30 June 2013

หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

ช่วงที่ผ่านมาเรื่องทรงผมกับเครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนจะเกิดเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบนะครับ ตั้งแต่เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงนโยบายเรื่องทรงผมของนักเรียนมา ซึ่งก็มีเหตุให้เกิดความลักลั่นในการนำไปปฏิบัติกันอยู่ให้เห็น ตลอดจนการนำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนมาประกอบโครงเรื่องในละครโทรทัศน์¹ ในเวลาใกล้เคียงกับที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนทั้งต่างประเทศ² และในประเทศ³

ผมเองได้เห็นการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์หลายรอบ แต่ละรอบก็เห็นประเด็นเดิม ๆ มิได้แตกต่างกันเท่าไร จนระอาที่จะร่วมคิดหรือติดตาม เพราะมองว่ายังไงก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลง (อีกอย่างตัวเองก็เลยวัยที่จะเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว และวงการศึกษาไทยก็มีปัญหาที่สำคัญกว่านี้อีกมาก) จึงแปลกใจพอควรครับ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ออกมากำหนดแนวนโยบายเรื่องทรงผมที่ชัดเจนแบบนี้

แต่ขอกล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบก่อนดีกว่าครับ

ให้เวลา 30 วินาที ลองนึกชื่อภาพยนตร์ที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีกากีสักเรื่องนะครับ

นึกออกไหมครับ ผมนึกออกหนึ่งเรื่องคือ ปัญญา เรณู

อาจจะมีเรื่องอื่นอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชนชั้นกลางในเมืองใหญ่เช่นกัน

ที่ในเนื้อความเขียนว่าเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่นั้นไม่จริงหรอกครับ อย่างเครื่องแบบนักเรียนชายนี่ยังมีสีกางเกงที่ถูกใช้เป็น stereotype บ่งระดับชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ส่วนของนักเรียนหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแบบเสื้อ แบบกระโปรง แล้วยังอุปกรณ์ประกอบอีกเต็มไปหมด

หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับค่านิยมของสังคมที่สะท้อนออกมาในภาพยนตร์ ซึ่งมองว่าชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินคือโรงเรียนเอกชน สีกากีคือโรงเรียนวัด/โรงเรียนรัฐบาล (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ส่วนสีดำก็มีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมือง นอกจากนี้ยังมีสีหายาก ลายสก็อตต่าง ๆ ตามแต่โรงเรียนจะรังสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างเป็น "เอกลักษณ์" ขึ้นมา (ส่วนสีกรมท่าคนไม่ค่อยรู้จัก ที่จริงสังเกตได้ว่าสัมพันธ์กับโรงเรียนในวัง ทั้งจิตรลดา วชิราวุธ ราชวินิต ฯลฯ แอบสงสัยว่าสาธิตเกษตรจะตั้งใจเลือกมาด้วยเหตุนี้ (ไม่ก็ให้เข้ากับสีม่วง))

แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่มี stereotype ที่ได้จากรูปแบบหรือสีของชุดนักเรียน ค่านิยมของสถานศึกษาแต่ละที่ก็สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจอยู่แล้ว

ลองนึกถึงภาพยนตร์อีกรอบครับ คราวนี้เอาที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน มีสักเรื่องไหมที่ตัวละครจะใส่กางเกงยาวเกินสองคืบ

อันนี้อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง (แล้วแต่คืบใคร) แต่ลักษณะการแต่งกายดังกล่าวก็สะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของนักเรียนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะเหล่าโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดมาได้ยังไง แต่ก็รู้สึกทึ่งกับการยึดมั่นในค่านิยมดังกล่าวของบรรดานักเรียนเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กอัสสัมชัญ ซึ่งเพื่อนที่เป็นศิษย์เก่าเคยบรรยายว่ากางเกงนักเรียนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน

ส่วนชุดนักเรียนหญิงก็มีปรากฏการณ์แบบเดียวกัน ดูอย่างสาธิตเกษตรที่นอกจากกระโปรงจะเป็นสีม่วงเด่นขนาดนั้นแล้วยังนิยมใส่กันยาวแทบกรอมข้อเท้าแบบที่ว่าอยากนั่งขัดสมาธิตรงไหนก็ลงไปนั่งได้เลย

ค่านิยมเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นครับว่าถึงจะมีการกำหนดเครื่องแบบจากเบื้องบนลงมา (หรือต่อให้ไม่มีก็ตาม?) อย่างไรเสียก็จะยังมี "เครื่องแบบ" แห่งค่านิยมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเติบโตแพร่กระจายได้เองในสังคมดำเนินควบคู่ไปด้วยอยู่นั่นเอง

ผมขอไม่ทบทวนข้อถกเถียงทั้งหมดในเรื่องที่ว่าเราควรมีเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาต่อไปหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามดู ก็ไม่เคยเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายไหนจะมีความถูกต้องสัมบูรณ์เหนือกว่า ผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่ว่าสังคมไทยนั้นนิยมเครื่องแบบ (มาก) เพราะมันตอบสนองความคาดหวังของสังคมทั้งในแง่ที่เป็นสังคมอำนาจนิยมมาแต่เดิม และที่เครื่องแบบนั้นเป็นเครื่องแสดงระดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจน แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์ในเชิงปทัฏฐาน (normative) แต่อย่างใด หากมองในแง่เสรีภาพ ที่สุดขั้วของการมีเสรีภาพในการเลือกแต่งกายเต็มที่ คือจะให้นุ่งผ้าเตี่ยวหรือแก้ผ้าไปเรียนได้นั้น ก็คงไม่เป็นที่ยอมรับตามค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม สุดท้ายมันก็นำไปสู่คำถามพื้นฐานว่าสังคมจะต้องการให้ขีดเส้นตรงไหน ซึ่งเว้นเสียแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม ก็คงลงเอยที่การรักษาสถานะเดิม (status quo) อยู่ดี

ผมเองยอมรับครับว่าในฐานะนักเรียน ก็คงเลือกที่จะรักษาสถานะเดิมนั้น ไม่ใช่เพราะชื่นชมกับเครื่องแบบอะไรนักหนา แต่เพราะเท่าที่อยู่ในสังคมมา ก็เห็นสังคมที่มีเครื่องแบบอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับมัน ในทางกลับกัน คนที่เห็นสังคมที่ไม่มีเครื่องแบบมาก่อนก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยความคุ้นเคยว่าสังคมแบบนั้นมันไม่ได้มีปัญหาสำหรับเขา การเถียงกันบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวว่าอย่างไหนตรงกับธรรมชาติพื้นฐานของสังคมมนุษย์มากกว่ากันนั้นคงไม่เกิดประโยชน์

