังเหยียบทำลายไปสิ้น</p> <p>
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ถูกฉีกทิ้งไปพร้อมกับความเชื่อ ความหวัง และความศรัทธาของเด็ก ป.6 คนนั้น</p> <p>
และต่อให้มีรัฐธรรมนูญใหม่อีกกี่ฉบับ ที่ต่อให้ดีเลิศเลอกว่าเดิมสักแค่ไหน ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีโอกาสปลุกความรู้สึกที่ถูกทำลายไปเหล่านั้นกลับมาได้อีก</p> <p>
ความจริงแล้วมองย้อนกลับไป ความดีงามของรัฐธรรมนูญ '40 ที่เราเชื่อนักหนานั้นก็รับรู้มาจากการที่คนอื่นบอกมาแทบทั้งสิ้น ยังไม่เคยจะคิดวิเคราะห์เอาจากตัวบทเองอย่างจริงจังเลย</p> <p>
และจริง ๆ แล้วเสียงของเหตุผลก็ยังกระซิบบอกเราอยู่ว่าจะตัดสินอะไรดีไม่ดี ก็ต้องไล่เนื้อหาดูเอาสิ ไม่ใช่ใช้แต่ความรู้สึก ไม่งั้นจะมีโอกาสพบเจอกับสิ่งใหม่ที่ดีกว่าได้ยังไง</p> <p>
แต่ต่อให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะไม่มีประเด็นให้กังขาและเคลือบแคลงเรื่องความเหมาะสมชอบธรรม ทั้งในหลักการ ตัวบท และที่มา ผมก็ยังคงไม่สามารถให้ความสนใจจริงจังกับมันได้อยู่ดี</p> <p>
เพราะยังช้ำใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่แสดงให้เห็นว่าต่อให้รัฐธรรมนูญจะดีแค่ไหน เป็นที่ยอมรับขนาดไหน ก็ไม่มีความหมาย หากเกมการเมืองเดินมาถึงจุดที่ผู้มีอำนาจจะไม่เคารพมัน</p> <p>
ทุกวันนี้ก็เลยได้แต่โหยหาอดีตอันหอมหวาน เพราะแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ถึงรัฐธรรมนูญ และอนาคตอันสดใสของประเทศนี้ ก็ยังไม่อาจที่จะทำ</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-86386830621008016422016-01-31T19:51:00.000+07:002016-01-31T19:51:19.415+07:0010,000 tweets?<p>และแล้วก็มาถึงวันนี้จนได้ วันที่โพสต์บน Twitter ครบ 10,000 ทวีต ซึ่งความจริงก็รู้อยู่แล้วแหละว่าพิมพ์โน่นบ่นนี่ไปเรื่อย ๆ สักวันมันก็คงถึง แต่ถ้าไล่ย้อนกลับไป เมื่อปี 2007 ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าทวิตเตอร์อะไรนี่มันดูไร้สาระจริง จะต้องไม่ยุ่งกับมัน แล้วเป็นไง...</p><p>
ความจริงบล็อกฉลองยอดทวีตครบเลขกลม ๆ นี่กะจะเขียนตั้งแต่ตอน 1,000 แล้ว โดยวางแผนไว้ว่าจะทำสถิติทวีตทั้งหมดว่าเกี่ยวกับอะไรบ้าง และ/หรือยกทวีตบางอันขึ้นมาเล่าความหมายเบื้องหลัง ว่าภายใต้ขีดจำกัด 140 อักขระนั้นมีความคิดอะไรแฝงอยู่ แต่มาถึงตอนนี้คงไม่มีปัญญาไล่ดูหมดหมื่นทวีตละ (ความจริงใน archive ที่ดาวน์โหลดมามีแค่ 9,974 จาก 9,999 ไม่แน่ใจว่าที่หายไปนั่นคือ retweets ที่เจ้าของลบไปหรืออะไรบ้าง) งั้นสุ่มเลือกเอามาเล่าสัก 10 อันละกัน</p><p>
มาดูกันเลยดีกว่า</p>
<blockquote class="twitter-tweet" lang="en"><p lang="th" dir="ltr">ความแตกต่างในการตอบสนองของสังคมต่อกรณีเฟอร์รารี เทียบกับกรณีซีวิค มาจากอะไร?</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/242966418348457984">September 4, 2012</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
คงจำกันได้มั้ง ทวีตนี้พูดถึงกรณีข่าว “ทายาทกระทิงแดง” ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อเดือน ก.ย. ปี 2012 ซึ่งบริบทของเหตุการณ์มันดู [outrageous] ทีเดียว แต่กลับไม่เห็นชุมชนออนไลน์ลุกเป็นไฟเหมือนกรณีอุบัติเหตุโทลล์เวย์เมื่อ ธ.ค. 2010 ทั้งที่กรณีก่อนหน้า ผู้ขับรถคันเกิดเหตุไม่ได้ขับรถหรู ไม่ได้เมาเหล้า และไม่ได้ชนแล้วหนี</p><p>
ในหมื่นทวีตที่ผ่านมา มีจำนวนมากที่เป็นคำถามปลายเปิดต่อข่าวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทวีตลอย ๆ ไปงั้นแหละ ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร (แต่ถ้าได้ก็ดี ซึ่งไม่ค่อยมีหรอก) บางอันก็ถามเองตอบเอง อย่างกรณีนี้<a href="https://twitter.com/Paul_012/status/242971446840795136">ก็เป็นหนึ่งในนั้น</a></p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/mamuang">@mamuang</a> กำลังจะปลดระวางปากการาวสิบด้าม เอาไปเผื่อใครมะ</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/440085732938350592">March 2, 2014</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทวีตที่เป็น @ replies นี่เป็นสัดส่วนสักเท่าไหร่ของทั้งหมด* แต่ก็คงมีอยู่เยอะเหมือนกัน (โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ น่าจะเป็นการโต้ตอบกับ @chayanin เสียเกือบครึ่งได้มั้ง) ทวีตนี้ก็ไม่มีอะไร แค่ตอบที่ @mamuang พูดถึงการใช้สปริงปากกาดามคอสาย Lightning</p><div>
*เช็คละ 47%</div>
<blockquote class="twitter-tweet" lang="en"><p lang="th" dir="ltr">สิ่งหนึ่งที่น่าสนเท่ห์เกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์ไทยในโรงเรียน คือการไม่กล่าวถึงแนวคิดรูปแบบการเมืองที่เรียกว่า mandala เลยแม้แต่นิดเดียว</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/441149768018849793">March 5, 2014</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
ฮ่า ๆ ปรากฏว่าเรื่องนี้ทวีตซ้ำหลายรอบเหมือนกันแฮะ ก็เป็นหนึ่งในทวีตวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษา สังคมไทย และความเข้าใจประวัติศาสตร์ ซึ่งแนวคิดระบบ mandala (จาก มณฺฑล ในภาษาบาลี/สันสกฤต) นี่เราก็ไม่เคยได้เรียนในโรงเรียนจริง ๆ ทั้งที่เป็นแก่นของประวัติศาสตร์การเมืองไทยก่อนสมัยใหม่ที่สำคัญมาก กลับได้เรียนแต่ประวัติศาสตร์แนวชาตินิยมที่เล่าผ่านแผนที่ของคุณทองใบ แตงน้อย (เรื่องนี้มีคนวิจารณ์ไว้เยอะแล้ว อธิบายสั้น ๆ มันคือการที่เมืองเล็กต่างปกครองตนเอง แต่ก็อยู่ในอาณัติของเมืองใหญ่ และเมืองใหญ่ก็อยู่ในอาณัติของเมืองใหญ่กว่าอีกที โดยทั้งหมดนี้แต่เดิมเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งไม่ตายตัว และเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอด)</p>
<blockquote class="twitter-tweet" lang="en"><p lang="th" dir="ltr">ทำไมผลิตภัณฑ์อาหารหลายอย่างต้องโฆษณาว่าไม่ใส่ผงชูรส? ทำไมถึงเชื่อกันว่าผงชูรสเป็นอันตรายต่อสุขภาพ?</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/93729396581609472">July 20, 2011</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
อันนี้ก็เป็นทวีตคำถามลอย ๆ เหมือนกัน แต่เป็นคำถามต่อเรื่องราวทั่วไปในชีวิตประจำวัน ถ้าสังเกตอาจจะเห็นว่าพยายามเคร่งครัดกับการใช้ปรัศนีกำกับทวีตเหล่านี้มาก (ปกติไม่ได้ใช้ในการพิมพ์กรณีอื่น) แต่ก็มีที่ลืม ๆ ไปบ้างเหมือนกัน</p><p>
แต่เรื่องผงชูรสนี่ก็น่าสงสัยจริง ๆ ค่านิยมว่าผงชูรสไม่ดีมาจากไหน ทำไมอาหารต้องโฆษณาว่าไม่ใส่ผงชูรส ทำไมเราชอบเรียกขนมบางอย่างแบบติดตลกกันว่า “ขนมผงชูรส” หรือ “ขนมผมร่วง” ทั้งที่ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ามันมีผลเสียแตกต่างไปจากโซเดียมที่ได้จากเกลือแกงเลย (นอกจากการเกิดภาวะ Chinese restaurant syndrome ซึ่งก็ไม่ได้ชัดเจน และเป็นปรากฏการณ์คนละอย่างกับที่คนไทยพูดกัน)</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/TonsTweetings">@TonsTweetings</a> นึกว่าเพราะกะให้ย้ายรถสายภูมิภาคขึ้นมาวิ่งด้วย (เลิกใช้รางเก่าระดับพื้นดิน) ในอนาคตเสียอีกครับ?</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/488694135881076738">July 14, 2014</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
อันนี้ก็เป็นทวีต @ reply อีกอัน แต่น่าสนใจตรงที่คุณ @TonsTweetings เป็นบุคคลที่รู้จักแต่ในทวิตเตอร์</p><p>
ความจริงนั่งนึกดู การใช้ทวิตเตอร์ของตัวเองก็แปลกดีเหมือนกัน คือพยายามมากที่จะจำกัดขอบเขตเรื่องที่ทวีต (ด้วยคำนึงว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ) แต่ในขณะเดียวกันส่วนใหญ่ก็ follow แต่คนที่รู้จักในชีวิตจริง มีน้อยมากที่จะงอกออกไปกว่านั้น และก็ยังจำกัดแค่คนรู้จักทุติยภูมิ (คนรู้จักของคนรู้จัก) หลายคนก็ฟอล ๆ อัน ๆ อยู่หลายรอบ เพราะอัตราการทวีตสูงจนท่วมไทม์ไลน์ (เป็นคนใช้ทวิตเตอร์แบบต้องอ่าน 100% ความจริง following ที่ active น่าจะมีอยู่ไม่กี่สิบคน มากกว่านั้นตามอ่านไม่ไหว)</p><p>
ป.ล. เรื่องสายสีแดงว่าทำไมเป็น metre gauge ในทวีตข้างต้นนั่นบอกถูกแล้วนะ</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" data-cards="hidden" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/Paul_012">@Paul_012</a> คิด ๆ ดูแล้วคำถามนี้น่าจะติดมาจาก <a href="http://t.co/ngF1y1YEnC">http://t.co/ngF1y1YEnC</a> ที่เห็นผ่านตาวันก่อน (ปกติไม่ได้เข้า reddit)</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/408909371142184960">December 6, 2013</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
การ @ reply หาตัวเองนี่แต่ก่อนอาจจะทำเวลาต้องการผูกโซ่ทวีต (ข้อจำกัดทางเทคนิคสมัยนั้น) แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อขยายความทวีตข้างต้น (ดังเช่นในกรณีนี้)</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/chayanin">@chayanin</a> นอกจาก http://rirs3.royin.go.th/coinages/webcoinage.php น่ะเหรอ?</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/29982139453808640">January 25, 2011</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
โผล่มาจนได้ ไล่ดูทวีตทั้งหมดนี่พบว่าเป็นการโต้ตอบกับ @chayanin ถึง 16% เลยแฮะ</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/chayanin">@chayanin</a> เหมือนว่า Modernine (มั้ง) จะใช้เป็น bgmusic ของตารางรายการ</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/16763289590">June 22, 2010</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
อีกละ ฮ่า ๆ อันนี้เป็นบทสนทนาสืบเนื่องจากทวีตก่อนหน้าว่า <q url="https://twitter.com/Paul_012/statuses/16752315820"><a href="https://twitter.com/Paul_012/statuses/16752315820">เพลงขอความสุข...คืนกลับมา ที่ได้ยินอยู่ในโทรทัศน์แทบทุกชั่วโมงนี่ชักจะรู้สึกรำคาญขึ้นทุกวัน</a></q> ซึ่งช่วง พ.ค.–มิ.ย. 2010 มันเป็นงั้นจริง ๆ คือเพลงเปิดกรอกหูจนสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่แค่ทำนองกับคำร้อง แต่ออกมาเป็นสารของเพลงเลยว่า แต่ก่อนพวกเธอคนบ้านนอกอยู่กันจน ๆ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ จะมาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงอะไรให้วุ่นวายทำไม กลับบ้านนอกไปซะ</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/iheresss">@iheresss</a> (1) Petrol. (2) รู้สึกว่าข้อความมันไม่ค่อยสมเหตุผลเพราะทั้งสองอนุประโยคคล้อยตามกัน แต่ใช้ but เป็นคำเชื่อม</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/240397447514427392">August 28, 2012</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
เออ ทวีต @ reply หาคนอื่นมันเยอะจริงแฮะ</p><p>
มีอยู่ช่วงนึงที่สร้างแอคเคานต์ @Paul_012checker ขึ้นมาตอบอะไรแบบนี้โดยเฉพาะ แต่หลัง ๆ ขี้เกียจเลยเลิกไป</p>
<blockquote class="twitter-tweet" data-conversation="none" lang="en"><p lang="th" dir="ltr"><a href="https://twitter.com/scomma">@scomma</a> เออลืม ไป conflate การซื้อกับการอ่านจริง</p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/638967166771924992">September 2, 2015</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
โห่ random ไงเนี่ย ไม่ representative เลย อันนี้ไม่รู้จะคอมเมนต์อะไร เหมือนที่พูดถึงคุณ @TonsTweetings ข้างบน</p><p>
อืมม... 10 ทวีตนี้เล่าเรื่องราวอะไรบ้างไหมเนี่ย แต่ไหน ๆ แล้ว ขอ honourable mention อีกอันละกัน</p>
<blockquote class="twitter-tweet" lang="en"><p lang="th" dir="ltr">ทำไมเวลาสอนอักษรไทยตอนอนุบาลเขาไม่เรียงแบบนี้นะ <a href="http://t.co/mm55SkkLFG">pic.twitter.com/mm55SkkLFG</a></p>— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/status/423717958624370688">January 16, 2014</a></blockquote>
<script async src="//platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script><p>
ครับ ก็ขอจบโพสต์กับผลงานชิ้นโบว์แดง* ในทวิตเตอร์อันนี้ ขอเรียกว่าเป็นทวีตไวรัลที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าเคยสร้างสรรค์มา (และคงไม่สามารถทำได้อีกแล้ว) กับเกือบ 40,000 retweets ซึ่งเปิดโลกผู้ใช้ทวิตเตอร์ให้ได้เห็นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจมาก (โดยเฉพาะปริมาณติ่งเกาหลี**)</p><p>
แต่ก็หวังว่าจะไม่ได้มีโอกาสโพสต์ฉลองครบ 100,000 หรอกนะครับ (อีก 45 ปี เราน่าจะมีเครื่องผลาญเวลาที่ดีกว่าทวิตเตอร์แล้วนะ)</p><div>
*เออ สำนวนนี้มาจากไหน ทั้งที่ภาษาอังกฤษเป็น blue ribbon ต้องเอาไปทวีตละ<br />
**ใช้ในความหมายที่ไม่ใช่เชิงดูถูก</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-19027705324981216002015-12-01T12:43:00.000+07:002015-12-01T12:44:31.398+07:00HIV Exceptionalism: Still a thing, 30 years on<p>ในช่วงทศวรรษ 1980 กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรค ต่างเป็นชื่อที่น่ากลัวและนำมาซึ่งความหดหู่และสิ้นหวัง เพราะในสมัยนั้นเรารู้เพียงว่าโรคมฤตยูที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้นำมาซึ่งความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ความกลัวนำไปสู่ความรังเกียจ และการตีตราและกีดกันผู้ติดเชื้อ วงการสาธารณสุขจึงตอบสนองโดยสร้างมาตรฐานที่เคร่งครัดเป็นพิเศษสำหรับการตรวจ การดูแลรักษา และการรักษาความลับของผู้ติดเชื้อเอชไอวีโดยเฉพาะ ทำให้เอชไอวี/เอดส์กลายเป็นโรคที่มีฐานะพิเศษกว่าโรคอื่นใด ๆ ในปัจจุบัน</p> <p>
ฐานะพิเศษนี้ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า HIV exceptionalism เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงการสาธารณสุขมานานแล้ว Ronald Bayer ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้แสดงทรรศนะซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ตั้งแต่ปี 1991 ไว้ว่า HIV exceptionalism กำลังมีแนวโน้มจะลดความสำคัญลง ขณะที่ความรู้และมาตรการการจัดการโรคต่างพัฒนาก้าวหน้าขึ้น<a href="#hiv-except-note1">¹</a> แต่แม้จะผ่านมากว่า 20 ปี และวิทยาการได้พัฒนาจนเปลี่ยนโรคมฤตยูในสมัยนั้นให้กลายเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ หลักการของ HIV exceptionalism กลับยังคงเป็นที่ยึดปฏิบัติอยู่ เช่นเดียวกับการตีตราและกีดกัน ที่ยังฝังรากลึกไม่ยอมหายไปแม้ในปัจจุบัน</p> <p>
ทุกวันนี้ การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวียังกำหนดให้ต้องมีกระบวนการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจ และเป็นการตรวจอย่างเดียวที่ต้องให้ผู้ป่วยลงชื่อให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ในบางโรงพยาบาลผลการตรวจไม่สามารถเปิดดูผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้เหมือนการตรวจรายการอื่น แต่ต้องเดินไปรับผลซึ่งพิมพ์เป็นสลิปเอกสารลับโดยเฉพาะ อีกทั้งการให้คำปรึกษาและการจ่ายยา ก็มักมีขั้นตอนเฉพาะแยกต่างหากจากโรคอื่น เพื่อรักษาความลับของผู้ป่วย</p> <p>
ทั้งนี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่าปัญหาการตีตราที่ยังแก้ไม่ได้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ยังต้องคงมาตรการของ HIV exceptionalism ไว้ เพราะตราบใดที่สังคมยังมีความกลัวและรังเกียจผู้ติดเชื้ออย่างไม่สมเหตุสมผล การรักษาความลับของผู้ป่วยก็ยังต้องสำคัญเป็นพิเศษ บริการของคลินิกนิรนามจึงยังคงมีความจำเป็นอยู่นั่นเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง HIV exceptionalism นี้เองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสนับสนุนให้การกีดกันและการเลือกปฏิบัติยังคงดำเนินอยู่ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายสาธารณสุขเพื่อต่อต้านการระบาดของเอชไอวีอีกด้วย เพราะมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะมีขึ้นเพื่อรักษาความลับของผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำถึงการเลือกปฏิบัติ และเป็นการยอมรับโดยนัยว่าการติดเชื้อเอชไอวีนั้นมีความพิเศษ (หรือน่ากลัว) กว่าโรคอื่นทั่วไป ซึ่งสัญญาณแฝงเหล่านี้อาจปลูกฝังความเชื่อในทั้งตัวผู้ป่วย สังคม และแม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์เอง โดยที่ไม่รู้ตัว นอกจากนี้ความยุ่งยากและ “เยอะ” ของมาตรการเหล่านี้ ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการ เพราะยังทำให้รู้สึกว่าการตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ต้องคิดหนักก่อนจะปลงใจ แทนที่จะมองว่าเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้คนได้รู้สถานะการติดเชื้อของตนเองและได้รับการรักษาเพิ่มมากขึ้น</p> <p>
นี่ยังไม่กล่าวถึงผลของ HIV exceptionalism ต่อคุณภาพบริการทางการแพทย์ ในสถานพยาบาลหลายแห่ง การห้ามเปิดเผยสถานะการติดเชื้อของผู้ป่วยไปไกลจนถึงขั้นที่ “เอชไอวี” กลายเป็นคำต้องห้ามที่เอ่ยถึงไม่ได้แม้จะอยู่ลับหลังผู้ป่วยและญาติก็ตาม และต้องเลี่ยงไปใช้รหัสลับต่าง ๆ นานา ไม่ต่างจากที่ตัวละครในเรื่อง Harry Potter ไม่กล้าเอ่ยชื่อ Voldemort ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารเป็นอันมาก (และอาจไม่มีประโยชน์อะไร เพราะบ่อยครั้งที่เคยได้ยินพยาบาลส่งเวรด้วยรหัสลับดังกล่าว ก็เห็นว่ายังใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบเหมือนผู้ป่วยเป็นตัวประหลาดหรือไปทำความผิดอะไรมาอยู่ดี) นอกจากนี้ ในอีกหลายกรณีก็ยังมีความลักลั่นระหว่างหลักการกับการปฏิบัติจริงอยู่มาก ดังเช่นในโรงพยาบาลบางแห่ง ที่แม้การตรวจเอชไอวีตามปกติจะต้องขออนุญาตผู้ป่วยก่อน แต่เวลาตรวจเลือดก่อนผ่าตัดแพทย์ก็จะสั่งให้ตรวจเอชไอวีโดยที่ไม่ได้บอกผู้ป่วยแต่อย่างใด เพื่อพิจารณาใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อ (ซึ่งจริง ๆ แล้วตามหลัก universal precautions ควรจะปฏิบัติในผู้ป่วยทุกรายโดยไม่คำนึงถึงสถานะการติดเชื้อ)</p> <p>
ข้อปฏิบัติของ HIV exceptionalism เหล่านี้ จริง ๆ แล้วบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ดี (เช่นการตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ) แต่ก็ไม่ควรถูกจำกัดการปฏิบัติเฉพาะกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี มาตรการบางอย่างอาจไม่จำเป็นแล้วในปัจจุบัน แต่บางอย่างก็อาจยังต้องทำ ตราบที่สังคมโดยรวมยังมีความเชื่อและความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากนายจ้างยังสามารถเอาสถานะการติดเชื้อมาเป็นเหตุผลไม่รับคนเข้าทำงาน การตรวจเอชไอวีก็ไม่อาจเป็นการตรวจคัดกรองทั่วไปได้ ทั้งนี้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานต้องตระหนักถึงความจำเป็นและเห็นเป้าหมายของมาตรการดังกล่าว และเลือกใช้อย่างสมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการส่งเสริมให้ตนเองและคนอื่นมองผู้ติดเชื้อเป็นตัวประหลาดหรืออันตราย เป็นวัฏจักรไม่จบสิ้น</p> <p>