ในขณะเดียวกัน ความคุ้นเคยนั้นเองก็อาจจะทำให้หลายคนสร้างความคิดเชื่อมโยงเครื่องแบบกับประสบการณ์ในวัยเรียนที่ตนประทับใจได้โดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ GTH (หรือค่ายไหน ๆ ก็ตามแต่) ใช้เครื่องแบบเป็นจุดขายภาพยนตร์ (รวมถึงละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงข้างต้น) ได้อยู่เรื่อย ๆ และก็อาจส่งผลป้อนกลับ (feedback) ให้มีความพยายามรักษาสถานะเดิมนั้นมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

ที่จริงการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียนนี่คิดดูก็มีส่วนแปลกนะครับ เรามักจะเห็นว่าเครื่องแบบอื่น ๆ มักเป็นเครื่องสะท้อนอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป ต้องมีสิทธิพิเศษถึงจะได้ใส่ จะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เครื่องแบบนักเรียนนี้ทุกคนต้องใส่หมด (ขอไม่พูดถึงการศึกษานอกระบบซึ่งเป็นส่วนน้อย) มันก็เลยมีส่วนเป็นเครื่องบังคับความเท่าเทียมในสังคมอย่างหนึ่ง (วาทกรรมที่ว่านักเรียนควรภูมิใจที่ได้แต่งเครื่องแบบจึงดูแปร่งๆ เพราะเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกชนชั้นผ่านการสะท้อนชื่อเสียงเรียงนามของโรงเรียนที่คนคนนั้นได้เรียนอยู่ดี ในประเด็นความเท่าเทียมจึงตีความได้ยากว่าควรมองเครื่องแบบนักเรียนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่

แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือความแตกต่างระหว่างประเด็นเครื่องแบบนักเรียนกับประเด็นทรงผม ทั้ง ๆ ที่ก็กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันในระดับหนึ่ง (ทรงผมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ) แต่กลับเชื่อได้ (ทึกทักเอาเอง) ว่านักเรียนที่สนับสนุนหรือเฉย ๆ กับเครื่องแบบจำนวนมาก คงไม่สนับสนุนการตัดผมเกรียน/ติ่งหูด้วยเป็นแน่

เพราะการบังคับทรงผมมันรุกล้ำต่อร่างกาย ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนกว่าเครื่องแต่งกายมากหรือเปล่า นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ผมนึกออก เพราะชุดนักเรียน พอเลิกเรียน วันหยุด ก็ถอดชุดเปลี่ยนได้ แต่ผมเกรียน/ติ่งหู ไม่ใช่อย่างนั้น

อันที่จริงผมก็คงวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่ประถมถึง ม.ต้นก็เรียนโรงเรียนสาธิต ไม่เคยถูกบังคับเรื่องทรงผมแบบนี้ จะมามีช่วงที่ต้องรันทดกับหัวเกรียนก็ตอน ม.ปลาย ที่ฝึก นศท.นั่นแหละ (แต่นั่นก็เถียงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อว่าสมัครใจ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดว่าคนที่ถูกบังคับตัดทรงนักเรียนตั้งแต่ ป.1 จะเกิดความผูกพัน ภาคภูมิใจกับสภาพหัวเกรียนได้แบบเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน (ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเห็นนักแสดงหนัง GTH ในสภาพหัวเกรียนด้วยแล้วหรอกมั้ง)

นั่นยิ่งทำให้ผมฉงนกับเหล่าบรรดาผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ออกมาดราม่าต่อต้านการยกเลิกผมทรงนักเรียนกันอย่างรุนแรง ว่าเออ มันมีคนที่รักและผูกพันกับทรงหัวเกรียน/ติ่งหูกันขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย จะว่าเขาเห็นมันมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์แบบการไว้ผมจุกที่จะต้องรอจนก้าวพ้นวัยเด็กในพิธีโกนจุก ในสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าใช่ ยิ่งในฐานะนักเรียนเก่าสาธิต ที่ไว้ผมรองทรงได้มาตั้งแต่ ป.1 เลยยิ่งงงกับตรรกวิบัติของพวกเขาที่ว่า ตัดผมแค่นี้ทำกันไม่ได้ โตไปจะมีระเบียบวินัยอยู่ในสังคมได้ยังไง ยิ่งขึ้นไปอีก

พูดถึงความยาวของกางเกง ในคู่มือนักเรียนที่เตรียมฯ กำหนดเรื่องกางเกงไว้ละเอียดมากว่า "ใช้ผ้าเทโรหรือผ้าเสิร์จสีดำ (ห้ามใช้ผ้าเวสปอยส์) มีจีบข้างหน้าด้านละ ๒ จีบ ผ่าตรงส่วนหน้าติดซิป (ห้ามใช้กระดุม) มีกระเป๋าด้านข้าง ๒ ข้าง ปากกระเป๋าตัดตรง ไม่มีกระเป๋าหลัง มีหูไว้ร้อยเข็มขัดกางเกง เมื่อใส่แล้วต้องมีความยาวเหนือลูกสะบ้าเข่าไม่เกิน ๕ ซม. และความกว้างของปลายขากางเกง เมื่อดึงออกมาจากขาต้องห่างไม่น้อยกว่า ๗ ซม. แต่ไม่เกิน ๑๒ ซม."

เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ตรวจเครื่องแบบแล้วเอาไม้บรรทัดมาวัดความกว้างของขากางเกงนะครับ

แต่มารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วยังมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งระบุไว้ว่า "กางเกง แบบไทย ขาสั้นเพียงเหนือเข่า พ้นกลางลูกสะบ้า ประมาณ ๕ ซม. เมื่อยืนตรง..." ถ้านับตามศักดิ์ของกฎหมายแล้ว (และถ้าระเบียบกระทรวงดังกล่าวยังไม่ถูกยกเลิก) ก็ต้องยึดตามเนื้อความในระเบียบกระทรวงฯ ถึงจะถูก

ซึ่งแปลว่าที่เราใส่กางเกงชายขาเสมอเข่านั้นผิดกฎหมายนะ ต้องสั้นขึ้นอีก 5 ซม.ถึงจะถูก~

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของการมีเครื่องแบบแหละครับ อะไรที่ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรตายตัว พอสังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ก็ยากที่จะเปลี่ยนตามได้ทัน เครื่องแบบต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นจึงเป็นเครื่องสะท้อนแฟชั่นย้อนยุคได้เป็นอย่างดี

เรื่องนี้ก็เป็นการถกเถียงบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวแบบเดียวกับกรณีเครื่องแบบ แต่ผมเชื่อ (ทึกทักเอาเองอีกแล้ว) ว่าขณะที่อาจจะเห็นนักเรียนปัจจุบันสนับสนุนเครื่องแบบได้ไม่ยาก ในบรรดาคนที่สนับสนุนทรงหัวเกรียน/ติ่งหูอยู่นี้ ส่วนมากคงจะเป็นบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ตนเคยผ่านมาเป็นสิ่งที่จะต้องบังคับให้ชนรุ่นหลังผ่านตามไปเช่นกัน มากกว่า

ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการเชื่อเช่นนั้นจะผิดเสมอไป คนที่ตอนเด็กถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก พอโตขึ้นและตระหนักได้ถึงความสำคัญของอาหารทั้งห้าหมู่ ก็คงจะบังคับให้ลูกของตนกินผักเช่นเดียวกัน แต่ถ้าครูจะใช้ไม้เรียววางอำนาจว่าตนอยู่เหนือนักเรียน เพียงเพราะจำได้ว่าสมัยตนเป็นนักเรียนเคยถูกกดขี่มาอย่างนั้น โดยไม่ได้ใส่ใจในเหตุผล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีการศึกษาพึงกระทำ

จึงต้องพิจารณาว่าที่มาที่ไปของผมทรงนักเรียนที่มีมานานนั้นคืออะไร และยังสมเหตุสมผลอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า ไม่แน่ หากพบว่าการให้ตัดผมเกรียนครั้งแรกนั้นเกิดจากเหาระบาดครั้งใหญ่จะเงิบได้ตาม ๆ กันไป ส่วนใครที่จะอ้างว่าเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสำคัญของโรงเรียนที่มีมาช้านาน ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ที่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ (ส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจว่าทำไม) ก็คงต้องบอกว่าอยากบังคับก็บังคับไป เพราะยังไงนักเรียน (โดยผู้ปกครอง) ก็ต้องสมัครใจไปเข้า แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ เทียบเหตุผลดูแล้วก็คงไม่ควร

แต่อย่างไรเสีย จะเลิกผมทรงนักเรียน ก็ไม่ได้แปลว่าเลิกบังคับทรงผม ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับการกำหนดให้ตัดรองทรง (สูง?) ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มี แต่สังคมจะต้องการให้ผู้ชายไว้ผมยาวหรือทำผมโมฮอว์กไปโรงเรียนได้หรือเปล่านั้น ก็คงเป็นประเด็นที่จะโผล่ขึ้นมาให้ถกเถียงกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน ที่ตราบใดที่สังคมยังมองว่าไม่ได้เดือดร้อน ทุกอย่างก็ย่อมจะคงอยู่ตามสถานะเดิมต่อไป


  1. ดู HORMONES วัยว้าวุ่น EP.1 เทสโทสเทอโรน (Testosterone) 25 พ.ค.56
  2. ดู Thai Students Find Government Ally in Push to Relax School Regimentation จาก The New York Times
  3. ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบนักเรียนโดยตรง แต่ highly recommended: วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ - 26 มิ.ย.56 (HD)
  4. ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะเป็นผลงานที่น่าจดจำที่สุดของคุณพงศ์เทพในฐานะ รมว.ศธ.หรือเปล่า (ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงยังน่าจดจำกว่า รมว.ศธ.อีกหลายท่าน) ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปว่าการใช้คอมพิวเตอร์กระดานชนวนสุดท้ายแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร

13 June 2013

อะไรคือวิทยาศาสตร์

อยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมุติสักเล็กน้อยนะครับ*

สมมุติในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มอาหารเสริม ความว่า

เราเห็นหลาย ๆ คนชอบแอนตี้คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมเอาไว้ชงดื่ม บอกกันว่ามันไม่มีประโยชน์ กินไปก็เปลืองเงินฟรีเปล่า ๆ แต่ทำไมเท่าที่ตัวเราเองเคยลองทานดูก็รู้สึกว่าได้ผลนะคะ สังเกตว่าช่วงที่ทานแล้วผิวดีขึ้นจริง ๆ บางทีคนใกล้ตัวยังทักเลย มันเป็นไปได้รึเปล่าคะว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ได้ผลเฉพาะบางคน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องต่อต้านกันไปเสียหมดนะคะ เพราะสำหรับคนที่เค้าได้ผล มันก็น่าจะมีประโยชน์จริง ๆ

เมื่อมีกระทู้แนวนี้ออกมา ก็เดาได้ว่าจะต้องมีคนมาตอบแบบตามคิวเป๊ะ ว่า

เรื่องแบบนี้ลองใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมคิดดูเอาเองก็ได้นะครับ  คอลลาเจนมันเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน เวลากินอาหารเข้าไป โปรตีนจะถูกย่อยเป็นเปปไทด์สายสั้น ๆ ในกระเพาะ แล้วก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนในลำไส้เล็กก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะฉะนั้นคอลลาเจนที่กินเข้าไปมันก็ถูกย่อยหมด แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกับร่างกายได้ยังไงครับ มันก็เหมือนกินโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ ตามธรรมชาติ เพราะยังไงมันก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนเหมือนกันอยู่ดี ที่ว่ากินแล้วผิวดีขึ้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ น่าจะคิดไปเองมากกว่า

...ครับ...

xxแอดxx WRONG ANSWER!!

...