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการตีตราและเลือกปฏิบัติก็ยังคงต้องเป็นการให้ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งนี้การนำเสนอประเด็นดังกล่าวผ่านสื่อ ดังเช่นในซีรีส์ฮอร์โมนส์ตอนที่ผ่านมา<a href="#hiv-except-note2">²</a> ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่เมื่อพิจารณาว่าทุกวันนี้ยังมีข่าวชาวบ้านขับไล่ผู้ติดเชื้อออกจากหมู่บ้าน หรือผลสำรวจของกรมควบคุมโรคที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างถึง 51.2% บอกว่าไม่ยินดีว่ายน้ำในสระเดียวกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และ 40.9% บอกว่าไม่ยินดีให้ลูกเรียนหนังสือร่วมชั้นกับเด็กที่ติดเชื้อ<a href="#hiv-except-note3">³</a> ขณะที่ในทางกลับกันบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มอายุน้อย กลับไม่ตระหนักถึงอันตรายของพฤติกรรมเสี่ยงเช่นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ก็เห็นได้ว่าหนทางในการแก้ปัญหาและสร้างความรู้ความเข้าใจนั้นยังคงอีกยาวไกล</p> <p>
ถ้าฮอร์โมนส์หนึ่งตอนจะเสนอเรื่องความหมายของการติดเชื้อเอชไอวีได้สู่ผู้ชมสักสองล้านคน โจทย์ที่น่าคิดต่อไปคงต้องเป็นว่าเราจะใช้สื่ออะไร หรือทำอย่างไรได้อีก เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้และแง่มุมอื่น ๆ ให้กับคนที่เหลืออีกทั้งประเทศ</p> <p>
เพราะหากยังไม่สามารถทำได้แล้ว การเข้าถึงผู้ติดเชื้ออย่างทั่วถึงก็จะยังคงเป็นไปไม่ได้ และการเอาชนะเอชไอวี/เอดส์ ก็จะเป็นได้เพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ในสังคมไม่อุดมปัญญาเท่านั้นเอง</p>
<hr />
<div class="footnote"><ol>
<li id="hiv-except-note1"><a href="http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJM199105233242111">Public Health Policy and the AIDS Epidemic — An End to HIV Exceptionalism? - Ronald Bayer</a></li>
<li id="hiv-except-note2"><a href="https://tv.line.me/v/631673">Hormones 3 The Final Season | Ep.10</a></li>
<li id="hiv-except-note3">ไม่ค่อยแน่ใจว่าผลเชื่อถือได้แค่ไหน เพราะความแปรปรวนระหว่างปีดูสูงมาก (<a href="http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000096435">คนไทยรังเกียจผู้ป่วยเอดส์เพิ่มขึ้น พบ 80% ไม่รู้รับยาต้านฯฟรี หากติดเอดส์ - ASTVผู้จัดการออนไลน์</a>)</li>
</ol></div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-65153340545482621512015-11-13T18:10:00.000+07:002015-11-13T18:10:52.038+07:00Today's vs 2001 world leaders: Who can you name?<p>บางครั้งนั่งนึก ๆ ดูก็รู้สึกว่าตอนเด็ก ๆ เหมือนเราจะรู้เรื่องข่าวสารเหตุการณ์ต่าง ๆ มากกว่าในปัจจุบันเสียอีก ผู้นำประเทศต่าง ๆ ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะตอนนั้นต้องจำไปสอบหรืออะไร แต่เผลอ ๆ ทุกวันนี้จะยังจำชื่อหัวหน้ารัฐบาลตอนปี 2001 ได้มากกว่าในปัจจุบันด้วยซ้ำ</p> <p>
อย่ามัวกระนั้น มาไล่ดูกันให้เห็นกันไปเลยดีกว่า (เรียงตามระยะห่างระหว่างกรุงเทพฯ กับเมืองหลวงของประเทศนั้น ๆ)</p>
<table>
<style scope type="text/css">
th {
background-color:#eeeeee;
}
td {
padding-right:0.5em;
padding-left:0.5em;
}
td.country {
background-color:#eeeeee;
}
td.pass {
background-color:#ccffcc;
}
td.fail {
background-color:#ffcccc;
}
td.neutral {
background-color:#ffffcc;
}
</style>
<tr><th>ประเทศ</th><th>ผู้นำ 2001</th><th>ผู้นำ 2015</th></tr>
<tr><td class="country">ลาว</td><td class="fail" colspan="2">เป็นความทุเรศมากที่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้นำประเทศลาวชื่ออะไร หรือแม้กระทั่งระบบการปกครองเป็นแบบไหน (เฉลย: ทองสิง ทำมะวง เป็นนายกฯ จูมมะลี ไซยะสอน เป็นประธานประเทศในปัจจุบัน)</td></tr>
<tr><td class="country">กัมพูชา</td><td class="pass">ฮุน เซน</td><td class="pass">ฮุน เซน</td></tr>
<tr><td class="country">พม่า</td><td class="fail">รัฐบาลทหาร ไม่รู้ใครเป็นหัวหน้า</td><td class="fail">NLD เพิ่งชนะเลือกตั้งนี่ (แต่ลืมชื่อ เต็ง เส่ง ไปแล้ว)</td></tr>
<tr><td class="country">เวียดนาม</td><td class="fail" colspan="2">นี่ก็ไม่เคยรู้อีกเหมือนกัน (นายกฯ Nguyễn Tấn Dũng, ประธานาธิบดี Trương Tấn Sang)</td></tr>
<tr><td class="country">มาเลเซีย</td><td class="pass">มหาเธร์ โมฮัมหมัด</td><td class="fail">จำไม่ได้เลยใครเป็นต่อจากมหาเธร์บ้าง (Najib Razak)</td></tr>
<tr><td class="country">สิงคโปร์</td><td class="neutral">เกือบลืมชื่อ โก๊ะ จ๊กตง ไปแล้ว</td><td class="pass">Lee Hsien Loong (จำได้ก็จากข่าวตอนที่ลี กวนยู ตายนี่แหละ)</td></tr>
<tr><td class="country">บังคลาเทศ</td><td class="fail" colspan="2">ไม่คุ้นชื่อเลยสักคน ไหงงั้น เคยทำรายงานไม่ใช่เหรอ (นายกฯ ปัจจุบัน Sheikh Hasina ที่จริงเคยเห็นชื่อในข่าวช่วงนี้อยู่แต่จำไม่ได้)</td></tr>
<tr><td class="country">ฮ่องกง</td><td class="neutral">นึกชื่อไม่ออกสักคน (แต่เคยจำ Tung Chee-hwa กับ Donald Tsang ได้)</td><td class="fail">ส่วนคนปัจจุบัน (Leung Chun-ying) ไม่รู้จักเลยแฮะ</td></tr>
<tr><td class="country">บรูไน</td><td class="fail" colspan="2">สุลต่าน พระนามว่าไงไม่เคยรู้เลยแฮะ (สมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์)</td></tr>
<tr><td class="country">เนปาล</td><td class="fail" colspan="2">ไม่เคยรู้ว่าใครเป็นนายกฯ เลยแฮะ รู้แต่โศกนาฏกรรมปี 2001 กับปัจจุบันล้มระบบกษัตริย์ไปแล้ว (Khadga Prasad Sharma Oli)</td></tr>
<tr><td class="country">ฟิลิปปินส์</td><td class="pass">Gloria Macapagal-Arroyo</td><td class="pass">จำได้แต่ชื่อ Noynoy Aquino (Benigno Aquino III)</td></tr>
<tr><td class="country">อินโดนีเซีย</td><td class="pass">Megawati Sukarnoputri</td><td class="fail">อ้าว Susilo Bambang Yudhoyono พ้นตำแหน่งไปแล้วเหรอ ยังจำชื่อไม่ทันได้เลย (Joko Widodo)</td></tr>
<tr><td class="country">ศรีลังกา</td><td class="neutral">จำไม่ได้ แต่เห็นชื่อแล้วคุ้นอยู่ (Chandrika Kumaratunga)</td><td class="fail">ไม่รู้จักเลย (ปธน. Maithripala Sirisena)</td></tr>
<tr><td class="country">ไต้หวัน</td><td class="pass">Chen Shui-bian</td><td class="fail">Ma อะไรสักอย่างเพิ่งออกข่าวอ่ะ (Ma Ying-jeou)</td></tr>
<tr><td class="country">อินเดีย</td><td class="neutral">จำไม่ได้แต่คุ้น (Atal Bihari Vajpayee)</td><td class="fail">รู้ว่า Manmohan Singh พ้นตำแหน่งแล้วแต่จำชื่อนายกฯ คนใหม่ไม่ได้ (Narendra Modi)</td></tr>
<tr><td class="country">มัลดีฟส์</td><td class="fail" colspan="2">ไม่เคยรู้เลย (Abdulla Yameen)</td></tr>
<tr><td class="country">จีน</td><td class="pass">Hu Jintao (ก่อนหน้านั้นก็เจียง เจ๋อหมิน)</td><td class="pass">Xi Jinping</td></tr>
<tr><td class="country">ปากีสถาน</td><td class="pass">Pervez Musharraf</td><td class="pass">Nawaz Sharif</td></tr>
<tr><td class="country">ติมอร์ตะวันออก</td><td class="fail" colspan="2">รู้จักแต่หัวหน้าขบวนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพอ่ะ ชื่ออะไรนะจำไม่ได้ละ (Xanana Gusmão เป็น ปธน.ก่อน แล้วเป็นนายกฯ ต่อ ส่วนคนปัจจุบันคือ Rui Maria de Araújo)</td></tr>
<tr><td class="country">เกาหลีใต้</td><td class="pass">Kim Dae-jung</td><td class="pass">Park Geun-hye (จำผิดกับ Park Chung-hee อยู่เรื่อย)</td></tr>
<tr><td class="country">เกาหลีเหนือ</td><td class="pass">Kim Jong-il</td><td class="pass">Kim Jong-un</td></tr>
<tr><td class="country">มองโกเลีย</td><td class="fail" colspan="2">ไม่มีไอเดียเลยสักนิด (นายกฯ Chimediin Saikhanbileg)</td></tr>
<tr><td class="country">อัฟกานิสถาน</td><td class="pass">Hamid Karzai</td><td class="fail">เปลี่ยนคนหรือยังนะ (Mohammad Ashraf Ghani)</td></tr>
<tr><td class="country">ญี่ปุ่น</td><td class="pass">Junichirō Koizumi</td><td class="pass">Shinzō Abe (ที่จริงระหว่างอาเบะสองสมัยมีใครบ้างก็ไม่รู้)</td></tr>
<tr><td class="country">อิหร่าน</td><td class="fail">ไม่เคยรู้เลย</td><td class="fail">จำได้แต่ Mahmoud Ahmadinejad ใครมาแทนไม่รู้ (Hassan Rouhani)</td></tr>
<tr><td class="country">ซาอุดีอาระเบีย</td><td class="fail">กษัตริย์อะไรนะจำไม่ได้ (Fahd bin Abdulaziz Al Saud)</td><td class="fail">กษัตริย์อับดุลลอห์ เอ๊ะสวรรคตไปแล้วสิ คนปัจจุบันจำไม่ได้ละ (Salmanฯ)</td></tr>
<tr><td class="country">อิรัก</td><td class="pass">Saddam Hussein</td><td class="fail">ตอนนี้มีระบบอะไรบ้างแล้วก็ไม่รู้ (นายกฯ ปัจจุบัน Haider al-Abadi)</td></tr>
<tr><td class="country">ซีเรีย</td><td class="fail">ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกว่าใคร (คนปัจจุบันนี่แหละ)</td><td class="pass">Bashar al-Assad</td></tr>
<tr><td class="country">อิสราเอล</td><td class="pass">Ariel Sharon (ก่อนหน้านั้นจำได้ว่ามี Yitzhak Rabin ก่อนจะโดนลอบสังหาร แล้วก็เนทันยาฮูกับใครอีกสองคน)</td><td class="pass">Benjamin Netanyahu อีกแล้ว อยู่ยาวเลยคราวนี้</td></tr>
<tr><td class="country">ปาเลสไตน์</td><td class="pass">Yasser Arafat</td><td class="pass">Mahmoud Abbas</td></tr>
<tr><td class="country">รัสเซีย</td><td class="pass">Vladimir Putin (ก่อนหน้านั้นก็ Boris Yeltsin)</td><td class="pass">Vladimir Putin</td></tr>
<tr><td class="country">อียิปต์</td><td class="fail">Hosni Mubarak แต่ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกมั้ง</td><td class="fail">หลังปฏิวัติกับรัฐประหาร เป็นใครแล้วไม่รู้ (Abdel Fattah el-Sisi)</td></tr>
<tr><td class="country">ออสเตรเลีย</td><td class="pass">John Howard</td><td class="fail">เขาเพิ่งเปลี่ยนคนไป ชื่ออะไรนะ (Malcolm Turnbull)</td></tr>
<tr><td class="country">เยอรมนี</td><td class="neutral">เคยรู้ว่า Gerhard Schröder แต่จำไม่ได้ละ (จำได้แต่ Helmut Kohl)</td><td class="pass">Angela Merkel</td></tr>
<tr><td class="country">อิตาลี</td><td class="pass">Silvio Berlusconi (เป็นหลายสมัยจังวุ้ย)</td><td class="fail">ตอนนี้ใครไม่รู้ (Matteo Renzi)</td></tr>
<tr><td class="country">ฝรั่งเศส</td><td class="pass">Jacques Chirac (นานจัง)</td><td class="pass">François Hollande (คั่นโดย Nicolas Sarkozy)</td></tr>
<tr><td class="country">สหราชอาณาจักร</td><td class="pass">Tony Blair</td><td class="pass">David Cameron</td></tr>
<tr><td class="country">นิวซีแลนด์</td><td class="neutral">ลืมไปแล้ว (Helen Clark)</td><td class="fail">ไม่รู้ (John Key)</td></tr>
<tr><td class="country">แคนาดา</td><td class="fail">ไม่คุ้นชื่อสักคนเลยแฮะ</td><td class="fail">ข่าวเพิ่งลงว่าชนะเลือกตั้งอะ ใครนะ (Justin Trudeau)</td></tr>
<tr><td class="country">สหรัฐฯ</td><td class="pass">George W. Bush</td><td class="pass">Barrack Obama</td></tr>
<tr><td class="country">คิวบา</td><td class="pass">Fidel Castro</td><td class="pass">Raúl Castro</td></tr>
<tr><td class="country">เวเนซุเอลา</td><td class="pass">Hugo Chávez</td><td class="fail">Chávez ตายไปแล้ว ไม่รู้ใครเป็นแทน (Nicolás Maduro)</td></tr>
</table>
<p>สรุปคะแนน: จาก 42 ประเทศ จำชื่อผู้นำในปัจจุบันได้ 17 ประเทศ แต่จำชื่อผู้นำเมื่อปี 2001 ได้ 22 ประเทศ และเคยรู้ 28 ประเทศ</p> <p>
บางทีความรู้ที่จำมาแต่เด็กมันก็ยากที่จะอัปเดต...</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-65791127516416372622015-01-10T01:18:00.001+07:002015-01-10T01:18:11.923+07:00เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้อง...<p>วันเด็กอีกปี คำขวัญวันเด็กอีกหนึ่งคำขวัญ ที่ยิ่งโตก็ยิ่งรู้สึกว่ามีประโยชน์เพียงให้นักเรียนท่องไปตอบครู แล้วปีหน้าก็ลืม</p> <p>
แต่บางอันเราก็กลับไม่ลืมแฮะ สำหรับผมเอง มีคำขวัญวันเด็กที่ยังจำได้อยู่ 2 คำขวัญ คือ <q>ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย</q> ของคุณชวน หลีกภัย กับ <q>เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี</q> ของคุณทักษิณ ชินวัตร</p> <p>
อันแรกที่จำได้น่าจะเพราะมันสั้นมาก (มี 9 พยางค์ ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาคำขวัญวันเด็กตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา) กอปรกับใช้ซ้ำ 2 ปี (พ.ศ. 2541, 2542 ซึ่งสมัยนั้นก็ชื่นชมคุณชวนที่ช่วยให้ไม่ต้องจำคำขวัญใหม่บ่อย ๆ) ส่วนเนื้อความของตัวคำขวัญเองนั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะก็ออกคล้อยตามคำขวัญอื่น ๆ ที่ล้วนแต่บอกให้เป็นเด็กดี มีวินัย ใฝ่ศึกษา ฯลฯ โดยยกคุณธรรมอย่างโน้นบ้างอย่างนี้บ้างขึ้นมาเป็นตัวเด่นในแต่ละปี</p> <p>
ต่างจากคำขวัญของคุณทักษิณที่ฟังดูแล้วรู้สึกได้ว่าผิดแปลกจากธรรมเนียมนั้น เพราะแต่ละประเด็นที่ยกมาล้วนแต่มิใช่หัวข้อประเพณีนิยมที่เห็นกัน เรื่อง<em>เรียน</em> แม้ว่าเดิมจะมีพูดถึงก็เป็นในลักษณะว่าให้ขยันเรียนในห้องเรียน <em>เทคโนโลยี</em> ก็เป็นประเด็นร่วมสมัยที่เพิ่งกล่าวถึงครั้งแรก และที่เด่นที่สุดคือคำว่า <em>คิด</em> ที่เพิ่งจะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน (ที่จริงมี <em>ใฝ่ดีมีความคิด</em> ใน พ.ศ. 2527 แต่ความหมายดูไม่ได้ชัดเจนนัก)</p> <p>
ซึ่งเมื่อดูคำขวัญอื่น ๆ ของคุณทักษิณ ก็ยิ่งเห็นชัด ข้อความอย่าง <em>กล้าคิด กล้าพูด</em> และ <em>ขยันอ่าน ขยันคิด</em> นั้นแตกต่างจากคำขวัญเดิม ๆ อย่างชัดเจน (ซึ่งต่อมาคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตั้งคำขวัญในแนวคล้ายกัน มีวลีอย่าง <em>ฉลาดคิด</em> <em>จุดประกายฝัน</em> <em>รู้คิด</em> และ <em>คิดสร้างสรรค์</em>)</p> <p>
ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจที่คุณทักษิณจะเป็นผู้ริเริ่มแหกประเพณีกับคำขวัญวันเด็ก เพราะเขาก็ไม่ได้เป็นคนชอบทำอะไรตามประเพณีนิยมอยู่แล้ว แต่การยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมา โดยเฉพาะการบอกให้เด็ก ๆ รู้จักใช้ความคิด แทนที่จะสอนให้เป็นเด็กดีมีคุณธรรมเชื่อฟังผู้ใหญ่แบบเดิม ๆ มันก็เหมือนจะสะท้อนวิสัยทัศน์ (หรือการสร้างภาพลักษณ์?) เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาสังคมของนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นอยู่กลาย ๆ</p> <p>
และไม่ว่าคำขวัญเหล่านี้จะสอดคล้องกับแนวคิดทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีที่แต่งหรือไม่ก็ตาม เราก็ควรตระหนักว่าสาระของคำขวัญเหล่านี้ ที่ว่าเด็ก ๆ ควรจะได้รู้จักเรียนรู้และมีความคิดเป็นของตัวเอง คือแนวคิดที่เราต้องเปิดรับเพื่อให้สังคมสามารถพัฒนาไปได้ในโลกปัจจุบัน</p> <p>
แต่ถึงกระนั้น ทางเดินก็คงยังอีกยาวไกล เพราะเช่นเดียวกับประเพณีคำขวัญวันเด็กที่เปลี่ยนยากเพียงไร แนวคิดอำนาจนิยมของผู้ใหญ่ในสังคมไทยก็คงฝังรากลึกไม่ต่างกัน ดังที่เพลงหน้าที่ของเด็ก (ที่ขึ้นต้นว่า <q>เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน</q>) ยังคงพร่ำสอนเด็ก ๆ ถึงคุณธรรมตามค่านิยมในการสร้างชาติเมื่อ 60 ปีที่แล้วอยู่ในปัจจุบัน</p><hr />
<div class="footnote"><ul>
<li>ความภูมิใจอย่างหนึ่งในการเป็นนักเรียนสาธิตเกษตรของผม คือการร้องเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีไม่เป็น (ที่โรงเรียนไม่เคยเปิดให้ฟัง พอได้ยินครั้งแรกก็โตพอที่จะกังขาข้อแรกที่ว่าต้องนับถือศาสนาแล้ว เลยไม่เคยสนใจจำมาจนถึงปัจจุบัน)</li>
<li>เพิ่งเห็นคนแชร์บทสัมภาษณ์ <a href="http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=5260" target="_blank">ณัฐนันท์ วรินทรเวช: คำขวัญวันเด็กต้องไม่มีคำว่า ‘ระเบียบวินัย’</a> จากเว็บ TCIJ – มีแนวคิดที่คาบเกียวกับเอ็นทรีนี้อยู่บ้าง ส่วนประเด็นระเบียบวินัย เคยกล่าวถึงแล้วในเอ็นทรี <a href="http://paul012.blogspot.com/2014/05/standing-in-line-2-order-v-discipline.html">Standing in line (2): Order v discipline</a></li>
<li>ซีรีส์ Standing in line อีกสองบทความยังไม่ตายนะครับ อีกไม่นานคงจะมา</li>
</ul></div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-63572210935199835082014-12-26T10:00:00.000+07:002014-12-26T10:00:03.804+07:00Remembering the Tsunami<div class="de-emphasis">
<p>เอ็นทรีนี้ดัดแปลงจากโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อปีที่แล้ว</p>
</div> <p>
31 ธันวาคม 10 ปีที่แล้ว...</p> <p>
อาคารศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติหลังเก่าเนืองแน่นด้วยผู้คน ทั้งผู้มาบริจาคโลหิต เจ้าหน้าที่ และบรรดาอาสาสมัครที่มาช่วยงาน ในจำนวนเหล่านั้น นิสิตแพทย์หลายสิบคนกระจายตัวปฏิบัติงานกันอยู่ในหลายส่วน ตั้งแต่ส่วนรับบริจาคโลหิต ที่ต้องเพิ่มเตียงขยายพื้นที่ออกมาหลายห้อง จนถึงห้องปฏิบัติการด้านหลัง โดยยังไม่รวมถึงคนอื่นที่ไปช่วยงานอยู่ที่สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก</p> <p>
บรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำใจยินดี แม้จะรองด้วยอารมณ์วิตกเศร้าและหดหู่ เพราะบัดนี้ทุกคนรู้แล้วถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ แต่อย่างไรเสียต่างคนก็ยังหยิบยื่นกำลังใจส่งต่อไปด้วยความเชื่อที่ว่าอย่างไรเสียคนไทยก็ไม่ทิ้งกัน</p> <p>
ในห้องประชาสัมพันธ์ นิสิตคนหนึ่งนั่งต่อสายโทรศัพท์อยู่แยกจากเพื่อนคนอื่น ๆ เพื่อพยายามติดต่อและเชิญชวนผู้บริจาคโลหิตรายเก่าที่มีเลือดหมู่ Rh− ซึ่งกำลังขาดแคลนมากที่สุด เจ้าของหมายเลขโทรศัพท์เกือบทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ เพราะหมู่เลือดนี้พบน้อยมากในคนเอเชีย คนที่ติดต่อได้สำเร็จมีไม่มากนัก แต่อย่างไรเสียได้บ้างก็คงดีกว่าไม่ได้เลย</p> <p>
แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ฟังเรื่องราวของเขาแล้วก็แทบไม่กล้าที่จะเอ่ยขออะไรอีก เขาบอกผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงอิดโรยว่าไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ และออกตัวขอโทษว่าคงยังไม่สามารถไปบริจาคเลือดได้ตอนนี้เพราะสภาพร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ทั้งนี้สามวันที่ผ่านมาเขาไปตามหาเพื่อนที่หายไปในเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ทั้งตามโรงพยาบาลและที่ปฏิบัติการภาคสนามซึ่งถูกใช้เป็นที่เก็บศพชั่วคราวทั้งหลาย แต่ก็ไม่พบอย่างใด และเห็นทีคงจะไม่มีความหวังแล้ว</p> <p>
คนฟังได้แต่ตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร ขอโทษที่รบกวน และขอแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้ ก่อนที่จะวางสาย ความหนักอึ้งของเรื่องราวที่ได้ฟังค่อย ๆ จมลงในห้วงความคิด พลางตระหนักว่าความโหดร้ายของเหตุการณ์นั้นไม่ได้มาจากยอดตัวเลขความสูญเสียแต่อย่างใด หากแต่ตัวเลขนั้นคือจำนวนทุกเรื่องราวความสูญเสียซึ่งสำหรับแต่ละคนที่ประสบย่อมไม่สามารถเทียบกับอะไรอื่นได้</p> <p>
สำหรับคนที่กำลังประสบกับความสูญเสียเหล่านั้น เราคงได้แต่หวังว่ากำลังใจที่ส่งให้กัน จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ช่วยเป็นแรงให้เขาได้ก้าวเดินต่อไป</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyABtqKARaPyAav9TxIYunm8Gw-9WH5gyW8LWAUbYKr6S64phs3n5ihWnAhEBcek52MZM5Sxf1wOmhoFtpc42reH1iKbMdQPEUDejPKtMOr4lN48gIRo_-e6mCNjPU5cfCmmJzJA/s1600/20100714_00032.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyABtqKARaPyAav9TxIYunm8Gw-9WH5gyW8LWAUbYKr6S64phs3n5ihWnAhEBcek52MZM5Sxf1wOmhoFtpc42reH1iKbMdQPEUDejPKtMOr4lN48gIRo_-e6mCNjPU5cfCmmJzJA/s400/20100714_00032.jpg" /></a></div><p>