ในเหตุการณ์สมมุติข้างต้นนี้ จะเห็นได้นะครับว่ามีฝ่ายหนึ่งแสดงความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

นั่นก็คือผู้ตั้งกระทู้

เพราะผู้ตั้งกระทู้ได้แสดงให้เห็นว่ารู้จักตั้งคำถาม รู้จักสังเกตจากประสบการณ์ตรงของตน รับฟังข้อมูล และพยายามหาคำตอบเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่รู้

ขณะที่ผู้ตอบกระทู้อาศัยความเชื่อมั่นในความรู้วิทยาศาสตร์ของตนที่มีอยู่ นำมาหักล้างข้อสังเกตของอีกฝ่าย และฟันธงปฏิเสธในทันทีว่าสิ่งที่ขัดกับความรู้ของตนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

ความเชื่อแบบตายตัวเช่นนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

การที่ผู้ตอบกระทู้แสดงความยึดมั่นว่าสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้เสนอ ซึ่งไม่ตรงกับความรู้ของตนเอง ต้องเป็นเท็จ ก็ไม่ต่างจากการที่กาลิเลโอต้องถูกไต่สวนโดยศาสนจักรเพราะสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

หากแต่วิทยาศาสตร์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตและการทดลอง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าใจ

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาจากการยืนยันสมมุติฐาน ว่าสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สังเกตได้ หากพบหลักฐานใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับความรู้ดังกล่าว นั่นแปลว่าความรู้เราอาจยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายหลักฐานใหม่นั้น ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมและพัฒนาความรู้กันต่อไป ไม่ใช่ปฏิเสธว่าว่าหลักฐานใหม่นั้นผิดเสียตั้งแต่ต้น

ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะยังเชื่อกันอยู่ครับ ว่าหนอนแมลงวันเกิดมาจากเนื้อเน่า

อะไรที่เรายังไม่รู้ จะมีโอกาสรู้ได้ก็ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามอย่างของผู้ตั้งกระทู้ที่ยกตัวอย่างครับ ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์จะยังจำกัดอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ควรจะสอน ไม่ใช่สั่งให้ปิดปากบอกให้เงียบเสีย

จะเป็นประโยชน์กว่ามากครับ ถ้าจะตอบกระทู้โดยอธิบายว่า

การที่ จขกท.รู้จักสังเกตแล้วก็ตั้งคำถามนั้นก็ดีแล้ว แต่ข้อเท็จจริงทางชีวภาพจะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวแค่นี้มันไม่พอหรอกครับ เพราะมันมีปัจจัยรบกวนเยอะเกินกว่าที่จะเอามาบอกอะไรได้

อย่างแรกก็คือความรัดกุมในการทดลองครับ การที่ จขกท.ลองดื่มเครื่องดื่มคอลลาเจน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองนี่นับได้ว่าเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการทดลองที่ไม่รัดกุม ก็เลยยังไม่น่าเชื่อถือครับ การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีกลุ่มควบคุมมาเปรียบเทียบ และมีการควบคุมตัวแปรให้รัดกุมครับ

ตัวแปรต้นในที่นี้ก็คือการดื่มหรือไม่ดื่มคอลลาเจน ซึ่งที่ จขกท.ทำ คือเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็ไม่ผิด แต่ที่ขาดไปคือไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับ placebo (ยาหลอก) และไม่มี blinding ซึ่งก็คือการปิดข้อมูลไม่ให้ผู้ถูกทดลองรู้ว่าในการทดลองขณะนั้นตนเองได้กินคอลลาเจนจริง ๆ หรือกิน placebo ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะบอกไม่ได้ว่าผลที่สังเกตได้มันเกิดจากผลของคอลลาเจนจริง ๆ หรือเป็น placebo effect คือการที่เห็นว่าได้กินยาแล้วก็มีผลขึ้นเองทั้งที่อาจจะกินยาหลอก คือไม่ใช่ผลจากยาที่ทดลอง

ตัวแปรตาม ในการทดลองจะต้องกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่นจะดูความนุ่มของผิวเทียบกับก่อนเริ่มดื่ม หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยต้องมีวิธีการวัดที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เหลือคือตัวแปรควบคุม ซึ่งจะต้องกำหนดให้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ดื่มคอลลาเจนหรือ placebo

ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะตอบคำถามในเชิงสุขภาพ เพราะในความเป็นจริง เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ 100% และก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่คุมไม่ได้อีกอย่าง คือความบังเอิญ การตัดความไม่แน่นอนจากความบังเอิญออกไปจะต้องอาศัยการทดลองซ้ำ (เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งเยอะยิ่งดี) ซึ่งโดยปกติสำหรับคำถามทางสุขภาพแบบนี้จะทำการในรูปแบบของงานวิจัยขนาดใหญ่ โดยเลือกผู้ร่วมงานวิจัยมาตามจำนวนที่กำหนด แล้วทำการสุ่ม ให้ครึ่งนึงเป็นกลุ่มทดลอง อีกครึ่งเป็นกลุ่มควบคุม นำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกันในทางสถิติ งานวิจัยแบบนี้เรียกว่า randomized controlled trial (RCT) ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้มากที่สุดครับ

สรุปแล้วก็คือ การที่ จขกท.สังเกตว่าตัวเองดื่มคอลลาเจนแล้วผิวดีขึ้นนั้น ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นผลของคอลลาเจนหรือเปล่า เพราะมีปัจจัยรบกวนได้เยอะครับ ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ก็ต้องอาศัยการวิจัยแบบ RCT อย่างที่บอกครับ ส่วนการอธิบายด้วยความรู้เชิงทฤษฎีนั้นเป็นปัจจัยรองลงมา เพราะถ้ามีผลการวิจัยออกมาว่าได้หรือไม่ได้ผลยังไง ความรู้ทางทฤษฎีก็ต้องปรับตามครับ

อย่าลืมนะครับ ว่าความสำคัญของหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดแค่วิทยาศาสตร์ชีวภาพ แม้ว่าความรู้ทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์กายภาพจะนิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ชีวภาพอยู่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไร ทฤษฎีก็ต้องตามหลังปฏิบัติเสมอ

สมมุติว่าเอาเครื่อง GT200 มาทดลองแบบควบคุม แล้วผลการทดลองพบว่ามันชี้ระเบิดได้ถูกต้องมากกว่าการเดาสุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษยชาติบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นยิ่งจะเป็นเหตุผลให้ต้องหาคำตอบครับ ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร


*อาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ แต่เนื้อความในเอ็นทรีนี้ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดในกระทู้ดังกล่าวแต่อย่างใด

6 May 2013

เกรียนฟิคฯ

อุตส่าห์ว่าดูจบก็จะจบ ๆ แล้วนะ ปรากฏจบไม่ลง~ ขอระบายทิ้งหน่อยละกัน

ก็อย่างที่บอกว่าเห็นคำชมหลุดมาประปรายในทวิตเตอร์ เลยดู ๆ เห็นกระแสตอบรับดี ไม่เกรียนอย่างเดียวแบบหน้าหนังที่ออกมา (คืออย่างน้อยเทียบกับความคาดหวังจากตัวอย่างแล้วหนังก็ดีทีเดียว) ซึ่งดูแล้วก็ชอบนะ สารภาพว่าแอบไปดูซ้ำด้วย (ความจริงคือฝังใจที่รอบแรกมาไม่ทัน เข้าช้าไป 10 นาทีมากกว่า)

และก็เหมือนเดิม วิจารณ์หนังไม่เป็น แต่ลองดูที่เค้าวิจารณ์กันว่ายังไม่ดีเท่าผลงานเรื่องอื่นของมะเดี่ยวอย่างโฮมหรือรักแห่งสยาม ก็เห็นด้วยนะ ว่าอารมณ์หนังมันเหมือนยังไม่สุด แล้ว [plot elements] บางอย่างมันดู [forced] เกินไป ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกดีทีเดียว แต่ก็พอจะบอกได้ว่า เนื้อหาที่สื่อออกมายังค่อนข้างเบา แล้วก็รู้สึกเหมือนหนังพยายามจะเล่าเรื่องราวอะไรมากมายที่จับยัดใส่เวลา 2 ชั่วโมงแล้วมันเลยไม่พอ มีบางประเด็นที่เหมือนจะไม่จบ ซึ่งพอดูรอบสองแล้วก็เห็นว่าเยอะอยู่ทีเดียว

ยังไงขอหยิบโน่นนี่มาพูดถึงเป็นข้อ ๆ...

ALERT! สปอยล์กระจาย

  • ชอบการใช้เรื่องราวความเกรียนเป็นเครื่อง [carry] ตัวเรื่อง แม้จะไม่ได้เป็น [plot device] สำคัญแต่ก็สื่อถึงอารมณ์วัยรุ่นได้อย่างดี ฉาก [montage] แต่ละฉากสวยมาก การใช้เพลงประกอบก็สุดยอด
  • เพิ่งรู้ทีหลังว่า รร.วารีเชียงใหม่มีอยู่จริง เสร่อ แต่แอบแปลกใจนิดนึง (แต่โฮมก็ใช้ รร.มงฟอร์ตนี่นา)
  • เรื่องของทิพย์กับ อ.เสน่ห์นี่โผล่มานิดเดียวแล้วหายไปเลย งง ๆ ว่ามันควรจะมีความหมายอะไรมากกว่าเป็นแค่ฉากตลกหรือเปล่า
  • ยังไม่เข้าใจ "แต่งงานกันมั้ยคะ" ด้วยว่าจะสื่อว่าไง เกี่ยวกับที่ตี๋ขอเขตต์ตอนหลังหรือเปล่า
  • ผู้หญิงที่ อ.แดงต้อยพูดด้วยประมาณว่า "ตรงนั้นควรจะเป็นที่ของเธอ" ตอนละครรจนาเลือกคู่คือใครนะ
  • เรื่องของก้อย ไม่แน่ใจว่าแรก ๆ เหมือนจะสื่อว่าก้อยแอบชอบตี๋อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรต่อนอกจากเฉลยเรื่องของน้องเอ ที่ก้อยอยากเป็นนักข่าวก็เหมือนหายไป
  • เรื่องเสื้อของก้อยด้วย ทั้ง "มึงตามหาเสื้อ แล้วเจ้าของเสื้อตามหามึงปะ" (ไม่แน่ใจว่าตี๋คิดอะไร ณ จุดนั้น) แล้วก็ฉาก [montage] ตอนหลังที่ตี๋ใส่เสื้อนั้นอยู่
  • เรื่องพลอยดาวก็ดูรวบไปเยอะ ทั้งกับโอ๊ต (ไม่แน่ใจว่าพลอยดาวชอบโอ๊ตจากละครรจนาเลือกคู่?) แล้วก็ตี๋ (ที่โอ๊ตบอกว่า "ถ้าพลอยรู้นะ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง" เรากลับแทบไม่ได้เห็นเลย (รู้แต่ว่ามีฉาก "ร่มมั้ยคร้าบ" ในตัวอย่างที่ถูกตัดไป)) ที่ตี๋บอกประมาณว่า "ที่ผ่านมา กูคิดว่ามึงพยายามช่วยกูมาตลอด" ก็เหมือนกัน
  • พูดถึงการเปลี่ยนตัวตอนรจนาเลือกคู่ ทั้งแป๋ง ตี๋ โอ๊ต ส่วนสูงนี่คนละเรื่องกันเลย แอบสงสัยว่าไปบอกพลอยดาวว่ายังไงเขาถึงไม่สงสัย
  • แล้วก็พูดถึงฉากแสดงละคร ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อว่าลิปซิงค์อยู่แล้วหรือเปล่า แต่มันชัดมาก
  • ฉากร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ป้าบอกว่ามีอะไรในตัวก็ให้เอามาจ่าย เห็นนะว่ายังมีนาฬิกาข้อมืออยู่
  • โมน/โมนนี่ทำไปทำไมนะ แต่ตอนแรกก็ไม่สังเกตจริงแหละ เมคอัพเขาใช้ได้อยู่ (แต่อุตส่าห์ lampshade ให้ตั้งสองรอบ~)
  • แต่พูดถึงเมคอัพ รอยเจาะหูนี่ใช้เมคอัพปิดไม่ได้เหรอ แอบรำคาญอยู่เกือบตลอดเรื่อง
  • ความสัมพันธ์ของตี๋กับทิพย์ สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าปมมันคืออะไร ทำไมแค่ทิพย์บอกขอโทษก็จบง่ายขนาดนั้น ที่จริงต้องบอกว่าไม่เข้าใจทิพย์ด้วย คือพอนึกออกว่าจะเป็นแม่ก็ทำไม่เป็น/ไม่กล้า/ไม่อยาก ไม่ยอมรับความจริง แล้วก็โทษตัวเอง แต่ทำไมถึงต้องแสดงออกว่าไม่ใส่ใจตี๋เลยทั้งที่เห็นอยู่ว่าห่วงใยกัน
  • ที่ทิพย์คบกับเขตต์ด้วย เห็นแต่ตอนแรกตี๋ไม่พอใจ แล้วมาอีกทีก็ขอให้แต่งงานละ เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ตอนที่ทิพย์กรีดข้อมือนั่นมันเกิดอะไรขึ้น
  • ตอนที่เขตต์หนีไปแล้วก็กลับมาด้วย ดอกกุหลาบสีขาว/สีแดงจะสื่ออะไรนะ
  • แล้วชุดแต่งงานนี่น้าหอยแกยกให้เป็นที่ระลึกเหรอ แต่ถึงงั้นคนจะขึ้นรถไฟก็น่าจะอยากแต่งตัวธรรมดาหน่อยเปล่านะ
  • ชอบฉากไล่ต่อยกันที่ปราณบุรีสุดละ สารภาพว่าน้ำตาซึมไปนิดนึง