ภาพนี้ถ่ายบริเวณหาดท้ายเหมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากคลื่นสึนามิ แม้เวลาจะล่วงเลยไป และสภาพชายหาดและบ้านเรือนได้กลับสู่ปกตินานแล้ว บาดแผลในวันนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยอยู่ในใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความสูญเสียที่ต้องยอมรับ หรือความจริงของชีวิตที่ได้เรียนรู้ ทุกอย่างต่างเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่มีค่า ที่ควรเก็บไว้และถ่ายทอดต่อไป</p> <p>
ดั่งเช่นป้ายเตือนพื้นที่เสี่ยงภัยซึ่งบัดนี้ตั้งเป็นอนุสรณ์อยู่ตลอดแนวชายหาด จะเป็นเครื่องเตือนถึงบทเรียน และยืนยันกับอนาคตว่าความเจ็บปวดที่เราประสบในวันนั้นจะไม่สูญเปล่า</p> <hr />
<div class="de-emphasis">
<p>ขอเพียงอย่าล้อมคอกแล้วเปิดประตูทิ้งไว้</p> <p>
คงจะดีหากเราจะมีน้ำใจให้กันได้ไม่เฉพาะยามภัยพิบัติแต่ทุกเวลา</p>
</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-8967290648435717522014-10-31T22:16:00.001+07:002014-10-31T22:16:40.286+07:00Dumb Ways to Die?<div style="text-align:center;"><iframe width="560" height="315" src="//www.youtube-nocookie.com/embed/IJNR2EpS0jw?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></div><p>
ไม่กี่วันวันที่ผ่านมานี้มีข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถยนต์หรือรถบรรทุก อันก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินอยู่หลายเหตุการณ์ ซึ่งก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่พอควร</p> <p>
ในบรรดาเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น หลายเสียงก็กล่าวกันถึงสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าว บ้างก็โทษว่าเป็นเพราะความประมาทของผู้ใช้ถนน บ้างก็โทษว่าเป็นเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยตามที่ควร บ้างก็โทษกันไปมาว่าการดำเนินการนั้นเป็นความรับผิดชอบของใครกันแน่ บ้างก็โทษว่าเพราะสังคมนั่นแหละที่ทำให้ความประมาทนั้นกลายเป็นเรื่องปกติ</p> <p>
อุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเศร้าครับ แต่การเถียงกันโดยมุ่งชี้นิ้วโทษว่าเป็นความผิดของใคร คงไม่ช่วยแก้ไขความสูญเสียเหล่านั้นให้ย้อนคืนไปได้ สิ่งที่เราควรจะทำ คือมองด้วยเหตุผลว่าปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง และจะปรับปรุงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดในอนาคตอีกได้อย่างไร</p> <p>
ซึ่งสำหรับเรื่องความปลอดภัยรถไฟนี้ มีมุมให้มองหลัก ๆ อยู่สองด้านครับ</p> <p>
หากมองถึงปัจจัยจากมนุษย์ ว่าการกระทำของใครบ้างที่เป็นความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับว่าตัวผู้ใช้รถใช้ถนนนั้นเอง ที่มีผลมากที่สุด เพราะด้วยความเฉื่อยของรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่และธรรมชาติของระบบการควบคุม มันไม่มีอะไรให้ผู้ควบคุมรถไฟทำเพื่อแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าเช่นนั้นได้ ผู้ใช้รถใช้ถนนย่อมต้องระวังไม่ให้ตนไปอยู่ในทางของรถไฟที่กำลังแล่นมา ทั้งนี้โดยต้องระวังรถไฟ รักษากฎจราจร และสัญจรโดยไม่ประมาท</p> <p>
แนวคิดที่ว่าการป้องกันอุบัติเหตุรถไฟชนต้องเน้นที่ตัวผู้สัญจรนี้เป็นแนวคิดที่อุตสาหกรรมรถไฟยึดกันอยู่เป็นหลัก วิดีโอ Dumb Ways to Die ข้างต้น ก็เป็นหนึ่งในสื่อโฆษณาที่มุ่งรณรงค์ให้ผู้คนระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้รถไฟ โดยยกตัวอย่างการกระทำที่เห็นได้ชัดเจนว่าอันตราย คือยืนชิดริมขอบชานชาลา ขับรถฝ่าคันกั้น และวิ่งไล่ลูกโป่งข้ามรางโดยไม่มองรถไฟ ใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความประมาทว่าเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ และด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ดึงดูดความสนใจ ก็กลายเป็นโฆษณารณรงค์ที่ประสบผลสำเร็จอย่างสูง และได้รับรางวัลไปมากมาย</p> <p>
แต่อีกนัยหนึ่ง การรณรงค์ในลักษณะนี้ก็มองได้ว่าเป็นการโยนความผิดให้เหยื่อ (blaming the victim) เช่นกัน ใครที่เคยสูญเสียสมาชิกครอบครัวให้อุบัติเหตุรถไฟ คงไม่สบายใจเท่าไรกับโฆษณาชิ้นนี้ ที่เปรียบความตายของญาติเขาเหมือนคนเอาของลับไปเป็นเหยื่อล่อปลาปิรันยา ไม่ใช่เพียงเพราะกล่าวถึงความตายอย่างล้อเล่น แต่ผู้ที่เป็นเหยื่ออุบัติเหตุ คงไม่มีใครที่ตั้งใจเอาตัวเองไปไว้ในสถานการณ์นั้น การโทษว่าเป็นเพราะเขาทำตัวเองก็คงไม่ต่างจากการโทษเรื่องข่มขืนว่าเป็นความผิดของเหยื่อที่แต่งตัวโป๊เท่าไรนัก</p> <p>
ในประเทศตะวันตก ขณะที่อุตสาหกรรมรถไฟมุ่งรณรงค์เน้นเรื่องการเคารพกฎ ระมัดระวัง และไม่ประมาทนั้น ก็มีองค์การและเครือข่ายภาคประชาชนที่เรียกร้องว่าสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุเหล่านั้นไม่ใช่การกระทำของบุคคลใด แต่คือความล้มเหลวของระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุอย่างเพียงพอ แทนที่จะบอกแต่ให้คนยืนห่างขอบชานชาลา (ซึ่งบางครั้งอาจทำไม่ได้เพราะพื้นที่เบียดเสียดกันมาก) ทำไมไม่ทำประตูกั้นไปเสียเลย แทนที่จะคอยเตือนให้ระวังเวลาข้ามทางรถไฟ ทำไม่ไม่ทำสะพานลอยข้ามจะได้ปลอดภัย ในมุมมองนี้ การที่รถยนต์ยังสามารถตัดข้ามทางในขณะที่รถไฟกำลังจะผ่านได้ เกิดจากความผิดพลาดของระบบที่ไม่มีเครื่องกั้น การที่รถไฟยังมีโอกาสชนคนที่เดินอยู่ริมทางได้ เป็นความผิดพลาดของระบบที่ไม่มีรั้วกันคน</p> <p>
มุมมองนี้ หากถืออย่างสุดโต่งก็อาจกล่าวได้ว่าแม้จะมีกฎห้าม มีอุปกรณ์นิรภัย แต่คนยังฝ่าฝืนได้ ก็ต้องถือว่าระบบยังทำได้ไม่ดีพอ เพราะระบบที่ดีจะต้องไม่มีสิ่งจูงใจให้คนฝ่าฝืน ในทางปฏิบัติอาจเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ปล่อยให้คนสามารถฝ่าฝืนกฎที่มีเพื่อความปลอดภัยได้เป็นปกติ หากคนนิยมข้ามทางรถไฟบริเวณที่ไม่ได้กำหนดให้ข้าม แสดงว่าคนมีความจำเป็นต้องข้ามบริเวณนั้น ก็ต้องจัดทำทางข้ามที่ปลอดภัย หากคนเดินฝ่าเครื่องกั้นทางรถไฟได้ แสดงว่าเครื่องกั้นนั้นยังไม่ปลอดภัย ก็ต้องออกแบบใหม่</p> <p>
หากการรณรงค์ว่าตายจากรถไฟชนนั้นโง่ไม่เข้าท่าเป็นการโยนความผิดให้เหยื่อ การเรียกร้องให้มีระบบที่ปลอดภัยทางกายภาพ 100% ก็เป็นการโบ้ยความรับผิดชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกแนวทางใดแนวทางเดียว ด้านหนึ่งจะบอกให้ทุกคนต้องระวังรถไฟตลอดเวลาก็คงพ้นวิสัยที่สังคมมนุษย์จะทำได้ อีกด้านหนึ่งจะสร้างรั้วกั้นเลียบตลอดแนวทางรถไฟทั่วทั้งประเทศก็คงไม่รู้จะหาเงินได้จากไหน แต่ทั้งคู่เป็นปัจจัยที่สังคมจะต้องร่วมกันส่งเสริมเพื่อให้เกิดความปลอดภัย คนก็ต้องไม่ประมาทและเคารพกฎ ส่วนระบบก็ต้องมีอุปกรณ์นิรภัยที่เหมาะสมในที่ที่ควรจะมี</p> <p>
หากหาจุดร่วมระหว่างสองข้อนี้และทำตามได้ ก็คงมีหวังที่เราจะไม่ต้องมาคอยวิพากษ์วิจารณ์ข่าวอุบัติเหตุเหล่านี้กันอีกในอนาคตสักวัน</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-39201791410189676812014-06-22T03:41:00.000+07:002014-06-22T03:41:00.216+07:00Review: Sex วัยรุ่น เลือกได้ @ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgo3tV8KkHMX8_-WKQEMqcXI0dPNCFFNaNGeSRd-dkfAzrbZ_zRI0xLU0nVyWdEZWWqoSL2iBYFV5bILk14aeJaK57sDwmUM6WzRHp2y-Xup3kpUf9n5259Kg1efEHdk7v5qm6sQg/s1600/IMAG0539.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgo3tV8KkHMX8_-WKQEMqcXI0dPNCFFNaNGeSRd-dkfAzrbZ_zRI0xLU0nVyWdEZWWqoSL2iBYFV5bILk14aeJaK57sDwmUM6WzRHp2y-Xup3kpUf9n5259Kg1efEHdk7v5qm6sQg/s400/IMAG0539.jpg" height="320" width="240" /></a></div>
<p>ด้วยว่าในงานสัปดาห์หนังสือฯ เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้รับแจกเอกสารประชาสัมพันธ์<span class="emphasis">ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ</span>ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) กับนิทรรศการหมุนเวียน <span class="emphasis">เซ็กส์วัยรุ่น...เลือกได้</span> ก็ว่าอยากจะไปลองเยี่ยมชมอยู่ พอดีว่ากำหนดการจัดนิทรรศการมีถึงวันนี้ (21 มิ.ย.) เป็นวันสุดท้าย ก็เลยได้หาเรื่องไปเสียที</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAuXBQeT-CZBomH-d5Ng6nQ5-D2o5uLXNAIe2WUvqI18QSvOJ0eBY6XTZayiBfCcHDcNeSPfvLOB_6V5gbuyX6XXJg4aErZ9wsLmBGwE6SGDI2j-pEJeEQimpY0xJNkPPSgOu14A/s1600/00_IMAG0490.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAuXBQeT-CZBomH-d5Ng6nQ5-D2o5uLXNAIe2WUvqI18QSvOJ0eBY6XTZayiBfCcHDcNeSPfvLOB_6V5gbuyX6XXJg4aErZ9wsLmBGwE6SGDI2j-pEJeEQimpY0xJNkPPSgOu14A/s1600/00_IMAG0490.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะนี่เป็นอาคารสำนักงานของ สสส. ที่ทำเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมและแสดงนิทรรศการ ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่เป็นกิจกรรมและนิทรรศการของ สสส. และพื้นที่ที่เปิดให้หน่วยงานอื่นสามารถเข้ามาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพด้วย</p> <p>
ศูนย์ฯ อยู่ในซอยงามดูพลี แถวสาทร ซึ่งเข้าไปลึกพอสมควร มีรถกอล์ฟบริการรับส่งปากซอย แต่ก็ยังแอบไปยากอยู่</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4FkXqZSweA479gTotv3UjlwNwc5QXugyQdZcyceqUPfQ5aLANfTq5Otxnmvbtj-JJR4TwvwC0FWMvEP9gupjgNF3ABekE7wF90ri6ZoiZR-KzAOX6XB8Sv7qwFVRSlcTceqSE9Q/s1600/01_IMAG0492.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4FkXqZSweA479gTotv3UjlwNwc5QXugyQdZcyceqUPfQ5aLANfTq5Otxnmvbtj-JJR4TwvwC0FWMvEP9gupjgNF3ABekE7wF90ri6ZoiZR-KzAOX6XB8Sv7qwFVRSlcTceqSE9Q/s1600/01_IMAG0492.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>สิ่งแรกที่สัมผัสได้กับอาคารหลังนี้คือรูปลักษณ์ที่ตะโกนกู่ก้องมาก ๆ ว่าฉันเป็น green building นะ! อันนี้ที่จริงก็พอจะอ่านผ่านตามาก่อน แต่ถึงไม่ได้อ่านก็คงรู้สึกได้จากโถงชั้นล่างที่เปิดโล่งต่อกับพื้นที่ส่วนกลางของอาคารทั้งหมด ซึ่งก็ให้ความรู้สึกโอ่โถงโล่งสบายจริง ๆ</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghN7aPai8niPUTniKHVaM-zCqqK6Si7qU8fzwjgp0hvpDODVezOKZioOdyemAXVx9QSyGqSa18RhOiTdFs3OxtlCf74tnlNoyN4MeT56OIChMNkCixJZjlS5-RAzp7idUg3_Lo0Q/s1600/02_IMAG0495.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghN7aPai8niPUTniKHVaM-zCqqK6Si7qU8fzwjgp0hvpDODVezOKZioOdyemAXVx9QSyGqSa18RhOiTdFs3OxtlCf74tnlNoyN4MeT56OIChMNkCixJZjlS5-RAzp7idUg3_Lo0Q/s1600/02_IMAG0495.jpg" height="320" width="241" /></a></div>
<p>รูปลักษณ์การออกแบบของอาคารก็คล้อยตามกระแสการออกแบบอาคารเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ในยุค Contemporary ซึ่งก็ตอกย้ำด้วยประติมากรรมยักษ์กลางสระน้ำในโถง และที่ตั้งอยู่อีกประปราย ตลอดจนการจัดวางโต๊ะเก้าอี้เครื่องเรือนต่าง ๆ</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPCWXBXxODvu91zV8mAYBGncOrJJC6OQ1rGe7MMjNwrxdw_L8EZfFwbAQT2xlBtOVYew-5v6NJ1kTiyWD95O7bXIIW-qLtFRWT0EP23ORsg4HRZJim9fZEW2AVYOAjABBx4aAHlg/s1600/03_IMAG0498.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPCWXBXxODvu91zV8mAYBGncOrJJC6OQ1rGe7MMjNwrxdw_L8EZfFwbAQT2xlBtOVYew-5v6NJ1kTiyWD95O7bXIIW-qLtFRWT0EP23ORsg4HRZJim9fZEW2AVYOAjABBx4aAHlg/s1600/03_IMAG0498.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ทางด้านหลังของอาคารเป็นสวนและพื้นที่โล่งซึ่งใช้สอยจัดกิจกรรมได้ ตอนนี้ก็มีนิทรรศการเล็ก ๆ เกี่ยวกับกลุ่มโรค NCD ที่ สสส.รณรงค์อยู่ และพ้นเขตศูนย์ฯ ไปทางด้านหลังก็เป็นสวนสาธารณะ (สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ซึ่งเป็นสนามไดรฟ์กอล์ฟมาก่อน และตอนกลางวันร้อนมาก) ตรงนี้รู้สึกว่าบรรยากาศดีมาก และการออกแบบอาคารก็ดีจริง ๆ ถึงพื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่ติดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ไม่ร้อนเลย</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgh2Fv30GMbtSCz0ZBpEKRxXI74rqFwaF5ARf1nr-gm1ts800hTXaNKFzk-k8QcbgZdYFruZ-SReDQkvx3KCj3JfvgpXF7yqj_7IUeh54X4XMmLH8rE10o_0VUKfVC_ezqOfoXWPA/s1600/04_IMAG0502.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgh2Fv30GMbtSCz0ZBpEKRxXI74rqFwaF5ARf1nr-gm1ts800hTXaNKFzk-k8QcbgZdYFruZ-SReDQkvx3KCj3JfvgpXF7yqj_7IUeh54X4XMmLH8rE10o_0VUKfVC_ezqOfoXWPA/s1600/04_IMAG0502.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>มีเครื่องตอกย้ำให้เห็นอยู่เกือบทุกที่ ว่าใครเป็นเจ้าของอาคารหลังนี้</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhMW_fn6E5IOJbz-2-gDsL0zAWa2kj8XhPpgEqgDrtazRuCfvjib_Kd_jpokCAAQzpl4mSkB3KnTa9lKg-dxtyqGASgTaqlLthsEFZ0CREfKaM31zb4IckevYFJT2p2BH5LNzcw/s1600/05_IMAG0521.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKhMW_fn6E5IOJbz-2-gDsL0zAWa2kj8XhPpgEqgDrtazRuCfvjib_Kd_jpokCAAQzpl4mSkB3KnTa9lKg-dxtyqGASgTaqlLthsEFZ0CREfKaM31zb4IckevYFJT2p2BH5LNzcw/s1600/05_IMAG0521.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>จะเห็นการรณรงค์ต่าง ๆ ของ สสส.อยู่ทั่วตึก</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZtapLOSz_mZJifNXDBuUhc9E99qYliqBirYVdOMkxEuSTb7pBqSkOf1GRduNr6bGzrZJqBXASxB4N1RXy1NCy9vL9pu_YlvElNVp83DvcWdT4xLogXVeqCXjCByfnfSaL2uCg-Q/s1600/06_IMAG0499.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZtapLOSz_mZJifNXDBuUhc9E99qYliqBirYVdOMkxEuSTb7pBqSkOf1GRduNr6bGzrZJqBXASxB4N1RXy1NCy9vL9pu_YlvElNVp83DvcWdT4xLogXVeqCXjCByfnfSaL2uCg-Q/s1600/06_IMAG0499.jpg" height="320" width="241" /></a></div>
<p>และก็แน่นอนว่าลิฟต์ที่นี่จะต้องมีข้อความไล่ไม่ให้คนใช้ (ภาพด้านบนถ่ายไม่ติดสัญลักษณ์ที่สื่อเป็นนัยว่าลิฟต์มีไว้สำหรับคนชราและผู้พิการ)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvGI-cHxruhdJBQJjxWMgHU2ZsxgnLRuO0sBQJ9ty45AwkfRqlIxY4kFOrfoJV7hKOJPG-0N-ZO4nnw-mABypurj_ZguD4NcZlWwsr5X5cHsBBw4VBcqL505Kix-vLizjPZoUgXw/s1600/07_IMAG0500.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvGI-cHxruhdJBQJjxWMgHU2ZsxgnLRuO0sBQJ9ty45AwkfRqlIxY4kFOrfoJV7hKOJPG-0N-ZO4nnw-mABypurj_ZguD4NcZlWwsr5X5cHsBBw4VBcqL505Kix-vLizjPZoUgXw/s1600/07_IMAG0500.jpg" height="320" width="241" /></a></div>
<p>และทั้งตึกก็มีข้อความประเภท encouragement, empowerment แปะอยู่เต็มไปหมด ตรงบันไดภาพข้างบนนี้ก็เป็นการรณรงค์เรื่องกลุ่มโรค NCD อีกเช่นกัน</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_Nh0xwfBbhNXZEe0m3VUnvvk-rEMwvtBww4JxIS-96T-icYUsG0v7fUv3KX4C3rTkMZNAsSp6KAqaHUNEI_I16W303VBZ1daLzL8N3V_UpCR5j5Tka8DEmC7pCHIfYJI-6Xvbw/s1600/08_IMAG0494.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_Nh0xwfBbhNXZEe0m3VUnvvk-rEMwvtBww4JxIS-96T-icYUsG0v7fUv3KX4C3rTkMZNAsSp6KAqaHUNEI_I16W303VBZ1daLzL8N3V_UpCR5j5Tka8DEmC7pCHIfYJI-6Xvbw/s1600/08_IMAG0494.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>หรืออย่างโรงอาหาร ก็มีป้ายรณรงค์ "ลดพุง ลดโรค" อยู่</p> <p>
สื่อเหล่านี้ช่วยตอกย้ำการวางตัวของ สสส.ได้เป็นอย่างดี แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่านอกจากการแสดงภาพให้เห็นตรงนี้แล้ว ข้อความเหล่านี้มันส่งผ่านไปถึงการปฏิบัติจริงมากแค่ไหน อย่างโรงอาหารถึงจะมีร้านมังสวิรัติอยู่ แต่ร้านส่วนใหญ่ก็ขายอาหารตามสั่ง ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ก็มักจะใช้น้ำมันอยู่ดี หรืออย่างข้อความหน้าลิฟต์นั้น ผมก็อยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ชั้น 4 ชั้น 5 เขาขึ้นบันไดกันเป็นนิสัยจริงหรือเปล่า (ซึ่งก็หวังว่าเขาจะทำ เพราะไม่งั้นแล้วก็ยากที่จะเชื่อว่า สสส.จะมีหน้าไปรณรงค์อะไรให้ใครอีก)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTa5toRk3DkeW_h6vpwp1KPnTll53EAB436TMoSn8MLw0-oqZj0T46J9PKZpWDnT0tBDF-kr7fhZlCopMesd_OSV9-qWteK7dUERyn6gUq7riw9HtO4YrKpPC4mHEiHTVmFnYvhA/s1600/09_IMAG0491.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTa5toRk3DkeW_h6vpwp1KPnTll53EAB436TMoSn8MLw0-oqZj0T46J9PKZpWDnT0tBDF-kr7fhZlCopMesd_OSV9-qWteK7dUERyn6gUq7riw9HtO4YrKpPC4mHEiHTVmFnYvhA/s1600/09_IMAG0491.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ที่ชวนให้สนใจ ก็มีอย่างป้ายผังตึก ที่มีอักษรเบรลล์ด้วย (เห็นแล้วชอบ แต่ไม่แน่ใจว่า practical แค่ไหน)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK21huwthzWOh4-es8R6E6hLr3y7yLnTFCWl_muZKxB2MqQTCLeTts_5sOvYMTQqEynIYITTCyTOtZ7FayJx2aw03zSMa5OImKTsWVv91cbbmFce8gzlyZ-RQIlETKEumrU757og/s1600/10_IMAG0519.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK21huwthzWOh4-es8R6E6hLr3y7yLnTFCWl_muZKxB2MqQTCLeTts_5sOvYMTQqEynIYITTCyTOtZ7FayJx2aw03zSMa5OImKTsWVv91cbbmFce8gzlyZ-RQIlETKEumrU757og/s1600/10_IMAG0519.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>และถ้าใครยังไม่เห็นความ green ของอาคารหลังนี้ เขาก็ทำจอแสดงการใช้พลังงานแปะไว้ตอกย้ำอีก (แต่จอนี่ก็ใช้พลังงานนี่นา)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjDyUWlKuEP2cDZINWCXD_Pe2YoQWIxZXHu-iIp38L_mxa4YI7b2Aa0iwsVWpjSGj8ySG9WguF6s7wm_2-MICRCebTongSLG3aex__J64_ioNwFRC81uQm6hfG7oEC1Z70HanvuQ/s1600/11_IMAG0520.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjDyUWlKuEP2cDZINWCXD_Pe2YoQWIxZXHu-iIp38L_mxa4YI7b2Aa0iwsVWpjSGj8ySG9WguF6s7wm_2-MICRCebTongSLG3aex__J64_ioNwFRC81uQm6hfG7oEC1Z70HanvuQ/s1600/11_IMAG0520.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ก่อนที่จะไปชมนิทรรศการ บริการหลักอย่างหนึ่งของที่นี่อยู่ที่ชั้น 2 คือศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร เป็นห้องสมุดที่บรรยากาศดีโคตร ๆ ซึ่งให้บริการสื่อเกี่ยวกับสุขภาวะอีกนั่นเอง บริเวณชั้น 2–3 ที่เหลือที่ไม่ได้เป็นพื้นที่นิทรรศการ ก็จะเป็นห้องประชุม ห้องอบรมต่าง ๆ</p> <p>
แต่มาดูนิทรรศการกันดีกว่า เริ่มจากทางเข้าบริเวณชั้น 1 จะเป็นนิทรรศการ "เริ่มต้นที่ตัวเราคุณทำได้ (Start with ME)"</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDWBdNQqHPOCRGVzYiGCDYfeHq57lxIb37s9UDDAZ4Dv3c0xhXlt_83xB2uuOUy_na4SyVsWLqImKPXZ0PEBR97zrUteWOHmureqpP73E-C0C9lkD7-vS2-xTWUwQH2gzTsKcCmA/s1600/12_IMAG0505.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDWBdNQqHPOCRGVzYiGCDYfeHq57lxIb37s9UDDAZ4Dv3c0xhXlt_83xB2uuOUy_na4SyVsWLqImKPXZ0PEBR97zrUteWOHmureqpP73E-C0C9lkD7-vS2-xTWUwQH2gzTsKcCmA/s1600/12_IMAG0505.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ซึ่งเนื้อหาก็จะกว้าง ๆ เกี่ยวกับ self-empowerment เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างความสุข ซึ่งการสร้างสุข (ก็คือสุขภาวะ ทั้งกาย ใจ และสังคม) นี่เองก็เป็นแนวคิดหลักของนิทรรศการทั้งหมดที่นี่</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKqPqWbcEorkQLAINvRw9NpAbzFPaA8fNVg2UVLoyvUXNh40P9_lCHAnLKgtYB2_hT9wdfd62sZ4WuTwPnYtUCcEqVBOCvq4j5_2uG_vE562y2tbMXVk-5i_oOmgMt2Txuk9O5gA/s1600/13_IMAG0506.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKqPqWbcEorkQLAINvRw9NpAbzFPaA8fNVg2UVLoyvUXNh40P9_lCHAnLKgtYB2_hT9wdfd62sZ4WuTwPnYtUCcEqVBOCvq4j5_2uG_vE562y2tbMXVk-5i_oOmgMt2Txuk9O5gA/s1600/13_IMAG0506.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>นิทรรศการในส่วนนี้ก็จะมีการใช้ถ้อยคำ ข้อความ ตั้งคำถาม บวกกับฉายภาพยนตร์สารคดีแนวสร้างแรงบันดาลใจสั้น ๆ สองเรื่อง</p> <p>