หมดละ (มั้ง) แต่ขอบ่นเรื่องนอกจอที่ทำให้ดูไม่ทัน คือไปดู SF เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดน Iron Man 3 กลบมิดเลย เหลือแต่รอบเที่ยง แล้วกว่าจะมาเช็คก็เกือบเที่ยงละ แถมเจอคิวซื้อตั๋วอีกสิบนาที จากที่จะทันพอดีเลยกลายเป็นไม่ทัน~ ความจริงถ้าซื้อตั๋วออนไลน์ก็ทันละ แต่ดันซื้อหลังเวลาหนังเริ่มไม่ได้ซะนี่ แต่ในอีกแง่นึง ก็ทำให้ใช้แต้มบัตรเครดิตกสิกรแลกตั๋วหนังได้ในราคาเทียบเท่า 100 บาท (ใช้ได้ถึงสิ้นปีนะครับ)

เอ้อ อีกเรื่องนึง:

  • ฉากเด็กผู้ชายเปลือยท่อนบนเมิงจะเยอะไปไหนวะครับ -"-

25 April 2013

End of an era: Good bye, Windows Live Messenger

ถูกถอดปลั๊กไปเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับโปรแกรม Windows Live Messenger บนเครื่องของผม หลังจากที่พ้นกำหนดอายุการใช้งานที่ไมโครซอฟท์ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา

และถึงแม้ว่าผมคงจะทำการรวมบัญชีกับ Skype ต่อไป และไมโครซอฟท์ก็ยังคงให้บริการ Messenger service ผ่านช่องทางอื่นไปอีกระยะหนึ่ง ยังไงก็อยากจะใช้โอกาสนี้รำลึกถึงบริการ instant messaging นี้ที่อยู่ด้วยกันมากว่า 10 ปี

ความจริงตอนที่เริ่มมี MSN Messenger เมื่อกรกฎาคม 1999 นั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มใช้ ICQ ด้วยซ้ำ มารู้จัก msnmsgr ก็ราวอีกสองปีถัดมา ขณะที่ความนิยม ICQ ก็เริ่มถดถอยลงไป

และถึงแม้ว่า ICQ จะยังคงให้บริการอยู่ในปัจจุบัน (ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้) สำหรับเพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกัน ก็คงเรียกได้ว่าทั้ง ICQ และ MSN Messenger ต่างเป็นแก่นหลักอย่างหนึ่งในชีวิตช่วงนั้น ที่มีบทบาทสืบเนื่องถัดกันมา

และหลายคนก็คงจะมีความทรงจำหลากหลายเกี่ยวกับทั้งสองบริการนี้ ไม่ว่าจะเป็น...

  • เสียงเรียกเข้า "โอ๊ะโอ" ของ ICQ (ที่ตอนหลังถูกแทนที่ด้วย "ตื่อดือดึ๊ง" ของ MSN Messenger)
  • จอข้อความที่ต้องกด tab เพื่อย้ายโฟกัสไปที่ปุ่ม Send (ซึ่งพอเปลี่ยนมาใช้ MSN Messenger ก็สับสนบ่อย ๆ เพราะไม่ต้องกด) และการ์ตูนหน้าคนที่จะเลื่อนหมุน ๆ เวลาส่งข้อความ
  • ปรากฏการณ์ Fwd URL ระบาด
  • หน้าจอ contact list ที่แสดงชื่อเป็นสีน้ำเงินหรือสีแดง พร้อมดอกไม้แสดงสถานะ
  • ซึ่งก็จะเห็นคนตั้งชื่อว่า "ลิสต์หาย ใครเห็นทักมาหน่อย" อยู่บ่อย ๆ
  • พอย้ายมา MSN Messenger ก็ไม่มีปัญหานี้ เพราะมันเก็บข้อมูล contact ให้
  • แต่ contact list ดันเต็มที่ 150 คน~ (มาเพิ่มให้ตอนปี 2005)
  • แล้วก็มีแฟชั่นข้อความต่อท้ายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นระบายอารมณ์ รำพึงรำพัน หรือโพสต์เพลงต่าง ๆ นานา
  • MSN Messenger เอง ก็เปลี่ยนหน้าตาเปลี่ยนความสามารถอยู่หลายครั้ง จากเดิมที่เป็นโปรแกรมเรียบ ๆ ง่าย ๆ ต่อมาก็มีเกม (จำ Minesweeper Flags กันได้ไหม) มีการเชื่อมโยงกับ MSN Spaces (ต่อมาเป็น Windows Live Spaces) มีฟังก์ชันเขย่าจอ มี custom emoticons มี video chat (ซึ่งไม่เคยใช้เลย) มีอะไรต่อมิอะไร ฯลฯ

ในปี 2005 MSN Messenger เปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger (WLM) แต่ชื่อ MSN ก็ฝังลึกในสังคมจนการ "ออนเอ็ม" หรือ "คุยเอ็ม" กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาพูดทั่วไปไปแล้ว แต่แน่นอนว่าอะไรที่ได้รับความนิยมก็ย่อมมีเสื่อมความนิยมตามมา การเติบโตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Facebook เปิดให้ลงทะเบียนได้โดยไม่ต้องสังกัดสถานศึกษาในปี 2006 พร้อม ๆ กับที่ Hi5 เริ่มติดกระแสในประเทศไทย) และการขยายตัวของตลาด smartphone ที่ WLM ทะลวงเข้าไปไม่ถึง ต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนคนออนไลน์บน WLM ลดลงไปเรื่อย ๆ จากที่เคยมีวันละหลายสิบ (แต่ก็ไม่ได้คุย) กลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแค่คนที่เปิด Hotmail ทิ้งไว้ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

แม้จะไม่ต้องสงสัยว่าทุกวันนี้พื้นที่ที่ MSN Messenger เคยยืนอยู่จะถูก Facebook (และ Line) กลืนไปเกือบหมดแล้ว