จากห้องแรก ลงบันไดมาชั้นใต้ดิน จะถึงนิทรรศการส่วนถัดมา คือ "ร่วมคิดร่วมสร้าง (Together WE can)"</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdIEA5Sjdl7TRNkU4Lv2ImhwZlGNfcu59sO7W2xLFnTXm0dhpj_lfsvK7NDcW0FhU0UEvnIN3oo9J6UcrsRhaibaUlAqKzPYniQTHZ1xfR75J9vziExW6BwdgFhgpasLB9g-OjcQ/s1600/14_IMAG0507.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdIEA5Sjdl7TRNkU4Lv2ImhwZlGNfcu59sO7W2xLFnTXm0dhpj_lfsvK7NDcW0FhU0UEvnIN3oo9J6UcrsRhaibaUlAqKzPYniQTHZ1xfR75J9vziExW6BwdgFhgpasLB9g-OjcQ/s1600/14_IMAG0507.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>เนื้อหาก็จะกว้าง ๆ เหมือนกัน เกี่ยวกับการทำสังคมให้น่าอยู่ มีความสุข โดยเริ่มต้นที่ตัวบุคคล ซึ่งเสนอผ่านเกมคอมพิวเตอร์</p> <p>
ในนิทรรศการส่วนนี้มีฉากป้ายรถเมล์ ถังแยกขยะ กับเลนจักรยาน ที่จัดตั้งไว้เงียบ ๆ ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่ผมแอบคิดว่าตีความได้เยอะมาก</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdVk3UwZrXvEM17pExWh-lUwJw-FofQI7SPBfsa9fm02g8SydWLKd8fct8o31wX2G2csdC60ihw5TFpzgXnZWqKm07Jz-iA6R-ADcfAridBdgBZTEF1DbME7oM0h4mQEtAKdOkkQ/s1600/15_IMAG0509.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdVk3UwZrXvEM17pExWh-lUwJw-FofQI7SPBfsa9fm02g8SydWLKd8fct8o31wX2G2csdC60ihw5TFpzgXnZWqKm07Jz-iA6R-ADcfAridBdgBZTEF1DbME7oM0h4mQEtAKdOkkQ/s1600/15_IMAG0509.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>และเลยต่อมาก็จะเป็นส่วนที่นำเสนอความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ ในสังคม กับงานรณรงค์สร้างสุขภาวะต่าง ๆ ของ สสส. ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องสุขภาพกาย</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7ss07dke4Xk_qCWa2B9zLLsdIvBICqBM3mU8aofFXBOaebbHIErKxckPESgFtHRTbkJn9oYIZHudbk7FMlfQO74pT9FW1jQvQOl7HytDWFh1LxV-jficB68zZVvu2oAOjfQDEQQ/s1600/16_IMAG0510.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7ss07dke4Xk_qCWa2B9zLLsdIvBICqBM3mU8aofFXBOaebbHIErKxckPESgFtHRTbkJn9oYIZHudbk7FMlfQO74pT9FW1jQvQOl7HytDWFh1LxV-jficB68zZVvu2oAOjfQDEQQ/s1600/16_IMAG0510.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
ซึ่งก็จะมีฉากต่าง ๆ ทั้งที่บ้าน สวนสาธารณะ ที่ทำงาน โรงเรียน แล้วก็ รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKN3u7dQRNfpEnW8Oq5DbZN6vKw4i2FPic_Ifw3Q9iOS62A8VSj4xE8YkRxoTPItAsct9fR0ddCnoMpisG90v5i4y9NemuMVMN2MRJ-MITbTZmlclmQTCHHlC4uJ6oM6fvYmulNQ/s1600/17_IMAG0512.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKN3u7dQRNfpEnW8Oq5DbZN6vKw4i2FPic_Ifw3Q9iOS62A8VSj4xE8YkRxoTPItAsct9fR0ddCnoMpisG90v5i4y9NemuMVMN2MRJ-MITbTZmlclmQTCHHlC4uJ6oM6fvYmulNQ/s1600/17_IMAG0512.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>แต่ละส่วนก็จะมีจอภาพให้เลือกดูงานโฆษณาทางโทรทัศน์ของ สสส.ได้</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiHf2hD9hXVZSlx48lFkHDBp4Uf-Rcyll53G700YSOD2vQ_By-cWeQH88IhHYw25d-M3osUzEXvuDik0RThXB_HgTJmMB40Ul2lHzcpyCW1fnBhmVkAeavSwW03nOU36YCSR47GA/s1600/18_IMAG0513.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiHf2hD9hXVZSlx48lFkHDBp4Uf-Rcyll53G700YSOD2vQ_By-cWeQH88IhHYw25d-M3osUzEXvuDik0RThXB_HgTJmMB40Ul2lHzcpyCW1fnBhmVkAeavSwW03nOU36YCSR47GA/s1600/18_IMAG0513.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>แล้วก็มีพื้นที่กิจกรรมเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการในอาหาร</p> <p>
ที่ชั้นใต้ดินเหมือนกัน ห้องที่สามจะเป็นนิทรรศการ "คนมีสุขภาวะทำให้โลกน่าอยู่ (Let's go GREEN)"</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi89u4ub-k3vJCIyHgVE17y6eqktpHeqnNPByPR-ZBytotYWQpusB-g1wJSXaAYY3A70yHeE1_XY_qP7HLR3ZH0nwU8ywXl3o0pHINFkwFT26JqVBz9cg9Vxzoa25Jo6zVlSP2WZA/s1600/19_IMAG0516.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi89u4ub-k3vJCIyHgVE17y6eqktpHeqnNPByPR-ZBytotYWQpusB-g1wJSXaAYY3A70yHeE1_XY_qP7HLR3ZH0nwU8ywXl3o0pHINFkwFT26JqVBz9cg9Vxzoa25Jo6zVlSP2WZA/s1600/19_IMAG0516.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ซึ่งห้องนี้จะเป็นโถงโล่งกว้าง สำหรับทำกิจกรรม วันนี้ก็เห็นมีเด็ก ๆ ทำกิจกรรมสิ่งประดิษฐ์จากพาสต้าอยู่บ้าง ส่วนนิทรรศการจะเป็นข้อความกับจอภาพ interactive เรียงรายอยู่ตามผนังรอบห้อง</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs5h83FqBIfTQVoF5A5Df_FfBEXFy4zq3KrYr9NGqFwzr1Eo3YxTZ8MeTQdozbwZ4knEdwpRDLPSJQTuiIl9y-zH2kl2IxHuOSg-LtvQt63uL6ytKbQHv-tW_U_5e5_Azw0B4Kyg/s1600/20_IMAG0517.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs5h83FqBIfTQVoF5A5Df_FfBEXFy4zq3KrYr9NGqFwzr1Eo3YxTZ8MeTQdozbwZ4knEdwpRDLPSJQTuiIl9y-zH2kl2IxHuOSg-LtvQt63uL6ytKbQHv-tW_U_5e5_Azw0B4Kyg/s1600/20_IMAG0517.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>เนื้อหาของนิทรรศการส่วนนี้ก็จะเกี่ยวกับที่มาและแนวคิดของศูนย์เรียนรู้สุขภาวะแห่งนี้ (ถ้าอยากรู้เรื่องความ green ของอาคารก็ได้รู้เต็มที่เลย) ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและสังคม</p> <p>
หมดส่วนของนิทรรศการถาวรสามห้อง ขึ้นมาชั้นสองจะเป็นห้องนิทรรศการหมุนเวียน</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5j-5mPjUUSuh-P6_55Z5MlzCeE063yo-sRd4YHvg_FPRsk1_n846oMd4Pi6MJy-xjmUFpxAd8x0LpHZ-NnJJsavPx-JRYRgWks3hPVIpxHBHqIst7mzK-3msen6FZs316LP0k7A/s1600/21_IMAG0503.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5j-5mPjUUSuh-P6_55Z5MlzCeE063yo-sRd4YHvg_FPRsk1_n846oMd4Pi6MJy-xjmUFpxAd8x0LpHZ-NnJJsavPx-JRYRgWks3hPVIpxHBHqIst7mzK-3msen6FZs316LP0k7A/s1600/21_IMAG0503.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ซึ่งด้านหน้าจะมีนิทรรศการเล็ก ๆ เรื่อง "สสส.ร้อยความสุขคนไทย" เป็นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับตัวองค์กรและงานของ สสส.</p> <p>
แต่มาดูนิทรรศการหมุนเวียน ที่เป็นวัตถุประสงค์หลักที่มาวันนี้ดีกว่าครับ</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibNpi91uUo71KvYTzQYvtqV4IPC5HZGyF1lcg4U_1kfkQugTGuPOU6ZbuaLiJmhj70v_38lbmiVsUnyHq7XSdT4l6Ml7AWw2sqjW5sQDQWdpXSeQ9Po13uSjybWg42jI3O_yKBcA/s1600/22_IMAG0501.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibNpi91uUo71KvYTzQYvtqV4IPC5HZGyF1lcg4U_1kfkQugTGuPOU6ZbuaLiJmhj70v_38lbmiVsUnyHq7XSdT4l6Ml7AWw2sqjW5sQDQWdpXSeQ9Po13uSjybWg42jI3O_yKBcA/s1600/22_IMAG0501.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>นิทรรศการ "เซ็กส์วัยรุ่น...เลือกได้" ตรงนี้ จากโลโก้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าที่ว่าเลือกได้นั้นหมายถึงอะไร สรุปเป็นสี่ข้อคือ "ติดโรค" "มีลูก" "ใส่ถุงยาง" กับ "รักแล้วรอได้" ซึ่งเนื้อหาที่นำเสนอในนิทรรศการก็มุ่งเน้นประเด็นตรงนี้ คือนำเสนอความเสี่ยงของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน กับเสนอทางเลือกเป็น safe sex กับ no sex</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtOmRqfkwDSh2I5ZY_dKBFvJmnxU0T9zptsNLqu8lnFHGO1kR2D3K1smJMzbmbqXg2MqLlEkqcSUQml4iZb_PISUmIc_7tyQT6AOXjpyluyNfmdV9jMnDv1TUl7ihjVOsC6eQafg/s1600/23_IMAG0522.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtOmRqfkwDSh2I5ZY_dKBFvJmnxU0T9zptsNLqu8lnFHGO1kR2D3K1smJMzbmbqXg2MqLlEkqcSUQml4iZb_PISUmIc_7tyQT6AOXjpyluyNfmdV9jMnDv1TUl7ihjVOsC6eQafg/s1600/23_IMAG0522.jpg" height="320" width="241" /></a></div>
<p>ตัวนิทรรศการ ออกแบบมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยดำเนินเรื่องบางส่วนผ่านตัวละคร นิทรรศการนี้มีเจ้าหน้าที่พาชมและอธิบายสิ่งจัดแสดงทุกขั้นตอน ซึ่งดูตั้งใจรองรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะโดยเฉพาะ</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi0gZDaYsHvRxEixRsxIHKVsEkMD3DKzJXd4wDbKzxKP2-9UvbruZ08HAjiDbuhgRfVJZ8atQSj5heRby-oKH6QMn5SBBfNlxGPXgxvSazyRnfD7bKPWnfjyH88qBKJtpUofFwKg/s1600/24_IMAG0523.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi0gZDaYsHvRxEixRsxIHKVsEkMD3DKzJXd4wDbKzxKP2-9UvbruZ08HAjiDbuhgRfVJZ8atQSj5heRby-oKH6QMn5SBBfNlxGPXgxvSazyRnfD7bKPWnfjyH88qBKJtpUofFwKg/s1600/24_IMAG0523.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ส่วนแรกของนิทรรศการ "รู้ตัว" จะกล่าวคร่าว ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในวัยรุ่น เดินเข้ามาก็จะเจอตัวละครหลักทั้งคู่ตอบคำถามที่วัยรุ่นอาจจะสงสัยแต่ไม่กล้าถาม ในรูปแบบของ interactive video ลองสังเกตคำถามขวาสุดในภาพ "ช่วยตัวเอง ผิดมั้ย" (คำตอบ: ใคร ๆ ก็ทำกัน ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUTDEjAzqk9lmuhTFfwOdkiU7zu-ACFGk-Q8TmLQzyeeKUB4yPd6TmjX3SyPI-aqDD8YMbBfH9OJHIAQA3ilUNfR7t86nPcvVJx_X4KnvKslCNWncS84ZijGwHDdpOu10fm8HMhw/s1600/25_IMAG0524.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUTDEjAzqk9lmuhTFfwOdkiU7zu-ACFGk-Q8TmLQzyeeKUB4yPd6TmjX3SyPI-aqDD8YMbBfH9OJHIAQA3ilUNfR7t86nPcvVJx_X4KnvKslCNWncS84ZijGwHDdpOu10fm8HMhw/s1600/25_IMAG0524.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoUD_WZTHjXxpY-OFW8gCMbln_ndldYmtX_pVhFU4L_fYiRUQ28KilCXFx22Romeio4yf9kPKXWEQ8r0j9V6XcwZXAabsb1fnhzjdG-0y9qQqyylJLXXUlID0aN85tg22tV2-VYw/s1600/26_IMAG0525.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoUD_WZTHjXxpY-OFW8gCMbln_ndldYmtX_pVhFU4L_fYiRUQ28KilCXFx22Romeio4yf9kPKXWEQ8r0j9V6XcwZXAabsb1fnhzjdG-0y9qQqyylJLXXUlID0aN85tg22tV2-VYw/s1600/26_IMAG0525.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ไม่ค่อยแน่ใจว่าสมาชิกกลุ่มเป้าหมายที่มาชมนิทรรศการจะเขินอายคิกคักกันกับคำถามเมื่อกี้หรือเปล่า แต่หันมาอีกทางก็จะโดนเผชิญหน้าเต็ม ๆ กับหุ่นติดนมปลอม/จู๋ปลอม ที่ให้ลองเลือกขนาดต่าง ๆ เอามาใส่ได้ นัยจะสื่อว่าร่างกายของเราไม่มีอะไรน่าอาย เช่นเดียวกับที่ห้ามใครอายในนิทรรศการนี้</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5eERK93ffJ6wrUerOTczom_QWizTynGzWfD0uToGBSua8BRzo6zmrWvHxdGIyB7jLuELdQXCq3JIv3PZaf2HzXmGCWRFAmRv-bEtEwWBsQH3pmS3R1x8Gm5xqMje_XsW8gvNOIA/s1600/27_IMAG0528.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5eERK93ffJ6wrUerOTczom_QWizTynGzWfD0uToGBSua8BRzo6zmrWvHxdGIyB7jLuELdQXCq3JIv3PZaf2HzXmGCWRFAmRv-bEtEwWBsQH3pmS3R1x8Gm5xqMje_XsW8gvNOIA/s1600/27_IMAG0528.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>และก่อนที่จะผ่านไปยังส่วนถัดไป ก็สรุปประเด็นที่ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร "หลั่งเมื่อไหร่ ท้องได้เมื่อนั้น"</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpt1nk0BPb7A9Axnc0yocjlAspJz1I0eWV1TMw8fDV5cy3OMwBLzeFJvXMbQQAA9CSx3rUfBubvxR5_b1Hm2YKdVbo1eP9TQj1xZZyJwt2mpTAZeBmqgpV7SfjGgk0KBEJ4DJjcw/s1600/28_IMAG0529.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpt1nk0BPb7A9Axnc0yocjlAspJz1I0eWV1TMw8fDV5cy3OMwBLzeFJvXMbQQAA9CSx3rUfBubvxR5_b1Hm2YKdVbo1eP9TQj1xZZyJwt2mpTAZeBmqgpV7SfjGgk0KBEJ4DJjcw/s1600/28_IMAG0529.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ส่วนที่สอง "รู้อารมณ์" นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอารมณ์ต่าง ๆ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยรุ่น โดยเฉพาะความสนใจในเพศตรงข้าม (หรือเพศไหนก็แล้วแต่) ผ่านวิดีโอสถานการณ์ของตัวละคร</p> <p>
ส่วนที่สาม "รู้รัก" พูดถึงความรู้สึก ความต้องการทางเพศ ตลอดจนเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ (มั้ง เดาเอา พอดีเจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดห้องนิทรรศการให้ห้องนึง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม)</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTJU4QXQfTLllqJ9LJYg9e8j1vINweUSW6nYMImdU1RQoDSIGjclXEjhgmzpbj04YaYxUcgnccfQm8rkB1tm90m0Q1bIZgQKhzwezyTfzV7zJeXV3LX25hH31uk27WgKu-p-UW7Q/s1600/29_IMAG0530.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTJU4QXQfTLllqJ9LJYg9e8j1vINweUSW6nYMImdU1RQoDSIGjclXEjhgmzpbj04YaYxUcgnccfQm8rkB1tm90m0Q1bIZgQKhzwezyTfzV7zJeXV3LX25hH31uk27WgKu-p-UW7Q/s1600/29_IMAG0530.jpg" height="320" width="241" /></a></div>
<p>และก็แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในนิทรรศการเรื่องเพศสำหรับวัยรุ่น คือการลองใส่ถุงยางอนามัย</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqdDiFy2DyG2W43d-kjFpCVKci9VcjAc7MLZ57uYqzbvvCItz-aKw_887DVG1M0HI70DbDCwJtxjbug4HdjSChceMIdkvEZFDB85FzNOnyC-qvJoG4qMpy4j8eDTe7OdXEQAvHWg/s1600/30_IMAG0531.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqdDiFy2DyG2W43d-kjFpCVKci9VcjAc7MLZ57uYqzbvvCItz-aKw_887DVG1M0HI70DbDCwJtxjbug4HdjSChceMIdkvEZFDB85FzNOnyC-qvJoG4qMpy4j8eDTe7OdXEQAvHWg/s1600/30_IMAG0531.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>ซึ่งนำไปสู่ประเด็นสำคัญ คือการตั้งครรภ์ (มีชุดครรภ์เทียมให้ลองใส่ด้วย ว่าช่วงใกล้ครบกำหนดเด็กในท้องหนักขนาดไหน พร้อมชุดคลุมให้ถ่ายรูป)...</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgANB8AJNVBuGx9TGX8lVje7YzYQQJ9xkEwZw2Y9_kIvnN4btl97-PfqIJlfxzJVzQPEZonjOM6jUZEJ1zuk4r6p3rWDw6-ZMfOjCV-6KayDTsIJG0oHzCLalP23tGM9TgeUH5BZw/s1600/31_IMAG0533.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgANB8AJNVBuGx9TGX8lVje7YzYQQJ9xkEwZw2Y9_kIvnN4btl97-PfqIJlfxzJVzQPEZonjOM6jUZEJ1zuk4r6p3rWDw6-ZMfOjCV-6KayDTsIJG0oHzCLalP23tGM9TgeUH5BZw/s1600/31_IMAG0533.jpg" height="241" width="320" /></a></div>
<p>...และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์</p> <p>
และนิทรรศการก็ปิดด้วยส่วนที่สี่ รู้ใจ ซึ่งก็ชวนให้ถามใจถึงความฝัน ความเป็นตัวตนของแต่ละคน เพื่อเป็นเครื่องช่วยนำให้เลือกทางเดินที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง พร้อมกับชวนให้ร้องเพลงแสงสุดท้ายกับเพื่อน ๆ ในวิดีโอก่อนจะจบนิทรรศการ</p> <p>
สรุปก็คือ โดยแก่นแล้วสิ่งตายตัวที่นิทรรศการนี้บอกก็มีเพียงตามตัวเลือกที่กล่าวตอนต้นจริง ๆ คือบอกให้ตระหนักเรื่องท้อง เรื่องโรคติดต่อ และย้ำให้ตระหนักว่าตนสามารถเลือกระหว่างความเสี่ยงเหล่านั้น กับการป้องกันหรือไม่มีเพศสัมพันธ์ ผู้จัดนิทรรศการคงตั้งใจทิ้งประเด็นอื่น ๆ ไว้ให้เป็นปลายเปิด ทั้งสำหรับให้ผู้เข้าชมได้ใช้ความคิดเอง หรืออภิปรายร่วมกันโดยมีผู้นำชมคอยชี้แนะ</p> <p>
รูปแบบการจัดนิทรรศการนั้นดีทีเดียว มี interactivity และกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจและช่วยเปิดให้พูดคุยเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าชมกับผู้นำชมนิทรรศการด้วย ทุกนิทรรศการที่ชม จัดทำเนื้อหาในส่วนของป้ายบรรยายเป็นภาษาไทยควบคู่กับภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งดี แต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าช่วยสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแค่ไหน</p> <p>
ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดที่ผมเห็น สำหรับนิทรรศการเซ็กส์วัยรุ่น...เลือกได้ คือความยากในการเข้าถึง (สถานที่จัด) กล่าวคือ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะเนี่ยมันมาโคตรยาก นึกแล้วไม่เห็นโอกาสว่าเด็กวัยรุ่นที่กลุ่มเป้าหมายจะมีโอกาสชมนิทรรศการได้ยังไงถ้าโรงเรียนไม่พามา ตัวนิทรรศการนั้นโอเคแล้ว แต่น่าจะมี outreach มากกว่านี้ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ สสส.ควรจะถนัดอยู่แล้ว) ผมไม่แน่ใจว่าทาง สสส.มีนโยบายที่จะทำอยู่หรือเปล่า แต่ผมอยากเห็นการนำนิทรรศการนี้ (หรือนิทรรศการอื่น ๆ ก็ตาม) ไปจัดในที่ที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งน่าจะช่วยให้สนองวัตถุประสงค์ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก</p>
<hr>
<div class="footnote"><ul>
<li>ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์<a href="http://www.thaihealthcenter.org/">ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ</a></li></ul></div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-21519014605381389932014-05-25T01:39:00.000+07:002014-05-25T01:39:38.215+07:00รำพึงรำพัน เรื่องรัฐประหาร<p class="de-emphasis">คำชี้แจง: เนื้อความในเอ็นทรีนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันของประเทศไทย การกล่าวถึงรัฐประหารใด ๆ ในเอ็นทรีนี้หมายเฉพาะถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ หรือกล่าวลอย ๆ ถึงกรณีทั่วไปเท่านั้น ความทั้งหมดในเอ็นทรีนี้ ไม่มีส่วนใดที่วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ในประเทศไทยตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 แต่อย่างใด และไม่ได้พาดพิงถึง คสช.หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น</p> <p>
ขอพักซีรีส์ Standing in line มาพร่ำเพ้ออะไรสักเล็กน้อยนะครับ</p> <p>
ทุกวันนี้เวลาพูดถึงรัฐประหารก็ต้องมีคำถามว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย</p> <p>
คิดดูก็แปลกดี ถ้าเป็นสมัยก่อน (ก่อนปี 2005) คงไม่มีใครคิดว่าจะต้องตอบคำถามนี้</p> <p>
แม้ในปัจจุบัน เวลาเห็นคนบอกว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาเช่นนี้ ก็ยังพอเข้าใจ</p> <p>
แต่ที่ช่างเข้าใจยากนัก คือคนที่เรียกร้องรัฐประหารกันอย่างเต็มปากเต็มคำ</p> <p>
ก็คงเหมือนกับที่คนไปมอบดอกไม้ให้ทหารเมื่อปี 2006</p> <p>
ชีวิตของเราคงแตกต่างกันนัก จึงพามาให้มองเห็นโลกเบี้ยว ๆ นี้ได้ต่างกันขนาดนี้</p> <p>
ที่จริงถ้าถามคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น หลายคนคงให้คำตอบที่เป็นเรื่องเป็นราว เกี่ยวกับเสรีภาพ การกดขี่ ความชั่วร้ายของเผด็จการ ฯลฯ</p> <p>
ถ้ามีคนถาม ผมก็อาจจะกล้อมแกล้มตอบไปในทำนองเดียวกัน</p> <p>
แต่ในความจริงแล้วคำตอบลึก ๆ ในใจคงไม่มีเหตุมีผลแบบนั้น</p> <p>
...</p> <p>
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กโตมาในทศวรรษ 1990s</p> <p>
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กตามพ่อแม่ไปเขตเลือกตั้ง ดูเขานับคะแนนในจอโทรทัศน์</p> <p>
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กดูถ่ายทอด ส.ส.อภิปรายปาหี่กันในสภา (ถึงมันจะดูไร้สาระกว่าละครน้ำเน่าก็เถอะ) ดูเขาตั้งรัฐบาลกับยุบสภาสลับกันไปมา จนเห็นมีรัฐบาลพลเรือนผลัดเปลี่ยนกันไปห้าสมัยในสิบปี ซึ่งน่าจะเป็นสถิติต่อเนื่องนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้แล้วมั้ง</p> <p>
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กฟังผู้ใหญ่พร่ำสอนถึงความงามของประชาธิปไตย ถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยที่กำลังเติบโตทางการเมืองจนกลายเป็นผู้นำในภูมิภาค ถึงบทเรียนอันเจ็บปวดครั้งสุดท้ายที่เราได้เรียนเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1992</p> <p>
บทเรียนที่ผมเองยังคงจำได้...</p> <p>
อันที่จริงเมื่อคราวพฤษภาทมิฬนั้นผมคงยังไม่รู้เรื่องหรอก ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะก็อยู่ในวัยเพิ่งเข้าโรงเรียน</p> <p>
แต่ก็รู้ว่ามีเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้นอยู่ในกรุงเทพฯ น่ากลัวจนโรงเรียนต้องเลื่อนเปิดเทอม น่ากลัวอย่างที่เห็นภาพท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันทะมึน น่ากลัวอย่างที่มีคนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย</p> <p>
ตอนนั้นผมคงยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความตายคืออะไร</p> <p>
แต่เรื่องราวของข่าวเหล่านั้นก็กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำแรก ๆ ที่ผมมี เกี่ยวกับความเป็นไปของประเทศที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนแห่งนี้</p> <p>
และค่านิยมและความเชื่อที่เกิดสืบเนื่องมาจากความรุนแรงในครั้งนั้น ก็เป็นสิ่งที่ผมได้รับปลูกฝังมาดั่งศรัทธาในศาสนา ว่าทหารไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ว่าการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยทหารนั้นจะนำพาให้ประเทศชาติย่อยยับ ดั่งที่ได้เห็นกันมาแล้ว</p> <p>
ครับ มุมมองของผมที่มีต่อรัฐประหาร แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสั่งสอนมา เช่นเดียวกับที่ถูกสอนให้เคารพผู้ใหญ่ หรือถูกสอนว่าคนไทยต้องรักในหลวง</p> <p>
แต่คำสอนเหล่านี้ก็ชี้นำชีวิตเรามาตลอด</p> <p>
ผมยังจำเพลงรณรงค์เลือกตั้งปี 1992 นั้นได้</p> <blockquote>
วันที่ 13 กันยายน<br />
เราทุกคนจะไปเลือกตั้ง<br />
ใช้สิทธิ์ของเราอีกครั้ง<br />
เลือกคนดีเข้าสภา ♪</blockquote> <p>
อาจจะไม่ทรงพลังเหมือน “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ” แต่สำหรับผมแล้วเพลงนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์แทนความหวังทางการเมืองที่กำลังจะสดใสขึ้นแทบไม่ต่างกัน</p> <p>
แต่เหมือนท้องฟ้าสีทองที่ผ่องอยู่ได้ไม่ถึงสามปี ก็คงรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้น</p> <p>
รัฐประหารเมื่อปี 2006 นั้น ถึงจะไม่เสียเลือดเนื้อ แต่สำหรับผมมันก็ช่างน่าตกใจ และสะเทือนใจไปมากทีเดียว</p> <p>
เป็น a nasty shock ที่ดึงให้เราต้องมาประจักษ์กับความจริงว่าสิบสี่ปีที่ผ่านมา ทหารไม่ได้หายไปไหนเลย</p> <p>
เป็นการทำลายความฝัน ที่เราเคยวาดไว้ว่าอยู่ในโลกที่ไม่มีอะไรแบบนี้แล้ว</p> <p>
และที่เจ็บช้ำไปกว่านั้น คือภาพคนมากมาย ที่ออกมามอบดอกไม้ให้ทหารด้วยน้ำใจยินดี</p> <p>
ตกลงความเลวร้ายของเผด็จการทหารที่เคยถูกสอนมา มันไม่จริงอย่างนั้นหรือ?</p> <p>
สิบสี่ปีที่ผ่านมานั้นคือเราเข้าใจผิดมาตลอด?</p> <p>
หรือคนเหล่านั้นเขาเพียงแค่ลืม ในสิ่งที่เรายังจำ?</p> <p>
ผมอาจจะยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจความเลวร้ายของสังคมมนุษย์ ที่บังคับให้เราต้องยอมรับอะไรเช่นนี้</p> <p>
ผมอาจจะยึดติดกับเหตุการณ์ในอดีตมากเกินไป จนไม่ทันเห็นว่าโลกหมุนผ่านไปจนอดีตเหล่านั้นมันไม่จริงแล้ว</p> <p>
ผมอาจจะหลงผิด อยู่กับความเชื่อที่ถูกสั่งสอนมาโดยไม่ได้นึกถึงเหตุผล</p> <p>
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างน้อยก็ช่วยบอกกันให้เข้าใจหน่อยได้ไหม</p> <p>
ว่าทำไมจึงร้องหา</p> <p class="emphasis">
รัฐประหาร</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-48660982745415894522014-05-17T15:24:00.000+07:002014-05-17T17:14:10.333+07:00Standing in line (2): Order v discipline<p>บทความที่แล้วเปิดซีรีส์ไปด้วยการบ่นระบบทหาร ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนด้วยเท่าไร ตราบที่ทหารยังอยู่ส่วนทหาร (และไม่คำนึงว่ามีกฎหมายบังคับให้รับราชการทหารอยู่) ความงี่เง่าของระบบเหล่านั้นก็ไม่น่ากระทบอะไรกับประชาชนพลเรือนทั่วไป</p> <p>
แต่เรื่องของเรื่องคือ ระบบเหล่านั้นมันไม่ได้จำกัดขอบเขตตัวเอง วันนี้จะขอพาเข้าประเด็นหลักโดยยกพาดหัวรองจากบทความ <em>The New York Times</em> เมื่อ พ.ค.ที่แล้ว ที่เคยอ้างถึงในเอ็นทรี <a href="/2013/06/blog-post_30.html">หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?</a></p> <p>
<a href="http://www.nytimes.com/2013/05/29/world/asia/thai-students-find-government-ally-in-push-to-relax-school-regimentation.html" target="_blank"><q>In Thailand’s Schools, Vestiges of Military Rule</q></a></p> <p>
ประเด็นที่อยากจะอภิปรายวันนี้ คือองค์ประกอบของระบบทหารที่เราต่างพบเห็นกันเป็นประจำในพื้นที่สถาบันการศึกษาไทย หรือ “school regimentation” ที่กล่าวถึงในชื่อบทความดังกล่าวนั่นเอง</p> <p>
ผมคงไม่ขอร่วมวิเคราะห์ว่าธรรมเนียมการเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่งเครื่องแบบ ตัดผมสั้น เชื่อฟังคำสั่งครู ฯลฯ ในโรงเรียนนั้นมีที่มาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบทหารในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรหรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าธรรมเนียมเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ยังคงแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน</p> <p>
และด้วยความฝังลึกนี้ ทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมเนียมการปฏิบัติดังกล่าว เราก็มักได้เห็นการอภิปรายถกเถียงเป็นวงกว้าง ทั้งในสื่อมวลชนและชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ และก็ไม่พ้นที่จะต้องได้เห็นข้อสนับสนุนที่ว่าธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ล้วนสำคัญ เพราะเป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยให้เยาวชนได้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต</p> <p>
ที่บทถกเถียงเหล่านี้ไม่เคยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันได้ อาจเพราะความเห็นที่ต่างกันสุดขั้วก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแต่ละฝ่ายยังไม่เข้าใจว่า <em>ระเบียบวินัย</em> ที่ต่างอ้างกันนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เองก็ไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะให้คำจำกัดความไว้ซ้ำซ้อนกันว่า <em>ระเบียบ</em> คือ <q>แบบแผนที่วางไว้เป็นแนวปฏิบัติหรือดำเนินการ</q> ส่วน <em>วินัย</em> คือ <q>ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ, ข้อปฏิบัติ</q></p> <p>
ผมจึงขอเสนอคำจำกัดความใหม่ สำหรับอธิบายแนวคิดของผมต่อประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยผมจะกำหนดให้ ระเบียบ (order) หมายถึงการปฏิบัติอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ส่วน วินัย (discipline) หมายถึงการควบคุมตนตามกาลเทศะอย่างสมควร</p> <p>
บอกแค่นี้อาจจะยังเห็นไม่ชัดเจนว่าแล้วตกลงมันต่างกันยังไง ลองดูตัวอย่างครับ ยกประเด็นต้นเรื่องเลยคือการเข้าแถว สมมุติว่าครูสั่งให้นักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งนักเรียนก็ยืนตรงได้ไม่ยุกยิก เข้าแถวเรียบร้อยเป็นแนวตรงทั้งแถวตอนแถวหน้ากระดาน อันนี้คือที่ผมเรียกว่ามีระเบียบ แต่หากนักเรียนเข้าแถวได้อย่างนั้นเฉพาะเวลาที่มีครูยืนคุมอยู่ ก็ไม่เรียกว่ามีวินัย เทียบกับการเข้าแถวต่อคิวรับถาดอาหารกลางวัน ถ้านักเรียนต่อคิวกันเป็นแถวโดยไม่ต้องคอยสั่ง ไม่มีคนแซงคิวแม้จะไม่มีครูคอยยืนคุม นั่นคือที่ผมเรียกว่ามีวินัย แม้อาจจะไม่ได้มีระเบียบ คือนักเรียนไม่ยืนตรง แถวเบี้ยวไปมาก็ตาม</p> <p>
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะพอเดาได้ว่าแนวคิดที่ผมจะเสนอคืออะไร ครับ เมื่อกำหนดความหมายแยกกันให้ชัดเจนแล้ว ผมเชื่อว่า วินัย คือสิ่งที่สำคัญต่อปกติสุขของสังคมมากกว่า เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่มีใครมาคอยคุมให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์และมารยาทของสังคมอยู่ตลอดเวลา คงไม่มีประโยชน์ที่ทุกคนจะสามารถเข้าแถวเคารพธงชาติได้ตรงเป๊ะทุกวันเช้าเย็น ถ้าเวลาขึ้นรถเมล์เราจะกลับยืนออเบียดเสียดแย่งกันแซงขึ้นรถตรงหน้าประตูจนผู้โดยสารบนรถลงไม่ได้ และก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะกำหนดฝั่งขวาหรือซ้ายของบันไดเลื่อนให้ยืนหรือเดิน หากกำหนดไปแล้วคนจะไม่ปฏิบัติตาม</p> <p>
ไม่ใช่ว่าระเบียบไม่สำคัญ เพราะเมื่อมีวินัยในการปฏิบัติอะไรแล้วก็ย่อมต้องอาศัยระเบียบช่วยกำหนดให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามมา ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับส่วนหนึ่งในคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่อ้างไว้ในบทความที่แล้ว ที่ใช้วงโยธวาทิตเป็นสัญลักษณ์แทนความงี่เง่าของระบบทหาร เพราะการควบคุมร่างกายให้ผสานเข้ากับจังหวะดนตรีนั้นก็ต้องอาศัยทั้งระเบียบและวินัยร่วมกันในระดับสูง ไม่ต่างจากที่สมาชิกวงออร์เคสตราต้องมีทั้งระเบียบและวินัยในการเล่นจึงจะบรรเลงดนตรีออกมาได้พร้อมเพรียงโดยไม่ผิดเพี้ยน</p> <p>
แต่การบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ (regimentation) ที่ปฏิบัติกันในโรงเรียนนั้น แม้จะสร้างสภาพที่มีระเบียบได้แต่ก็แค่ชั่วคราว และที่สำคัญ ไม่น่าจะช่วยปลูกฝังวินัยได้แต่อย่างไร เพราะอาศัยแต่การเฝ้าควบคุม (และอาจจะกดขี่) อยู่ตลอดเวลา สภาพบีบบังคับเช่นนี้ ถึงแม้ในเบื้องต้นอาจจะสามารถขู่ให้ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจเกรงกลัวและไม่กล้าละเมิดระเบียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่ในเบื้องลึกแล้วกลับเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกต่อต้าน ที่จะส่งผลในทิศทางตรงข้ามเมื่อมันมากจนทนไม่ไหว หรือเมื่อแรงบีบบังคับนั้นอ่อนลง</p> <p>
การปลูกฝังระเบียบและวินัยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระและมีความสามารถที่จะทำความรู้ความเข้าใจกับโลกรอบตัวได้ ครูจะตรวจผมตรวจเครื่องแบบนักเรียน จะยืนเฝ้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติเป็นสิบปี หากทำไปเพียงด้วยสภาพบังคับที่ไม่มีเหตุผล ก็คงไม่เหลืออะไรหลังจากที่นักเรียนเรียนจบพ้นเงื้อมมือครูไปแล้ว แต่การสอนให้นักเรียนรู้จักคิดถึงสังคมและคนรอบข้าง ให้เห็นและเข้าใจว่าการเข้าคิวจะช่วยให้ตนเองและเพื่อนทุกคนได้ทานอาหารกลางวันโดยเรียบร้อยตามความประสงค์ นั่นต่างหาก คือสิ่งที่โรงเรียนควรทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัย</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-7401621213433208402014-04-10T11:48:00.001+07:002014-05-17T11:31:45.298+07:00Standing in line (1): On orders and the military<blockquote>This topic brings me to that worst outcrop of the herd nature, the military system, which I abhor. That a man can take pleasure in marching in formation to the strains of a band is enough to make me despise him. He has only been given his big brain by mistake; a backbone was all he needed. This plague-spot of civilization ought to be abolished with all possible speed. Heroism by order, senseless violence, and all the pestilent nonsense that goes by the name of patriotism—how I hate them!<footer style="text-align:right";>– Albert Einstein</footer></blockquote><p>
ตั้งใจจะเล่าถึงแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับระบบกฎเกณฑ์ระเบียบต่าง ๆ ในสังคมมาพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้เขียนลงบล็อกสักที วันนี้เนื่องในโอกาสเทศกาลเกณฑ์ทหาร และดราม่าณเดชน์เป็นหืดที่เพิ่งผ่านไป ก็ขอเริ่มต้นซีรีส์บทความสี่ตอนนี้ด้วยเรื่องทหาร ๆ หน่อยแล้วกัน</p> <p>
คำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ยกไว้ข้างต้น อันที่จริงก็สะท้อนแนวคิดของผมเกี่ยวกับระบบทหารได้ค่อนข้างดี หรือกล่าวสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ <span class="emphasis">ผมเกลียดระบบทหาร</span>ครับ</p> <p>
ที่จริงเหตุผลทั่วไปที่คนจะเกลียดการทหารนั้นก็ง่าย ๆ ไม่น่าต้องอธิบายอะไรมากมาย คือทหารเป็นสถาบันที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองธรรมชาติความป่าเถื่อนของมนุษย์ ที่รังแต่จะฆ่าฟันทำลายกันเวลามีความขัดแย้ง ถึงแม้ทุกวันนี้มนุษย์จะยังหนีไม่พ้นความป่าเถื่อนดังกล่าว แต่การดำเนินวิถีแห่งความรุนแรงนี้ย่อมได้กลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับผู้ที่แสวงหาความเจริญในสังคมปัจจุบันที่พัฒนามามากแล้ว</p> <p>
และถึงแม้ในปัจจุบันทหารจะมีบทบาทที่สำคัญนอกเหนือจากการสู้รบ คือเป็นกองกำลังอเนกประสงค์ โดยเฉพาะในการบรรเทาสาธารณภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ จำนวนมากเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการทหารและการสงคราม ผมก็คิดว่าน่าเสียดาย หากมนุษย์เราจะจำกัดพัฒนาการของตัวเองให้อยู่แต่บนพื้นฐานของความรุนแรง</p> <p>
แต่ความรุนแรงนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมว่าเกลียดระบบทหารหรอกครับ อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองถือแนวความคิดนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่พอจะนึกออกว่าตอน ป.5 ไปเข้าค่ายลูกเสือที่โรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ (อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม) แล้วครูฝึกบอกกฎในการอยู่ค่าย 3 ข้อ คือ</p><ol>
<li>ครูฝึกถูกเสมอ</li>
<li>เหมือนกับข้อ 1</li>
<li>หากคิดว่าครูฝึกผิด ให้ย้อนกลับไปดูข้อ 1 และข้อ 2</li></ol><p>
ถึงเขาจะตั้งใจพูดเป็นมุกตลกที่พอขำได้เล็กน้อย แต่ผมก็จำได้ว่ารู้สึก "อะไรวะ" กับ "กฎ" ดังกล่าวมาก คือ ถูกคือถูก ผิดก็คือผิด จะกำหนดให้คนพูดผิดเป็นถูกได้ได้ยังไง</p> <p>
และจะบังคับให้คนสักแต่ทำตามคำสั่งโดยไม่ใช้สมองคิดว่าคำสั่งนั้นมันควรไม่ควรได้ยังไง</p> <p>
ครับ ปัญหาที่ผมมีกับระบบทหาร ก็เหมือนที่ไอน์สไตน์กล่าว มนุษย์มีวิวัฒนาการมา มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง จะมาบังคับให้ทำตามคำสั่งโดยไม่สนเหตุผลความเหมาะสมถูกผิดอะไรทั้งสิ้นมันใช้ได้ที่ไหน แล้วยิ่งวัฒนธรรมอำนาจนิยมนี้ถูกผสมกับอิทธิพลของพื้นฐานความป่าเถื่อน เกิดเป็นความหยาบคายในวาจาและกิริยาทุกชั่วขณะ ผมก็ยิ่งรับไม่ได้ครับ</p> <p>
ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้วิจารณ์ลอย ๆ โดยที่ไม่เคยสัมผัสเองนะครับ ผมก็เหมือนเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ที่เข้ารับการฝึกวิชาทหาร (รด.) ถึงชั้นปีที่สาม และผมยินดีที่จะบอกว่าผมไม่ประทับใจกับระบบการฝึกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว</p> <p>
ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่อ่านหนังสือคู่มือ นศท.ที่แจกมาชั้นปีละเล่ม แต่ผมอ่านครับ ถึงแม้จะไม่ครบทุกบท แต่ก็มากพอที่จะเห็นว่าเนื้อหาที่เป็นสาระมันมีอยู่ ผมรู้จากที่อ่าน ว่าการยืนตรงที่ถูกต้องนั้นปลายเท้าต้องห่างกันเท่าไร รู้ว่าการทำขวาหันจะต้องยกปลายเท้าขวาและส้นเท้าซ้ายในจังหวะไหน รู้ว่าการทำความเคารพโอกาสไหนต้องใช้วิธีใดบ้าง</p> <p>
แต่ในความเป็นจริง ครูฝึกกลับแทบจะไม่เคยบอกหรืออธิบายหลักการใด ๆ นั้นเลย</p> <p>
ในความเป็นจริง เราได้เห็นแต่ครูฝึกตะโกนออกคำสั่ง สั่งแล้วสั่งอีก สลับกับลงโทษที่ทำไม่ถูกใจ โดยที่คนถูกสั่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่สั่งจริง ๆ แล้วมันต้องทำยังไงกันแน่ ได้แต่ทำตามกันมั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แบบลองผิดลองถูก จนกว่าครูฝึกจะพอใจ</p> <p>
ทั้ง ๆ ที่หากอธิบายดี ๆ ให้เข้าใจกันแต่แรก ฝึกทำแค่ไม่กี่ครั้งก็น่าจะได้แล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญาพอที่จะคิดเป็น แต่ทหารกลับห้ามไม่ให้ใช้สติปัญญานั้น และอาศัยแต่การกดดันด้วยความรุนแรงทางวาจาแทน</p> <p>
มันสูญเปล่าไหมล่ะครับ</p> <p>
และยิ่งมองภาพรวมของการฝึกวิชาทหารแล้ว ผมก็ยิ่งว่ามันสูญเปล่ามากมายจริง ๆ</p> <p>
ผมไม่เคยออกความเห็นเวลาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าควรยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่ เพราะถึงแม้ผมจะเกลียดระบบทหาร และกังขาในความลักลั่นของกฎหมายที่กำหนดว่าผู้ชายมีหน้าที่รับราชการทหาร ขณะที่รัฐธรรมนูญระบุว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ผมก็เข้าใจว่าในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ อย่างไรเสียระบบทหารก็จะยังคงมีอยู่ และยังไม่เห็นภาพว่าระบบการเกณฑ์ทหารจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นอย่างไรได้บ้าง ขณะที่อีกหลายประเทศทั่วโลกก็ยังใช้กัน</p> <p>
แต่ประเด็นการปรับเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารนี้สัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างกำลังสำรอง ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือความไร้ประสิทธิผลของการฝึกวิชาทหาร พูดตรง ๆ คือการเรียน รด.นี่มันปาหี่สุด ๆ นอกจากการได้สัมผัสระบบทหารว่าเป็นอย่างไรแล้ว ผมไม่เห็นว่าการฝึก 240 ชั่วโมงกับไปเขาชนไก่อีก 5 วันนี่มันจะได้ช่วยให้ นศท.สามารถเป็นทหารได้จริงขึ้นมาตรงไหนเลย</p> <p>
ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมยังรู้สึกว่าสำหรับ นศท.จำนวนมาก การฝึกส่วนใหญ่นั้นเหมือนการเล่นเกมอะไรสักอย่าง (ปนกับฝึกความอดทนและเลอะเทอะอีกบ้าง) มากกว่าจะเป็นการฝึกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่จะเกิดสงคราม</p> <p>
ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าน่าเสียดายอะไรหรอกครับ (เพราะถ้าจะให้ฝึกจริงจังแล้วจะต้องโหดขนาดไหน ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน) เพียงแต่คิดว่า ถ้าจะให้ตัดหัวเกรียนสามปีแล้วได้แค่นี้ (อย่าว่าแต่พร้อมเป็นทหารเลย แค่เข้าแถวอย่างมีระเบียบวินัยก็ยังไม่เห็นจะทำกันได้) ก็อย่ามีเสียเลย แล้วเอางบประมาณไปทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์กว่านี้น่าจะดีกว่า</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-87772910147500826942014-04-04T23:53:00.003+07:002014-04-04T23:55:07.553+07:00น้องผู้ชายที่นั่งทำการบ้านกับตาชั่งตรงทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ<p>วันนี้เห็นการวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาของไทยประกันชีวิตที่เพิ่งออกมาใหม่ รวมถึง<a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151990328655009" target="_blank">ข้อทักท้วงจากมูลนิธิกระจกเงา</a> แล้วจึงนึกถึงน้องผู้ชายที่นั่งทำการบ้านกับตาชั่งตรงทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ...</p> <p>