แต่ความเป็นสัญลักษณ์ของ MSN Messenger ก็จะยังคงอยู่ ในฐานะสิ่งที่โตมาเคียงข้างชาว Generation Y ไม่ต่างจากโทรศัพท์สำหรับคนรุ่นก่อนหน้า หรือสิ่งใด ๆ บนโลกออนไลน์ที่จะตามมาสำหรับชนรุ่นถัดไป

11 February 2013

ตัดต่อชัด ๆ

วันนี้จะขอกล่าวถึงภาพภาพนี้ โดยคุณ pattpoom จาก Flickr ครับ

~ Bangkok Tonight ~

ในแง่สุนทรียภาพคงไม่จำเป็นต้องบรรยาย เพราะคอมเมนต์บนหน้า Flickr ก็อธิบายในตัวอยู่ระดับหนึ่งแล้ว แต่ในสมัยที่เทคโนโลยีการแต่งภาพแบบดิจิทัลก้าวไกลขนาดนี้แล้วผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเวลาเห็นภาพที่น่าแปลกตาเช่นนี้ก็คงคิดในใจว่า "ตัดต่อหรือเปล่านะ?"

ที่จริงเจ้าของผลงานเขาก็อธิบายและให้รายละเอียดอุปกรณ์และการตั้งค่ากล้องไว้ในคำบรรยายภาพแล้วล่ะครับ ว่าเป็นภาพประกอบจากภาพวัดอรุณกับภาพดวงจันทร์ที่ถ่ายแยกกัน แต่กระนั้นแล้วข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ได้บอกว่าองค์ประกอบที่แต่งขึ้นนั้นมีมากแค่ไหน

แต่ภาพนี้สังเกตเพียงเล็กน้อยก็บอกได้ง่าย ๆ ครับว่าดวงจันทร์ที่อยู่ตรงนั้นมัน "ตัดต่อชัด ๆ"

ที่ง่ายที่สุดก็คือ ข้อมูล EXIF ในภาพระบุเวลาถ่ายว่า 21:53 วันที่ 06/06/2009 ใครที่มีความสนใจดาราศาสตร์แม้เพียงเล็กน้อยคงบอกได้ว่าดวงจันทร์ (เกือบ) เต็มดวงแบบนี้ ไม่มาอยู่ริมขอบฟ้าเวลานี้หรอกครับ ต่อให้ตั้งเวลากล้องผิด ดวงจันทร์ที่เกือบเต็มดวงจะมาอยู่ใกล้ขอบฟ้าตะวันตก (คงทราบกันว่าวัดอรุณตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก) ก็ต้องเช้ามืดเกือบรุ่งแล้ว ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าวัดอรุณคงไม่ได้เปิดไฟส่องพระปรางค์ทิ้งไว้ทั้งคืน แต่ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าบาร์ Amorosa ที่ Arun Residence คงไม่ได้เปิดโต้รุ่งแน่ ๆ

นอกไปจากนั้น ดวงจันทร์ในภาพนั้นยังกลับหัวอีกด้วย จะเห็นได้ว่าถูกหมุน 180° จนขั้วเหนือหันไปทางใต้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะเดาว่าเป็นเพราะภาพถูกถ่ายเมื่อดวงจันทร์ยังอยู่ในซีกฟ้าตะวันออก แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือ นั่นแปลว่าเงาดวงจันทร์ที่เห็นนั้นไม่ใช่เงาข้างขึ้นประมาณ 14 ค่ำ (ซึ่งตรงกับวันที่ถ่ายภาพ) แต่เป็นเงาข้างแรมประมาณ 1 ค่ำ! แสดงว่าดวงจันทร์ในภาพ ไม่ใช่แค่ถ่ายจากคนละชั่วยาม แต่ถ่ายจากคนละเดือนกันทีเดียว

โอเค งั้นเจ้าของภาพอาจจะใช้เทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงานมากพอควร แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จริง หรือเปล่า? ถ้าเราลองเทียบข้อมูลตำแหน่งดวงจันทร์ (จากหอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐฯ) เมื่อเช้ามืดวันที่ 07/06/2009 ณ ระดับความสูงเชิงมุมประมาณ arctan(290/480*80/275) ≈ 10° (เทียบจากความสูงของพระปรางค์ประมาณ 80 m และระยะแนวราบจากกึ่งกลางพระปรางค์ถึง Amorosa ประมาณ 275 m) จะเห็นว่าเวลา 04:15 ดวงจันทร์อยู่ที่ตำแหน่งแอซิมัทประมาณ 240° ซึ่งต่างจากประมาณ 235° ที่เห็นในภาพนิดเดียว แปลว่าอาจจะมีคืนอื่นที่ดวงจันทร์ตกผ่านตำแหน่งนี้พอดีก็ได้ (แต่จริง ๆ แล้วในเช้ามืดวันที่ 7 มิ.ย. ดวงจันทร์จะตกผ่านหลังพระปรางค์องค์ประธานเกือบพอดี)

ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดในภาพ คือขนาดของดวงจันทร์ล่ะ ถ้าพระจันทร์วันเพ็ญตกข้างพระปรางค์วัดอรุณแบบในภาพจริง ๆ เราจะเห็นดวงจันทร์ใหญ่ขนาดนั้นหรือเปล่า? ถ้าลองเทียบขนาดด้วยวิธีเดียวกันข้างต้น จะได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ arctan(96/480*80/275) ≈ 3.33°

อนิจจา ช่างมากเกินกว่าขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ 30′ (ครึ่งองศา) ไปกว่า 6 เท่า สรุปได้ง่าย ๆ ว่าดวงจันทร์ที่เห็นในภาพ ถูกขยายให้ใหญ่เกินจริงไปมากครับ

อันที่จริงมีวิธีเทียบที่ง่ายกว่านี้มาก เพราะขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นใกล้เคียงกัน ลองสืบค้น Google ด้วยคำค้น Wat Arun sunset จะพบภาพดวงอาทิตย์ตกใกล้พระปรางค์วัดอรุณหลายภาพ นั่นแหละครับ คือขนาดที่แท้จริงของดวงจันทร์เทียบกับพระปรางค์ ที่จะมีโอกาสได้เห็น

ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ศิลปินย่อมมีโอกาสใช้เทคนิคในการสร้างผลงานได้หลากหลาย แต่บางครั้ง เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในผลงานนั้นมีต้นกำเนิดแต่ในจินตนาการของศิลปิน หาได้มีอยู่ในธรรมชาติไม่ เราก็แอบอดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้ แม้ว่าสุนทรียภาพของตัวงานนั้นเองจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

Edited 2013-03-11: กว่า 6 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า

17 December 2012

ด้วยผลแห่งการแสดงคารวะนี้...