คนที่เดินผ่านตรงนั้นบ่อยช่วงราว 10 ปีที่แล้วอาจจะจำได้ น้องเค้าจะนั่งทำการบ้านอยู่กับเครื่องชั่งกับกระป๋องรับเงินเป็นประจำเกือบทุกวัน มีป้ายข้อความเรื่องประมาณเกี่ยวกับหาเงินเรียน/ช่วยทางบ้านวางเอาไว้</p> <p>
ดูเหมือนจะมีคนสนใจเรื่องของน้องเขาพอควร เพราะต่อมาก็เห็นมีบทความข่าวถ่ายเอกสารแปะฟีเจอร์บอร์ดมาวางแทน ผมเจอน้องเค้าทุกวันก็สนใจอยากรู้เรื่องราวดังกล่าวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปดูบทความนั้นใกล้ ๆ หรือคุยกับน้อง</p> <p>
เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะไปอยากรู้ก็ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้จะคุยอะไรก็ส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเหตุผลหลักที่ไม่กล้านั้น คือเหตุผลเดียวกับที่อยากรู้ขึ้นมาตั้งแต่แรก</p> <p>
นั่นคือ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ครั้งใดที่เห็นน้องเค้านั่งอยู่ตรงนั้น ก็จะต้องเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างเตี้ย ผมสั้นไม่เรียบร้อย สวมหมวกแก๊ป ใส่แจ็กเก็ตตัวโคร่ง ๆ ยืนพิงราวทางเดินอยู่ไม่ห่างไปเท่าไรนักเสมอ</p> <p>
แท้จริงแล้วเธอจะยืนทำอะไรผมก็คงไม่ทราบได้ ได้แต่สังเกตว่าน้องกับเธอจะปรากฏตัวร่วมกันทุกครั้ง หากไม่อยู่ก็จะไม่เห็นทั้งคู่ ไม่เคยมีวันใดที่คลาดไปจากนี้เลย</p> <p>
คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าเธอมายืนเฝ้าน้องอยู่ แต่ความคิดนี้ก็นำไปสู่คำถามต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งว่าทำไมจึงต้องเฝ้า? ถ้าไม่เฝ้าน้องเขาจะไปไหน? เธอคนนี้เป็นใคร? น้องเขามาจากไหน? ภาพที่เห็นทุกวันเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ามนุษย์หรือเปล่า? แต่งั้นแล้วจะไม่มีใครรู้เรื่องแล้วทำอะไรเลยเหรอ? แล้วนักข่าวที่มาทำข่าวล่ะ? แล้วเธอคนนั้นก็ดูรู้จักคุ้นเคยกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่วางสินค้ากีดขวางทางเดิน ถ้าเป็นขบวนการอะไรเขาคงไม่กล้าทำอย่างนี้ที่เดิมตลอดทุกวันหรอก? นี่เราคิดอคติไปเองหรือเปล่า? แต่งั้นถ้าไม่ใช่แล้วเธอจะมายืนทำอะไร?</p> <p>
ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านหัวผมเกือบทุกครั้งที่เดินผ่านและเห็นน้องเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยความกลัว ทั้งกลัวที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว กลัวคำตอบที่อาจจะพบ และกลัวที่จะก้าวออกจากเส้นทางปกติที่เดินตรงผ่านไปเป็นประจำ ผมจึงบอกตัวเองไปทุกครั้งไม่ให้ทำอะไร ได้แต่เมินเฉยต่อความเป็นห่วง และปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นพัดผ่านเลยไป</p> <p>
เวลาผ่านไป ภาพที่เห็นจนชินตานั้นเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ ความคิดกังวลทั้งหลายเริ่มกลายเป็นชาชิน แต่ประกายความเป็นห่วงเล็ก ๆ นั้นก็ยังวาบขึ้นเสมอเมื่อเห็นน้องตรงนั้น แม้จะถูกดับลงอย่างรวดเร็วทุกครั้งก็ตาม</p> <p>
ผมสัญจรผ่านทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นประจำอยู่ราว 5 ปี ผมเห็นน้องตลอดช่วงนั้น ตั้งแต่ยังเด็กจนใส่ชุดนักเรียน ม.ปลาย จากนั้นจึงไม่ค่อยได้ผ่านไปทางนั้นอีก ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเห็นน้องเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่แม้จะไม่เห็นน้องแล้ว เวลาที่เดินผ่านทางนั้นก็ยังนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง และก็ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่กล้าหาคำตอบ (เพื่ออย่างน้อยจะได้หยุดความฟุ้งซ่านไว้บ้าง) และคิดในใจหวังให้เรื่องร้าย ๆ ที่เคยกังวลทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสิ่งที่คิดไปเองและไม่จริง</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-31571889160148137442014-03-30T02:59:00.000+07:002014-03-30T02:59:10.304+07:00เรื่อยเปื่อย เรื่องกีฬา<p>กีฬา</p> <p>
คำนี้ฟังแล้วบางครั้งก็รู้สึกใกล้ตัว แต่บางครั้งก็กลับไกล</p> <p>
ท่านผู้อ่านทุกท่านน่าจะเคยได้เรียน สัมผัส และหัดเล่นกีฬามาบ้าง อย่างน้อยก็จากชั่วโมงพลศึกษาในโรงเรียน</p> <p>
ผมเองจำได้ว่าเคยถูกโรงเรียนบังคับให้<del>เล่น</del>ลองสัมผัสกีฬาหลายประเภทอยู่ เท่าที่นึกออกก็มีฟุตบอล บาสเกตบอล แฮนด์บอล แชร์บอล วอลเลย์บอล เทนนิส ปิงปอง แบดมินตัน เซปักตะกร้อ ยิมนาสติก ไอคิโด กระบี่กระบอง วิ่ง กระโดดไกล กระโดดข้ามรั้ว ทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลน ว่ายน้ำ แล้วก็ลีลาศ (ห่วงยางเชลยนี่นับมั้ย?)</p> <p>
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เอาอ่าวสักอย่าง หลังจบมัธยมมาก็เหลือที่มีโอกาสสัมผัสอยู่แค่หยิบมือเดียว</p> <p>
และก็กลายเป็นว่ากีฬาที่เคยเรียนมาเยอะแยะนั้นส่วนใหญ่ก็เหลือมีโอกาสเห็นแค่ในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์และการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ (รวมทั้งกีฬาที่ไม่เคยเรียนด้วย โอลิมปิก ณ ลอนดอนที่ผ่านมา ผมนั่งดู canoe slalom เยอะสุดเลยมั้ง)</p> <p>
แต่นั่นก็น้อยที่ไหนกัน ผมเคยสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าเหตุใดกีฬาจึงได้รับพื้นที่ข่าวมากมายทุกวัน ทั้งที่เทียบกันแล้วมันดูเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราน้อยเสียเหลือเกิน แต่การติดตามกีฬาในฐานะผู้ชมมันก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยนิยมทุกวันนี้ และคงยากที่จะชำแหละหาที่มาที่ไป</p> <p>
อันที่จริงแต่ละคนคงมีความใกล้ชิดกับกีฬามากน้อยแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะในฐานะผู้ชมหรือผู้เล่น อย่างตอนมัธยม สามารถแบ่งนักเรียนชายได้คร่าว ๆ เป็นสองสายพันธุ์ คือคนที่เตะบอลตอนพักกับคนที่ไม่เตะ (คงไม่ต้องบอกว่าผมอยู่กลุ่มไหน ที่จริงยังมีพันธุ์ย่อยที่แปลกกว่านั้นอีก เช่นคนที่แวบไปตีเทนนิสก่อนเข้าแถว—อีลีทสุด ๆ)</p> <p>
ซึ่งหลายคนที่เตะบอลตอนพัก ก็ยังคงเล่นอยู่ตอนที่จบมัธยมออกมาแล้ว และหลายคนในกลุ่มนี้ก็ติดตามดูฟุตบอลลีกทางโทรทัศน์ แต่เรื่องของเรื่องคือสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความเป็นผู้ชมกับความเป็นผู้เล่นมันแทบไม่สัมพันธ์กันเลย</p> <p>
คิดดูแล้วก็มันก็มองได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกอย่างที่ดูในโทรทัศน์เราก็ไม่ได้ทำเองสักหน่อย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันทั้งใกล้และไกลตัวแปลก ๆ เวลาที่เห็นฝูงชนหน้าจอโทรทัศน์ร่วมเชียร์นักกีฬาทีมชาติแข่งกีฬาที่คนดูต่างก็ไม่มีใครเคยเล่น</p> <p>
ที่จริงแล้วสำหรับกีฬาฟุตบอล ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้ชม-ผู้เล่นนี้อาจจะไม่ได้เห็นชัดเจนมากนัก เพราะในปัจจุบันนี้ฟุตบอลเองเหมือนจะเป็นกีฬาสากลที่ได้แทรกซึมสู่ทั้งผู้ชมและผู้เล่นไปแล้วทั่วทุกหย่อมหญ้า</p> <p>
หรือเปล่า?</p> <p>
มหานครเมืองหลวงแห่งนี้มีพื้นที่เปิดอยู่พอควร (ถึงจะยังไม่ค่อยพอก็เถอะ) และหลายส่วนของพื้นที่เหล่านี้ก็ได้ถูกจัดสรรเป็นสนามกีฬา ลองไล่ดูภาพถ่ายดาวเทียมใน Google Maps ก็จะเห็นสนามกีฬาเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งตามสวนสาธารณะ สถานศึกษา หมู่บ้านจัดสรร...</p> <p>
และเห็นว่าเป็นสนามเทนนิส บาสเกตบอล และฟุตซอลเกือบทั้งสิ้น~</p> <p>
นึกดูก็ตลกดี โอเคฟุตบอลสนามเล็กนี่ไม่น่าแปลกใจ แต่ในความรู้สึกแล้วเทนนิสเป็นกีฬาที่คนเข้าถึงกันได้ค่อนข้างน้อย ทำไมจึงดูเหมือนว่าจะได้รับการจัดสรรพื้นที่ให้เยอะเกินสัดส่วน หรืออย่างบาสเกตบอล ถึงจะมีคนเล่นพอควร แต่ก็ไม่มากเท่าสนามที่มี ภาพนักเรียนเตะฟุตบอลกันใต้แป้นบาสก็น่าจะเป็นที่คุ้นเคยกันดี</p> <p>
แต่อืม ลำพังสุ่มดูภาพถ่ายดาวเทียมก็คงบอกอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เพราะกีฬาแต่ละประเภทก็มีความต้องการใช้พื้นที่แตกต่างกันไป (ถ้านับพื้นที่จริง ๆ กอล์ฟนี่คงเปลืองสุดละ) ที่อยู่ในร่มก็อีกเยอะ และจริง ๆ แล้วปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กีฬาฟุตบอลเป็นที่นิยมแพร่หลายก็เพราะความเรียบง่ายของมันที่เล่นได้โดยไม่ต้องมีสนามตีเส้นไว้ด้วยซ้ำ</p> <p>
หากเดินผ่านโรงเรียนมัธยมใด ๆ เวลาพักหรือหลังเลิกเรียน ก็คงจินตนาการได้ไม่ยากว่าฟุตบอลคงจะเป็นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของยุคสมัย แต่จากการเตร็ดเตร่ผ่านพื้นที่เปิดสาธารณะอื่นหลายแห่ง ผมยังพบภาพอื่น ๆ ที่ทีแรกก็ไม่นึกถึงเหมือนกัน</p> <p>
<em>ตะกร้อ</em> ถึงจะเห็นมาแต่ไหนแต่ไร และเคยเรียนตอน ม.ต้น ผมก็แทบไม่เคยรับรู้เลยว่ามันเป็นกีฬาที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน (จะเข้ามาในความคิดก็แต่เวลามีแข่งซีเกมส์หรือเอเชียนเกมส์) แต่เมื่อลองสังเกตชีวิตริมทางใน กทม. จึงได้เห็นว่ามันก็มีคนเล่นอยู่ทั่วไปไม่ต่างจากฟุตบอลเท่าไรเลย (จะต่างกันก็อายุเฉลี่ยคนเล่นนี่แหละ ที่ดูจะมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ)</p> <p>
<em>เปตอง</em> น่าแปลกใจที่ไม่เคยเรียน (หรือเคยแต่ลืมไปแล้วหว่า?) เพราะที่โรงเรียนก็มีสนามอยู่มากมาย และก็เห็นเขาซ้อมกันอยู่ประจำ ที่จริงไม่ใช่แค่ที่โรงเรียน แต่สนามเปตองนี่น่าจะมีอยู่ในสถานที่ราชการแทบทุกแห่งเลยก็ว่าได้ และก็มักจะเห็นคนเล่นอยู่เนือง ๆ ว่าไปก็น่าสงสัยว่าทำไมราชการต้องเปตอง?</p> <p>
ส่วน<em>แบดมินตัน</em>นี่ไม่ได้เห็นบ่อยตามริมทาง (เพราะสนามส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในร่ม) แต่ก็คงไม่พ้นว่าเป็นกีฬายอดนิยมสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง ที่อย่างไรเสียทุกบ้านน่าจะมีหรือเคยมีไม้แบดอยู่อย่างน้อยคู่นึง ที่จะได้หยิบเอามาเล่นกันในซอยหน้าบ้านหรือพื้นที่เปิดใด ๆ ที่สะดวก</p> <p>
คิด ๆ ดูแล้ว กีฬาแต่ละอย่างมันก็คงเป็นที่นิยมของคนต่างกลุ่มกันไป หลายอย่างที่เรารู้สึกว่าไกลตัว นั่นอาจจะเพราะว่าคนที่เล่นกันเขาไม่ได้เป็นส่วนของสังคมที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่หากลองสังเกต ลองสำรวจโลกรอบตัวดู เราก็อาจจะได้เห็น ว่ามันไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่คิดเลย</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglcIjg9PeswJNjBwac7vm_aSPrCfh01eMi5r7rFQKRh2ACsttENlLxQzubO2VNnmp7wxFj0Z3-DnVkbM-O2Mw6TS2BW9h0prhgGxcJM4DZzvA7obPXCsrGtxHqB6MJuGI-Z_WZsA/s1600/parksports.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglcIjg9PeswJNjBwac7vm_aSPrCfh01eMi5r7rFQKRh2ACsttENlLxQzubO2VNnmp7wxFj0Z3-DnVkbM-O2Mw6TS2BW9h0prhgGxcJM4DZzvA7obPXCsrGtxHqB6MJuGI-Z_WZsA/s1600/parksports.jpg" height="200" width="400" /></a></div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-46360730568485165482014-03-22T21:11:00.000+07:002014-03-22T23:20:00.653+07:00Bangkok's taxi problem: Are mobile apps the solution?<p>It is a perennial topic of grievance for the citizens of Bangkok, and the set-up is all-too-familiar. It is the evening rush hour, and you are trying to find your way among the throngs of commuters travelling in this city of 10 million. It might be the lack of public transport leading where you need to go, you might be unfamiliar with the neighbourhood, or just are in a hurry. But you decide to take a taxi. After several brightly coloured cars pass by, all with passengers, you successfully flag down one with red lights behind the windscreen indicating a vacancy. But when the driver hears where you're headed, he simply shakes his head, refusing to go. You sigh in frustration, but know it's useless to argue, and so try to patiently wait for another cab to come by. The same exchange is repeated a few more times. When one driver finally agrees, you end up gratefully thanking him for upholding his end of the bargain, something which should have gone without saying in the first place.</p><p>
Such scenes take place daily throughout the city, probably in the thousands. Everyone seems to have been the victim of such refusals. Online communities are rife with criticism and complaints. Discussions regularly pop up on popular discussion forums. Twitter is abound with one-liners featuring fanciful revenge scenarios against passenger-denying cabbies and their lame excuses. The press has periodically picked up on all this anger. All to no avail.</p><p>
It's not that the authorities are unwilling to accept the problem or that they haven't tried to better enforce the law (denying passengers is illegal, according to the Motor Vehicle Act, B.E. 2522). Rather, there hasn't been much choice in terms of actions that could directly benefit either passenger or driver. Take the Department of Land Transport's hotline, tel. 1584. The complaint-lodging system has existed for years, but with few people bothering to actually report the transgressions they witnessed. Awareness campaigns have done little to promote its use. This is probably because any action taken against the reported drivers remain invisible to passengers, most of whom have little faith in the system to begin with. For them, given the lack of assurance that their feedback produces results, the cost of their phone call is unjustifiable. The system is also prone to abuse. With no evidence required, false complaints can easily be submitted, though moving to better secure the system would further reduce its use.</p><p>
Other initiatives have also arisen in attempts to fill this void. There are mobile apps that streamline the complaint-lodging process and websites that aggregate openly accessible feedback for individual taxis. However, such attempts haven't proven helpful, either. For user feedback to be of any use, it must be able to directly influence the future selection of cabs by other passengers, thereby rewarding good drivers and punishing bad ones. But there is a disconnect between the availability of feedback and the way we actually pick taxis, which is essentially a lotto, depending on who happens to drive by at that moment.</p><p>
This is where mobile taxi-hailing apps come in.</p><p>
The spotlight has been on hired-transport apps this past month. The international expansion of Uber and the regulatory backlash against it, as well as the scuffle between competing taxi apps and authorities in Beijing and Shanghai, show how big a role these apps will have to play in shaking up the workings of this relatively stagnant market. While Uber, a quasi-luxury service that connects passengers and drivers for rides, launched with fanfare in Bangkok earlier this month, two other regular-taxi apps have been operating since late last year, and are growing. Easy Taxi is based in Brazil and operates in 26 countries, while GrabTaxi is local and covers several cities in Southeast Asia. Both of them are currently focused on streamlining the cab-hailing process, providing real-time updates and contact info. But there is still also much potential for expansion in other areas.</p><p>
These apps currently rely on driver and vehicle screening to achieve a certain standard. This effectively creates a small pool of quality taxis to offer passengers, which works, to a degree. As adoption rates grow, such assurance of quality will become increasingly difficult, and it will be essential to employ some form of user-generated feedback. These apps are in the perfect position to bridge the aforementioned gap between feedback and future rides. Whereas passengers have neither choice nor information when flagging down a taxi on the street, hailing through an app can provide them with both, potentially allowing them to avoid poorly rated drivers. Earlier digital taxi-hailing initiatives such as Governor Apirak's "smart taxi stands" failed in part due to both passengers and drivers not honouring calls. Feedback systems, combined with the increased accountability of hailing through apps, could help address this.</p><p>
The greatest potential benefit of mobile-hailing apps, however, lie in how they can improve the efficiency of the market. By providing information and conveniently connecting passengers to taxis, they can help reduce the huge transaction costs normally involved, not least by cutting the time cabdrivers would otherwise spend roaming the streets with empty cars. One can easily imagine these benefits mounting as popularity of these apps increase and their underlying systems become more sophisticated. Providing passengers with the nearest cab is a start. Implementing a feedback system is but a step further. A well designed system might soon be able to match passengers and drivers in a way that maximises all parties' interests, e.g. identifying the driver most willing to go to a passenger's destination. This may even eliminate the root causes that created the problem in the first place.</p><p>
There are many more ways mobile taxi-hailing apps could transform the market. However, not everybody today owns a smartphone. Considerations still need to be given to fairly balancing the provision of services among app-users and those who would rather opt to flag down a cab the traditional way. As seen from the cases in China and elsewhere, drastic changes to the system are likely to be at odds with regulations designed for an earlier era. Eventually, formal changes will be needed. But there is still much room for growth today.</p><p>
And I am hopeful.</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-32063596050935297082013-11-26T17:39:00.000+07:002013-11-26T17:39:42.244+07:00Конфликт<p>รื้อ ๆ บล็อก บังเอิญขุดเจอเอ็นทรีนี้ที่เก็บเป็น draft ไว้ตั้งแต่ 07/10/2008 จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่เผยแพร่ (อาจจะดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เท่าไรมั้ง) แต่ชอบภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ ยังไงก็ขอโพสต์ย้อนหลังแล้วกัน (หมายเหตุ: เปลี่ยนลิงก์เนื่องจากอันเก่าผู้อัปโหลดตั้งเป็น unlisted ไป)</p>
<hr>
<p>
พยายามแต่งนิทานเรื่องการสลายการชุมนุมในประเทศในจินตนาการแห่งหนึ่ง ซึ่งมิได้มีพื้นฐานบนเรื่องจริงใด ๆ ทั้งสิ้น... แต่เอาเข้าแล้วเรื่องวกไปวนมาไม่ได้ประเด็นสักที เลยขออนุญาตโพสท์วิดีโอนี้ (ซึ่งเคยเห็นลิงก์จากบล็อกหวาย) แทน</p>
<h4>Конфликт</h4>
<div>
<iframe width="420" height="315" src="//www.youtube-nocookie.com/embed/_sxandBFAkY?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-49478984282166233492013-11-05T06:00:00.001+07:002013-11-06T16:02:19.408+07:00ขีดเขียนยามดึก (ว่าด้วยกระแสร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ)<p>นอนไม่หลับ...</p><p>
เปิดแหล่งข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็มีแต่เรื่องร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็แล้วขอพ่นทิ้งหน่อยละกัน</p><p>
เมื่อเย็นนี้เห็นทวีตที่ติดใจอยู่หลัก ๆ สองอัน</p><p>
หนึ่งคือ</p>
<div>
<blockquote class="twitter-tweet">
คือเราต้องเลิกมองว่าการเมืองเป็นเรื่อง 0 กับ 1 คนที่ติดตามข่าวทุกวันก็ต้องเลิกผูกขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยไปแซะเขาว่า ตามกระแสๆๆ<br />
— ใครไม่ทาน, ประธาน (@scomma) <a href="https://twitter.com/scomma/statuses/397390139556495360">November 4, 2013</a></blockquote>
<script async="" charset="utf-8" src="//platform.twitter.com/widgets.js"></script></div>
<p>สองคือ</p>
<div>
<blockquote class="twitter-tweet">
หึ... <a href="http://t.co/nfAUF1q5q4">pic.twitter.com/nfAUF1q5q4</a><br />
— TONWAHN (@TONWAHNzZ) <a href="https://twitter.com/TONWAHNzZ/statuses/397366335513980929">November 4, 2013</a></blockquote>
<script async="" charset="utf-8" src="//platform.twitter.com/widgets.js"></script></div>
<p>นั่นล่ะครับ ที่ว่าเซ็งกระแสป้ายดำในเฟซบุ๊ก จะว่าเพราะแอบขัดใจที่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ทั้งหลายก็เกิดตื่นตัวทางการเมืองกันขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็ส่วนหนึ่ง เพราะรำคาญที่รูปมันดูเหมือนกันไปหมดก็ส่วนหนึ่ง แต่หลัก ๆ แล้วคือ</p>
<div>
<blockquote class="twitter-tweet">
ไม่ได้รังเกียจการแสดงความเห็นทางการเมือง แต่ผมก็แค่อยากเห็น Facebook เป็นที่โพสท์รูปไปเที่ยว นินทาเพื่อน แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเท่านั้นเอง <a href="https://twitter.com/search?q=%23fb&src=hash">#fb</a><br />
— Paul_012 (@Paul_012) <a href="https://twitter.com/Paul_012/statuses/130880286115364864">October 31, 2011</a></blockquote>
<script async="" charset="utf-8" src="//platform.twitter.com/widgets.js"></script></div>
<p>ครับ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่มีความเห็น และการโพสต์ลงบล็อกนี่ก็ไม่ขัดกับแนวทางการใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวแต่อย่างใด</p>
<h4>ว่าด้วยนิรโทษกรรม</h4>
<p>สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ารู้จักคำ นิรโทษกรรม ในแง่ลบ ในนัยที่ว่าเป็นการล้างความผิด ล้มกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารังเกียจ และไม่เข้าใจว่าสังคมจะมีกระบวนการเช่นนี้ไปทำไม</p><p>
ต่อมาเมื่อได้ยินชื่อ Amnesty International แปลเป็นภาษาไทยว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล จึงแปลกใจและสงสัย ว่าทำไม NGO ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งน่าจะไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้คนที่เข่นฆ่าประชาชน ถึงตั้งชื่อเช่นนั้น<a href="#amnesty-note-1">¹</a></p><p>
เมื่อโตขึ้นอีกถึงเข้าใจว่าความยุติธรรมเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ถูก-ผิดมักขึ้นกับมุมมอง และกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกที่ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมือง คำ amnesty ในชื่อของ AI นั้นมุ่งหมายถึงการยกเลิกความผิดให้นักโทษทางการเมือง ไม่ใช่ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจทางการเมือง แต่สองอย่างนี้ก็ไม่ได้แยกจากกันง่ายเสมอไป</p><p>
ดูง่าย ๆ จากเหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยใกล้ตัวไปก็ดูอียิปต์ ถามว่า Mohamed Morsi ที่เพิ่งขึ้นศาลไปเมื่อวานเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน หรือเป็นนักโทษทางการเมืองที่เป็นเหยื่อของรัฐประหาร คำตอบที่ได้คงแตกต่างกันไปแล้วแต่จะถามใคร</p><p>
ในสังคมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่น้อยที่สุดที่มีอยู่ เรายอมรับว่าการเมืองไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จึงต้องอาศัยทำให้คนส่วนมากพอใจโดยไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของส่วนน้อย แต่เรากลับไม่ค่อยมองเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมก็เป็นดอกผลของกระบวนการทางการเมืองเดียวกันนี้ ซึ่งย่อมโอนอ่อนเอนเอียงไปได้ตามกาลเวลา</p><p>
เราจึงมักไม่เข้าใจแก่นของนิรโทษกรรม ว่าควรมีไว้แก้ไขข้อผิดพลาด สมานช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างเสรีภาพทางการเมืองกับความเอนเอียงของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพียงสิ่งชั่วร้ายที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือตนเอง</p>
<h4>ว่าด้วยกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ</h4>
<p>ขอยอมรับว่าหกปีกว่าหลังจากเขียน<a href="/2007/08/my-long-belated-take-on-politics.html">เอ็นทรีนี้</a> ผมก็ยังไม่หายรู้สึกระอิดระอากับการเมือง และยังคงไม่รู้สึกอยากมีส่วนร่วมใด ๆ กับมัน (มากไปกว่านั่งบ่นอยู่ตรงนี้) กระนั้นผมก็คิดว่าการไม่เลือกลงไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายใด ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เห็นแนวคิดและการกระทำของแต่ละฝ่ายผ่านเลนส์ที่ไม่ถูกเจือสีได้ดี</p><p>
หลาย ๆ ท่าน (รวมถึงตัวผมเอง) ได้กล่าว (เชิงกึ่งขบขัน) ไปแล้ว ว่าร่าง พรบ.ฉบับนี้ ดูจะสร้างความสมานฉันท์ระหว่างแต่ละขั้วการเมืองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการร่วมกันออกมาต่อต้าน แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายต่อต้านนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนโกงชาติ ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนสั่งฆ่าประชาชน</p><p>
ผมเองไม่เห็นด้วยกับคำดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย</p><p>
ผมไม่ได้บอกว่าทักษิณไม่ได้โกงชาติ แม้ผมจะไม่เชื่อว่าการตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวจะเป็นอิสระจากการเมือง ผมก็ไม่กังขาสักนิดครับว่าเขาโกง ไม่ต่างจากที่ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็โกงชาติอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะโดยการยื่นภาษีไม่ตรงประเภทตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากร การใช้เส้นสายเวลาติดต่อราชการ หรือกระทั่งการข้ามถนนนอกเขตทางข้าม</p><p>
ทักษิณโกงแน่ครับ แต่การโกงนั้นไม่ใช่เหตุให้ยอมรับรัฐประหาร และศาลยุคตุลาการภิวัตน์ที่ตัดสินมากี่คดีก็มีแต่ทักษิณกับพวกที่ผิด (ไม่ว่าจะคดีอาญาหรือคดีการเมือง) ย่อมสมควรถูกกังขาในความเป็นกลาง กระนั้นการบอกยกเลิกความผิดนี้โดยปริยายก็ไม่สมควรเช่นกัน ผมไม่ได้ติดตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ฟังดูเผิน ๆ แนวคิดเรื่องการยกเลิกคำตัดสินที่ถูกกังขาเพื่อกลับมาเข้ากระบวนการใหม่ที่เที่ยงตรง ก็เหมือนจะเข้าท่าดี หากแต่ก็ไม่เห็นว่าจะทำจริงได้อย่างไร</p><p>
ผมเองไม่ได้ชอบทักษิณ แต่ผมก็เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ผมไม่เชื่อว่าหากศาลเดียวกันนั้นตัดสินให้ทักษิณพ้นผิด หรือให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมีความผิด บรรดาคนที่เรียกร้องให้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมอยู่นี้ จะยังกล่าวกันเช่นเดิม</p><p>
สำหรับฝ่ายคนที่ไม่ยอมให้อภัยฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน ขอเถอะครับ กับไอ้คำ ฆาตกร เนี่ย จะเวอร์กันไปถึงไหน</p><p>
ถามว่า พ.ค.'53 มีผู้บริสุทธิ์ตายด้วยน้ำมือทหารไหม ผมไม่กังขาครับว่ามี หากเช่นนั้นแล้วทหารปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดไหม ไม่ต้องสงสัยครับว่าผิด ถามว่าผู้นำที่ตัดสินใจให้ใช้กำลังทางทหารควรจะรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม ผมบอกเลยว่าควร แต่ถามว่านั่นแปลว่าเขาเป็นฆาตกร ที่สั่งฆ่าประชาชนด้วยเจตนาอันโหดเหี้ยมเพื่อหมายจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ช่างคิดไปได้นะครับ...</p><p>
อภิสิทธิ์ (กับสุเทพ) ทำผิดแน่ครับ แต่ผิดที่ไว้ใจผิดว่าทหารจะไม่ทำอันตรายผู้บริสุทธิ์ (โดยไม่ได้ตระหนักว่าหน้าที่ของทหารคือรบกับศัตรู ไม่ใช่สลายการชุมนุม) ไม่ใช่สั่งฆ่าประชาชน ถามว่าเขาควรต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เห็นว่าแก่นของกรณีนี้จะแตกต่างจากการสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวเมื่อ ต.ค.'51 เท่าใดนัก เหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคือความไม่สามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เจตนาฆ่า การเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียเป็นสิ่งที่สมควร แต่ตราบใดที่ยังตะโกนแต่คำว่าฆาตกรกันอยู่นั้น ผมก็เห็นแต่คนที่เอาศพของผู้เสียชีวิตมากองเป็นเวทีให้ตนเองเหยียบยืนเท่านั้นเอง</p>
<h4>แล้วตกลงคิดอย่างไรกับกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ โดยรวม?</h4>
<p>อันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับหลักการลบล้างความผิดทั้งหมดทั้งมวล ก็คงไม่ถึงขนาดที่เห็นว่าต้องแสดงออกผ่านการเอาป้ายดำเป็นรูปโปรไฟล์เต็มไปหมดแบบนี้</p><p>
ส่วนหนึ่งคงเพราะว่าที่ผ่านมาผมเสื่อมศรัทธากับกระบวนการยุติธรรมไปมากแล้ว และไม่อยากหวังลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไปว่าจะมีโอกาสเห็นการดำเนินคดีที่เป็นกลางได้จริง (ดูตัวอย่างจากการทำคดีของ DSI ที่เปลี่ยนทิศทางไปมาตามสายลมการเมืองที่พัดผ่าน) ลึก ๆ แล้วก็เลยยังแอบคิดอยู่ว่าหากร่าง พรบ.นี้ผ่านได้ อย่างน้อยก็จะได้เลิกกันเสียทีกับกระบวนการยุติธรรมปาหี่นี่ นัยว่าถ้าจะมีแต่กระบวนการยุติธรรมที่ลำเอียงเช่นนี้แล้ว ออกกฎยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเลยเสียอาจจะดีกว่า</p><p>
และอย่างไรเสีย แค่นี้ร่าง พรบ.ฯ ก็ได้ช่วยให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้มีโอกาสทบทวนแนวคิดกันยกใหญ่แล้ว หากทักษิณกลับมา เราอาจจะได้เห็นการแตกหักกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างจริงจังเสียที<a href="#amnesty-note-2">²</a></p><p>
ซึ่งผมยังคงรออยู่ เผื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดมีกลุ่มการเมืองเสรีนิยมที่ผมจะสามารถสนับสนุนได้โดยบริสุทธิ์ใจบ้างสักวัน</p>
<hr>
<div class="footnote">
<ol>
<li><a name="amnesty-note-1"></a>อีกชื่อที่สงสัยมาแต่เด็กคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ทำไมหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนจะตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย ๆ กันไม่ได้หรือไง</li>
<li><a name="amnesty-note-2"></a>ดู <a href="/2011/06/leftists-and-red-shirts-this.html">Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.</a></li>
</ol>
</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-30456855416713194992013-06-30T06:00:00.000+07:002013-07-11T18:42:24.569+07:00หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?<p>
ช่วงที่ผ่านมาเรื่องทรงผมกับเครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนจะเกิดเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบนะครับ ตั้งแต่เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงนโยบายเรื่องทรงผมของนักเรียนมา ซึ่งก็มีเหตุให้เกิดความลักลั่นในการนำไปปฏิบัติกันอยู่ให้เห็น ตลอดจนการนำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนมาประกอบโครงเรื่องในละครโทรทัศน์<a href="#uniform-note-1">¹</a> ในเวลาใกล้เคียงกับที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนทั้งต่างประเทศ<a href="#uniform-note-2">²</a> และในประเทศ<a href="#uniform-note-3">³</a>
</p> <p>
ผมเองได้เห็นการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์หลายรอบ แต่ละรอบก็เห็นประเด็นเดิม ๆ มิได้แตกต่างกันเท่าไร จนระอาที่จะร่วมคิดหรือติดตาม เพราะมองว่ายังไงก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลง (อีกอย่างตัวเองก็เลยวัยที่จะเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว และวงการศึกษาไทยก็มีปัญหาที่สำคัญกว่านี้อีกมาก) จึงแปลกใจพอควรครับ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ออกมากำหนดแนวนโยบายเรื่องทรงผมที่ชัดเจนแบบนี้<a href="#uniform-note-4">⁴</a>
</p> <p>
แต่ขอกล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบก่อนดีกว่าครับ
</p>
<div style="width:40%;float:right;clear:right;margin:0em 0em 0em 1em;padding:0em 1em;background-color:#eee;font-size:85%;">
<div style="width:100%;overflow:hidden;margin-top:1em;">
<div style="width:100%;height=0;margin-top:-38.5%;padding-bottom:75%;background-size:100%;background-repeat:no-repeat;background-image:url('https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEeJTOdhVNVIrw_fA9Iyo7aJ-GwPHEWoPZxDHczOzh7XLbx4PEjHW5OHf2rmk2cZYraDXIcptbW2qOxWtNlFAKGHbhY1gJhaPZdjyMvmrXTXaVMfeDgmRJO-CNPrqfz17Bl-rE4A/s320/17-11-015.jpg');"></div>
</div>
<p>
ให้เวลา 30 วินาที ลองนึกชื่อภาพยนตร์ที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีกากีสักเรื่องนะครับ
</p> <p>
นึกออกไหมครับ ผมนึกออกหนึ่งเรื่องคือ <span style="font-style:italic">ปัญญา เรณู</span>
</p> <p>
อาจจะมีเรื่องอื่นอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชนชั้นกลางในเมืองใหญ่เช่นกัน
</p> <p>
ที่ในเนื้อความเขียนว่าเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่นั้นไม่จริงหรอกครับ อย่างเครื่องแบบนักเรียนชายนี่ยังมีสีกางเกงที่ถูกใช้เป็น stereotype บ่งระดับชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ส่วนของนักเรียนหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแบบเสื้อ แบบกระโปรง แล้วยังอุปกรณ์ประกอบอีกเต็มไปหมด
</p> <p>
หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับค่านิยมของสังคมที่สะท้อนออกมาในภาพยนตร์ ซึ่งมองว่าชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินคือโรงเรียนเอกชน สีกากีคือโรงเรียนวัด/โรงเรียนรัฐบาล (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ส่วนสีดำก็มีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมือง นอกจากนี้ยังมีสีหายาก ลายสก็อตต่าง ๆ ตามแต่โรงเรียนจะรังสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างเป็น "เอกลักษณ์" ขึ้นมา (ส่วนสีกรมท่าคนไม่ค่อยรู้จัก ที่จริงสังเกตได้ว่าสัมพันธ์กับโรงเรียนในวัง ทั้งจิตรลดา วชิราวุธ ราชวินิต ฯลฯ แอบสงสัยว่าสาธิตเกษตรจะตั้งใจเลือกมาด้วยเหตุนี้ (ไม่ก็ให้เข้ากับสีม่วง))
</p> <p>
แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่มี stereotype ที่ได้จากรูปแบบหรือสีของชุดนักเรียน ค่านิยมของสถานศึกษาแต่ละที่ก็สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจอยู่แล้ว
</p> <p>
ลองนึกถึงภาพยนตร์อีกรอบครับ คราวนี้เอาที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน มีสักเรื่องไหมที่ตัวละครจะใส่กางเกงยาวเกินสองคืบ
</p> <p>
อันนี้อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง (แล้วแต่คืบใคร) แต่ลักษณะการแต่งกายดังกล่าวก็สะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของนักเรียนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะเหล่าโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดมาได้ยังไง แต่ก็รู้สึกทึ่งกับการยึดมั่นในค่านิยมดังกล่าวของบรรดานักเรียนเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กอัสสัมชัญ ซึ่งเพื่อนที่เป็นศิษย์เก่าเคยบรรยายว่ากางเกงนักเรียนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน
</p> <p>
ส่วนชุดนักเรียนหญิงก็มีปรากฏการณ์แบบเดียวกัน ดูอย่างสาธิตเกษตรที่นอกจากกระโปรงจะเป็นสีม่วงเด่นขนาดนั้นแล้วยังนิยมใส่กันยาวแทบกรอมข้อเท้าแบบที่ว่าอยากนั่งขัดสมาธิตรงไหนก็ลงไปนั่งได้เลย
</p> <p>
ค่านิยมเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นครับว่าถึงจะมีการกำหนดเครื่องแบบจากเบื้องบนลงมา (หรือต่อให้ไม่มีก็ตาม?) อย่างไรเสียก็จะยังมี "เครื่องแบบ" แห่งค่านิยมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเติบโตแพร่กระจายได้เองในสังคมดำเนินควบคู่ไปด้วยอยู่นั่นเอง</p>
</div>
<p>
ผมขอไม่ทบทวนข้อถกเถียงทั้งหมดในเรื่องที่ว่าเราควรมีเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาต่อไปหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามดู ก็ไม่เคยเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายไหนจะมีความถูกต้องสัมบูรณ์เหนือกว่า ผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่ว่าสังคมไทยนั้นนิยมเครื่องแบบ (มาก) เพราะมันตอบสนองความคาดหวังของสังคมทั้งในแง่ที่เป็นสังคมอำนาจนิยมมาแต่เดิม และที่เครื่องแบบนั้นเป็นเครื่องแสดงระดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจน แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์ในเชิงปทัฏฐาน (normative) แต่อย่างใด หากมองในแง่เสรีภาพ ที่สุดขั้วของการมีเสรีภาพในการเลือกแต่งกายเต็มที่ คือจะให้นุ่งผ้าเตี่ยวหรือแก้ผ้าไปเรียนได้นั้น ก็คงไม่เป็นที่ยอมรับตามค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม สุดท้ายมันก็นำไปสู่คำถามพื้นฐานว่าสังคมจะต้องการให้ขีดเส้นตรงไหน ซึ่งเว้นเสียแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม ก็คงลงเอยที่การรักษาสถานะเดิม (status quo) อยู่ดี
</p> <p>
ผมเองยอมรับครับว่าในฐานะนักเรียน ก็คงเลือกที่จะรักษาสถานะเดิมนั้น ไม่ใช่เพราะชื่นชมกับเครื่องแบบอะไรนักหนา แต่เพราะเท่าที่อยู่ในสังคมมา ก็เห็นสังคมที่มีเครื่องแบบอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับมัน ในทางกลับกัน คนที่เห็นสังคมที่ไม่มีเครื่องแบบมาก่อนก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยความคุ้นเคยว่าสังคมแบบนั้นมันไม่ได้มีปัญหาสำหรับเขา การเถียงกันบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวว่าอย่างไหนตรงกับธรรมชาติพื้นฐานของสังคมมนุษย์มากกว่ากันนั้นคงไม่เกิดประโยชน์
</p> <p>
ในขณะเดียวกัน ความคุ้นเคยนั้นเองก็อาจจะทำให้หลายคนสร้างความคิดเชื่อมโยงเครื่องแบบกับประสบการณ์ในวัยเรียนที่ตนประทับใจได้โดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ GTH (หรือค่ายไหน ๆ ก็ตามแต่) ใช้เครื่องแบบเป็นจุดขายภาพยนตร์ (รวมถึงละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงข้างต้น) ได้อยู่เรื่อย ๆ และก็อาจส่งผลป้อนกลับ (feedback) ให้มีความพยายามรักษาสถานะเดิมนั้นมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้
</p> <p>
ที่จริงการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียนนี่คิดดูก็มีส่วนแปลกนะครับ เรามักจะเห็นว่าเครื่องแบบอื่น ๆ มักเป็นเครื่องสะท้อนอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป ต้องมีสิทธิพิเศษถึงจะได้ใส่ จะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เครื่องแบบนักเรียนนี้ทุกคนต้องใส่หมด (ขอไม่พูดถึงการศึกษานอกระบบซึ่งเป็นส่วนน้อย) มันก็เลยมีส่วนเป็นเครื่องบังคับความเท่าเทียมในสังคมอย่างหนึ่ง (วาทกรรมที่ว่านักเรียนควรภูมิใจที่ได้แต่งเครื่องแบบจึงดูแปร่งๆ เพราะเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกชนชั้นผ่านการสะท้อนชื่อเสียงเรียงนามของโรงเรียนที่คนคนนั้นได้เรียนอยู่ดี ในประเด็นความเท่าเทียมจึงตีความได้ยากว่าควรมองเครื่องแบบนักเรียนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่
</p> <p>
แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือความแตกต่างระหว่างประเด็นเครื่องแบบนักเรียนกับประเด็นทรงผม ทั้ง ๆ ที่ก็กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันในระดับหนึ่ง (ทรงผมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ) แต่กลับเชื่อได้ (ทึกทักเอาเอง) ว่านักเรียนที่สนับสนุนหรือเฉย ๆ กับเครื่องแบบจำนวนมาก คงไม่สนับสนุนการตัดผมเกรียน/ติ่งหูด้วยเป็นแน่
</p> <p>
เพราะการบังคับทรงผมมันรุกล้ำต่อร่างกาย ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนกว่าเครื่องแต่งกายมากหรือเปล่า นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ผมนึกออก เพราะชุดนักเรียน พอเลิกเรียน วันหยุด ก็ถอดชุดเปลี่ยนได้ แต่ผมเกรียน/ติ่งหู ไม่ใช่อย่างนั้น
</p> <p>
อันที่จริงผมก็คงวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่ประถมถึง ม.ต้นก็เรียนโรงเรียนสาธิต ไม่เคยถูกบังคับเรื่องทรงผมแบบนี้ จะมามีช่วงที่ต้องรันทดกับหัวเกรียนก็ตอน ม.ปลาย ที่ฝึก นศท.นั่นแหละ (แต่นั่นก็เถียงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อว่าสมัครใจ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดว่าคนที่ถูกบังคับตัดทรงนักเรียนตั้งแต่ ป.1 จะเกิดความผูกพัน ภาคภูมิใจกับสภาพหัวเกรียนได้แบบเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน (ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเห็นนักแสดงหนัง GTH ในสภาพหัวเกรียนด้วยแล้วหรอกมั้ง)
</p> <p>
นั่นยิ่งทำให้ผมฉงนกับเหล่าบรรดาผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ออกมาดราม่าต่อต้านการยกเลิกผมทรงนักเรียนกันอย่างรุนแรง ว่าเออ มันมีคนที่รักและผูกพันกับทรงหัวเกรียน/ติ่งหูกันขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย จะว่าเขาเห็นมันมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์แบบการไว้ผมจุกที่จะต้องรอจนก้าวพ้นวัยเด็กในพิธีโกนจุก ในสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าใช่ ยิ่งในฐานะนักเรียนเก่าสาธิต ที่ไว้ผมรองทรงได้มาตั้งแต่ ป.1 เลยยิ่งงงกับตรรกวิบัติของพวกเขาที่ว่า ตัดผมแค่นี้ทำกันไม่ได้ โตไปจะมีระเบียบวินัยอยู่ในสังคมได้ยังไง ยิ่งขึ้นไปอีก
</p>
<div style="width:40%;float:right;clear:right;margin:0em 0em 0em 1em;padding:0em 1em;background-color:#eee;font-size:85%;"><p>
พูดถึงความยาวของกางเกง ในคู่มือนักเรียนที่เตรียมฯ กำหนดเรื่องกางเกงไว้ละเอียดมากว่า "ใช้ผ้าเทโรหรือผ้าเสิร์จสีดำ (ห้ามใช้ผ้าเวสปอยส์) มีจีบข้างหน้าด้านละ ๒ จีบ ผ่าตรงส่วนหน้าติดซิป (ห้ามใช้กระดุม) มีกระเป๋าด้านข้าง ๒ ข้าง ปากกระเป๋าตัดตรง ไม่มีกระเป๋าหลัง มีหูไว้ร้อยเข็มขัดกางเกง เมื่อใส่แล้วต้องมีความยาวเหนือลูกสะบ้าเข่าไม่เกิน ๕ ซม. และความกว้างของปลายขากางเกง เมื่อดึงออกมาจากขาต้องห่างไม่น้อยกว่า ๗ ซม. แต่ไม่เกิน ๑๒ ซม."
</p> <p>
เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ตรวจเครื่องแบบแล้วเอาไม้บรรทัดมาวัดความกว้างของขากางเกงนะครับ
</p> <p>
แต่มารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วยังมี<a href="http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2492/A/065/861.PDF" target="_blank">ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๒</a> ซึ่งระบุไว้ว่า "กางเกง แบบไทย ขาสั้นเพียงเหนือเข่า พ้นกลางลูกสะบ้า ประมาณ ๕ ซม. เมื่อยืนตรง..." ถ้านับตามศักดิ์ของกฎหมายแล้ว (และถ้าระเบียบกระทรวงดังกล่าวยังไม่ถูกยกเลิก) ก็ต้องยึดตามเนื้อความในระเบียบกระทรวงฯ ถึงจะถูก
</p> <p class="emphasis">
ซึ่งแปลว่าที่เราใส่กางเกงชายขาเสมอเข่านั้นผิดกฎหมายนะ ต้องสั้นขึ้นอีก 5 ซม.ถึงจะถูก~
</p> <p>
นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของการมีเครื่องแบบแหละครับ อะไรที่ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรตายตัว พอสังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ก็ยากที่จะเปลี่ยนตามได้ทัน เครื่องแบบต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นจึงเป็นเครื่องสะท้อนแฟชั่นย้อนยุคได้เป็นอย่างดี</p>
</div>
<p>
เรื่องนี้ก็เป็นการถกเถียงบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวแบบเดียวกับกรณีเครื่องแบบ แต่ผมเชื่อ (ทึกทักเอาเองอีกแล้ว) ว่าขณะที่อาจจะเห็นนักเรียนปัจจุบันสนับสนุนเครื่องแบบได้ไม่ยาก ในบรรดาคนที่สนับสนุนทรงหัวเกรียน/ติ่งหูอยู่นี้ ส่วนมากคงจะเป็นบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ตนเคยผ่านมาเป็นสิ่งที่จะต้องบังคับให้ชนรุ่นหลังผ่านตามไปเช่นกัน มากกว่า
</p> <p>
ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการเชื่อเช่นนั้นจะผิดเสมอไป คนที่ตอนเด็กถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก พอโตขึ้นและตระหนักได้ถึงความสำคัญของอาหารทั้งห้าหมู่ ก็คงจะบังคับให้ลูกของตนกินผักเช่นเดียวกัน แต่ถ้าครูจะใช้ไม้เรียววางอำนาจว่าตนอยู่เหนือนักเรียน เพียงเพราะจำได้ว่าสมัยตนเป็นนักเรียนเคยถูกกดขี่มาอย่างนั้น โดยไม่ได้ใส่ใจในเหตุผล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีการศึกษาพึงกระทำ
</p> <p>
จึงต้องพิจารณาว่าที่มาที่ไปของผมทรงนักเรียนที่มีมานานนั้นคืออะไร และยังสมเหตุสมผลอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า ไม่แน่ หากพบว่าการให้ตัดผมเกรียนครั้งแรกนั้นเกิดจากเหาระบาดครั้งใหญ่จะเงิบได้ตาม ๆ กันไป ส่วนใครที่จะอ้างว่าเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสำคัญของโรงเรียนที่มีมาช้านาน ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ที่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ (ส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจว่าทำไม) ก็คงต้องบอกว่าอยากบังคับก็บังคับไป เพราะยังไงนักเรียน (โดยผู้ปกครอง) ก็ต้องสมัครใจไปเข้า แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ เทียบเหตุผลดูแล้วก็คงไม่ควร
</p> <p>
แต่อย่างไรเสีย จะเลิกผมทรงนักเรียน ก็ไม่ได้แปลว่าเลิกบังคับทรงผม ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับการกำหนดให้ตัดรองทรง (สูง?) ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มี แต่สังคมจะต้องการให้ผู้ชายไว้ผมยาวหรือทำผมโมฮอว์กไปโรงเรียนได้หรือเปล่านั้น ก็คงเป็นประเด็นที่จะโผล่ขึ้นมาให้ถกเถียงกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน ที่ตราบใดที่สังคมยังมองว่าไม่ได้เดือดร้อน ทุกอย่างก็ย่อมจะคงอยู่ตามสถานะเดิมต่อไป
</p>
<hr />
<div class="footnote">
<ol>
<li><a name="uniform-note-1"></a>ดู <a href="http://www.youtube.com/watch?v=AwkkKtchWKg" target="_blank">HORMONES วัยว้าวุ่น EP.1 เทสโทสเทอโรน (Testosterone) 25 พ.ค.56</a></li>
<li><a name="uniform-note-2"></a>ดู <a href="http://www.nytimes.com/2013/05/29/world/asia/thai-students-find-government-ally-in-push-to-relax-school-regimentation.html" target="_blank">Thai Students Find Government Ally in Push to Relax School Regimentation</a> จาก <span style="font-style:italic;">The New York Times</span></li>
<li><a name="uniform-note-3"></a>ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบนักเรียนโดยตรง แต่ highly recommended: <a href="http://www.youtube.com/watch?v=kLpJIW15B_k" target="_blank">วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ - 26 มิ.ย.56 (HD)</a></li>
<li><a name="uniform-note-4"></a>ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะเป็นผลงานที่น่าจดจำที่สุดของคุณพงศ์เทพในฐานะ รมว.ศธ.หรือเปล่า (ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงยังน่าจดจำกว่า รมว.ศธ.อีกหลายท่าน) ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปว่าการใช้คอมพิวเตอร์กระดานชนวนสุดท้ายแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร</li>
</ol>
<ul>
<li>Image credit: <a href="http://www.jaturamitr.com/media/images/24th/17-11-015.jpg" target="_blank">17-11-015.jpg</a> from <a href="http://www.jaturamitr.com" target="_blank">Jaturamitr.com</a>, <a href="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/3.0/" target="_blank">CC-By-NC-ND 3.0</a></li>
</ul>
</div>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-10661575.post-38469391369730381972013-06-13T00:32:00.000+07:002013-06-13T00:46:45.426+07:00อะไรคือวิทยาศาสตร์<p>
อยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมุติสักเล็กน้อยนะครับ<a href="#science-note1">*</a></p> <p>
สมมุติในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มอาหารเสริม ความว่า</p> <div style="background: #193366; border-radius: 2px; border: solid 1px #8E8BA7; box-shadow: 1px 2px 8px #221F40; color: #cccccc; font-family: Arial, Helvetica, Sans-serif, Geneva, Tahoma; line-height: 1.563em; margin: auto; margin: auto; max-width: 1044px; padding: 27px 45px; word-wrap: break-word;">
เราเห็นหลาย ๆ คนชอบแอนตี้คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมเอาไว้ชงดื่ม บอกกันว่ามันไม่มีประโยชน์ กินไปก็เปลืองเงินฟรีเปล่า ๆ แต่ทำไมเท่าที่ตัวเราเองเคยลองทานดูก็รู้สึกว่าได้ผลนะคะ สังเกตว่าช่วงที่ทานแล้วผิวดีขึ้นจริง ๆ บางทีคนใกล้ตัวยังทักเลย มันเป็นไปได้รึเปล่าคะว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ได้ผลเฉพาะบางคน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องต่อต้านกันไปเสียหมดนะคะ เพราะสำหรับคนที่เค้าได้ผล มันก็น่าจะมีประโยชน์จริง ๆ</div> <p>
เมื่อมีกระทู้แนวนี้ออกมา ก็เดาได้ว่าจะต้องมีคนมาตอบแบบตามคิวเป๊ะ ว่า</p> <div style="background: #222244; border-radius: 2px; border: solid 1px #8e8ba7; box-shadow: 1px 2px 8px #221F40; color: #cccccc; font-family: Arial, Helvetica, Sans-serif, Geneva, Tahoma; line-height: 1.563em; margin: auto; margin: auto; max-width: 1044px; padding: 27px 45px; word-wrap: break-word;">
เรื่องแบบนี้ลองใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมคิดดูเอาเองก็ได้นะครับ คอลลาเจนมันเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน เวลากินอาหารเข้าไป โปรตีนจะถูกย่อยเป็นเปปไทด์สายสั้น ๆ ในกระเพาะ แล้วก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนในลำไส้เล็กก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะฉะนั้นคอลลาเจนที่กินเข้าไปมันก็ถูกย่อยหมด แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกับร่างกายได้ยังไงครับ มันก็เหมือนกินโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ ตามธรรมชาติ เพราะยังไงมันก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนเหมือนกันอยู่ดี ที่ว่ากินแล้วผิวดีขึ้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ น่าจะคิดไปเองมากกว่า</div> <p>
...ครับ...</p> <p class="shout" style="text-align:center;">
xxแอดxx WRONG ANSWER!!</p> <p>
...</p> <p>
ในเหตุการณ์สมมุติข้างต้นนี้ จะเห็นได้นะครับว่ามีฝ่ายหนึ่งแสดงความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน</p> <p>
นั่นก็คือผู้ตั้งกระทู้</p> <p>
เพราะผู้ตั้งกระทู้ได้แสดงให้เห็นว่ารู้จักตั้งคำถาม รู้จักสังเกตจากประสบการณ์ตรงของตน รับฟังข้อมูล และพยายามหาคำตอบเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่รู้</p> <p>
ขณะที่ผู้ตอบกระทู้อาศัยความเชื่อมั่นในความรู้วิทยาศาสตร์ของตนที่มีอยู่ นำมาหักล้างข้อสังเกตของอีกฝ่าย และฟันธงปฏิเสธในทันทีว่าสิ่งที่ขัดกับความรู้ของตนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้</p> <p>
ความเชื่อแบบตายตัวเช่นนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ</p> <p>
การที่ผู้ตอบกระทู้แสดงความยึดมั่นว่าสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้เสนอ ซึ่งไม่ตรงกับความรู้ของตนเอง ต้องเป็นเท็จ ก็ไม่ต่างจากการที่กาลิเลโอต้องถูกไต่สวนโดยศาสนจักรเพราะสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์</p> <p>
ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ</p> <p>
หากแต่วิทยาศาสตร์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตและการทดลอง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าใจ</p> <p>
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาจากการยืนยันสมมุติฐาน ว่าสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สังเกตได้ หากพบหลักฐานใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับความรู้ดังกล่าว นั่นแปลว่าความรู้เราอาจยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายหลักฐานใหม่นั้น ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมและพัฒนาความรู้กันต่อไป ไม่ใช่ปฏิเสธว่าว่าหลักฐานใหม่นั้นผิดเสียตั้งแต่ต้น</p> <p>
ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะยังเชื่อกันอยู่ครับ ว่าหนอนแมลงวันเกิดมาจากเนื้อเน่า</p> <p>
อะไรที่เรายังไม่รู้ จะมีโอกาสรู้ได้ก็ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามอย่างของผู้ตั้งกระทู้ที่ยกตัวอย่างครับ ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์จะยังจำกัดอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ควรจะสอน ไม่ใช่สั่งให้ปิดปากบอกให้เงียบเสีย</p> <p>
จะเป็นประโยชน์กว่ามากครับ ถ้าจะตอบกระทู้โดยอธิบายว่า</p> <div style="background: #222244; border-radius: 2px; border: solid 1px #8e8ba7; box-shadow: 1px 2px 8px #221F40; color: #cccccc; font-family: Arial, Helvetica, Sans-serif, Geneva, Tahoma; line-height: 1.563em; margin: auto; margin: auto; max-width: 1044px; padding: 27px 45px; word-wrap: break-word;">
การที่ จขกท.รู้จักสังเกตแล้วก็ตั้งคำถามนั้นก็ดีแล้ว แต่ข้อเท็จจริงทางชีวภาพจะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวแค่นี้มันไม่พอหรอกครับ เพราะมันมีปัจจัยรบกวนเยอะเกินกว่าที่จะเอามาบอกอะไรได้<br />
<br />
อย่างแรกก็คือความรัดกุมในการทดลองครับ การที่ จขกท.ลองดื่มเครื่องดื่มคอลลาเจน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองนี่นับได้ว่าเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการทดลองที่ไม่รัดกุม ก็เลยยังไม่น่าเชื่อถือครับ การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีกลุ่มควบคุมมาเปรียบเทียบ และมีการควบคุมตัวแปรให้รัดกุมครับ<br />
<br />
ตัวแปรต้นในที่นี้ก็คือการดื่มหรือไม่ดื่มคอลลาเจน ซึ่งที่ จขกท.ทำ คือเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็ไม่ผิด แต่ที่ขาดไปคือไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับ placebo (ยาหลอก) และไม่มี blinding ซึ่งก็คือการปิดข้อมูลไม่ให้ผู้ถูกทดลองรู้ว่าในการทดลองขณะนั้นตนเองได้กินคอลลาเจนจริง ๆ หรือกิน placebo ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะบอกไม่ได้ว่าผลที่สังเกตได้มันเกิดจากผลของคอลลาเจนจริง ๆ หรือเป็น placebo effect คือการที่เห็นว่าได้กินยาแล้วก็มีผลขึ้นเองทั้งที่อาจจะกินยาหลอก คือไม่ใช่ผลจากยาที่ทดลอง<br />
<br />
ตัวแปรตาม ในการทดลองจะต้องกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่นจะดูความนุ่มของผิวเทียบกับก่อนเริ่มดื่ม หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยต้องมีวิธีการวัดที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เหลือคือตัวแปรควบคุม ซึ่งจะต้องกำหนดให้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ดื่มคอลลาเจนหรือ placebo<br />
<br />
ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะตอบคำถามในเชิงสุขภาพ เพราะในความเป็นจริง เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ 100% และก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่คุมไม่ได้อีกอย่าง คือความบังเอิญ การตัดความไม่แน่นอนจากความบังเอิญออกไปจะต้องอาศัยการทดลองซ้ำ (เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งเยอะยิ่งดี) ซึ่งโดยปกติสำหรับคำถามทางสุขภาพแบบนี้จะทำการในรูปแบบของงานวิจัยขนาดใหญ่ โดยเลือกผู้ร่วมงานวิจัยมาตามจำนวนที่กำหนด แล้วทำการสุ่ม ให้ครึ่งนึงเป็นกลุ่มทดลอง อีกครึ่งเป็นกลุ่มควบคุม นำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกันในทางสถิติ งานวิจัยแบบนี้เรียกว่า randomized controlled trial (RCT) ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้มากที่สุดครับ<br />
<br />
สรุปแล้วก็คือ การที่ จขกท.สังเกตว่าตัวเองดื่มคอลลาเจนแล้วผิวดีขึ้นนั้น ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นผลของคอลลาเจนหรือเปล่า เพราะมีปัจจัยรบกวนได้เยอะครับ ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ก็ต้องอาศัยการวิจัยแบบ RCT อย่างที่บอกครับ ส่วนการอธิบายด้วยความรู้เชิงทฤษฎีนั้นเป็นปัจจัยรองลงมา เพราะถ้ามีผลการวิจัยออกมาว่าได้หรือไม่ได้ผลยังไง ความรู้ทางทฤษฎีก็ต้องปรับตามครับ</div> <p>
อย่าลืมนะครับ ว่าความสำคัญของหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดแค่วิทยาศาสตร์ชีวภาพ แม้ว่าความรู้ทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์กายภาพจะนิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ชีวภาพอยู่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไร ทฤษฎีก็ต้องตามหลังปฏิบัติเสมอ</p> <p>
สมมุติว่าเอาเครื่อง GT200 มาทดลองแบบควบคุม แล้วผลการทดลองพบว่ามันชี้ระเบิดได้ถูกต้องมากกว่าการเดาสุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษยชาติบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นยิ่งจะเป็นเหตุผลให้ต้องหาคำตอบครับ ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร</p><hr /> <p class="footnote">
<a name="science-note1">*</a>อาจจะได้รับแรงบันดาลใจจาก<a href="http://pantip.com/topic/30441707" target="_blank">กระทู้นี้</a> แต่เนื้อความในเอ็นทรีนี้ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดในกระทู้ดังกล่าวแต่อย่างใด</p>Paul_012http://www.blogger.com/profile/15390772668887159585noreply@blogger.com0