...ขอให้ข้าพเจ้าเป็นคนดียิ่งขึ้นทุกวันทุกประการเป็นลำดับไป

ข้อความดังกล่าวคือวรรคสุดท้ายของบทสวดมนต์ประจำวันของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ

ความจริงบทสวดมนต์สาธิตเกษตร มีลักษณะเฉพาะอยู่หลายประการที่ไม่ตรงตามคำบูชาพระรัตนตรัยที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งถ้าจำไม่ผิดก็เคยเป็นเหตุให้เกิดความสับสน/แปลกใจเมื่อมีการจัดกิจกรรมกับนักเรียนต่างโรงเรียนมาไม่น้อย

ประการหนึ่งคือการสวด นโม สามจบก่อนขึ้นบท อรหํ สมฺมาฯ

อีกประการหนึ่งคือการมีบทสวดไหว้บิดามารดาและครูอาจารย์ตามหลังบทบูชาพระรัตนตรัย

อีกประการหนึ่งคือการกราบสามครั้งท้ายบทสวดมนต์

และอีกประการหนึ่งคือการมีบทสวดภาษาไทยประกอบคำบูชาพระรัตนตรัยแต่ละวรรค ซึ่งไม่ใช่บทคำแปลที่พบโดยทั่วไป ("พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง...") หากแต่เรียบเรียงให้สั้นลงและ (ขอเดาว่าน่าจะ) เข้าใจง่ายขึ้นสำหรับนักเรียน ป.1 ดังเช่นข้อความภาษาไทยของวรรคบูชาพระพุทธ ที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ผู้ได้ตรัสรู้ถูกต้องดีแล้ว"

อันที่จริงผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโรงเรียนอื่น ๆ สอนบทสวดมนต์ให้กับนักเรียน ป.1 กันว่าอย่างไร แต่ผมคิดว่าตัวเองตอน ป.1 ก็คงบอกได้ว่าการมีคำอธิบายภาษาไทยให้รู้ว่าตัวเองกำลังสวดอะไรอยู่นั้น ทำให้การสวดมนต์มีความหมายขึ้นมาก (และก็จำได้ว่าไม่ชอบใจมาแต่เด็กที่ไม่มีใครบอกว่าบท นโม ตสฺส นั้นหมายถึงอะไร) ถึงแม้คำอธิบายดังกล่าวจะไม่ใช่คำแปลตามความหมายโดยตรง แต่ผมคิดว่ามันก็สรุปความและอธิบายเจตนารมณ์ของการให้สวดมนต์ได้ในระดับหนึ่ง

แต่ก็อีกหลายปีครับ กว่าจะได้ตระหนักว่าเราสวดมนต์ระลึกถึงพระรัตนตรัย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติและเตือนตนเองให้ยึดแนวทางคำสอนและตัวอย่างที่ดีงามเหล่านั้นเป็นหลักในการปฏิบัติตนและดำเนินชีวิต

แตกต่างจากการสวดมนต์ของศาสนาเทวนิยม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารกับพระเป็นเจ้าเป็นหลัก ทั้งเพื่อสักการะบูชา อ้อนวอนร้องขอ และอื่น ๆ

จึงดูน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ความวรรคท้ายที่ผมอ้างถึงในชื่อบทความนี้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะอีกประการของบทสวดมนต์สาธิตเกษตร กลับสื่อความเป็นการขอให้ได้ผลตอบแทนโดยตรงจากการสวดมนต์ ซึ่งดูขัดกับแนวคิดว่าการเป็นคนดีนั้นอยู่ที่กรรมที่ตนกระทำในทุกเวลาของชีวิต หาใช่มาจากเพียงการสวดมนต์ไม่

ที่จริงแล้วการบอกว่าน่าแปลกใจนั้นอาจจะไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะถึงแม้ว่าผมจะกังขาความเหมาะสมของข้อความดังกล่าว แต่มันก็สะท้อนวิถีของพุทธศาสนาในสังคมและวัฒนธรรมไทย ที่ได้ผ่านการดัดแปลง ปรับเปลี่ยน และผสมผสาน ให้เข้ากับพื้นฐานความเชื่อของคนในสังคมมาช้านาน

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับคนจำนวนมากแล้ว บทสวดมนต์ ซึ่งเดิมนั้นคงสำคัญที่เป็นเครื่องมือช่วยในการเจริญสติและบำเพ็ญวิปัสสนา ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นเครื่องมือในการอ้อนวอนขอร้องลาภยศและความสำเร็จกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลาย ที่อาจจะบอกได้ยากว่ามีในคำสอนของศาสนาพุทธหรือไม่

ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นที่ดูน่าสนใจทีเดียวในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ คำถามหนึ่งที่ถูกถามบ่อย ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนาคือควรนับเป็นศาสนาหรือเปล่า เพราะนิยามคำว่าศาสนา (religion) ตามแนวคิดตะวันตกส่วนใหญ่จะกล่าวถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่มีในคำสอนของศาสนาพุทธ

แต่กระนั้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมากที่สุดในโลก ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามนิยามดังกล่าวนั้นก็มีให้เห็นได้อยู่ทั่วไป และได้หลอมรวมกับพุทธศาสนาจนน่าจะแยกจากกันได้ยาก

จึงน่าคิดว่า ต่อให้ศาสนาพุทธตามคำสอนจะไม่เข้าเกณฑ์นิยามคำว่าศาสนาตามแนวคิดตะวันตก แต่ศาสนาตามนิยามนั้นก็มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยจากการผสมผสานศาสนาพุทธกับความเชื่อพื้นบ้านต่าง ๆ

ถ้าอย่างนั้น จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธ (ที่อาจจะไม่นับว่าเป็นศาสนา) จะตั้งอยู่โดด ๆ ในสังคมขนาดใหญ่ได้หรือเปล่า หรือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อย่างไรเสียก็ต้องสร้างความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ?

และเราจะบอกได้อย่างไร ว่าที่สวดมนต์แต่ละวัน เราสวดเพื่อเตือนสติตนตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา

หรือสวดเพื่อขอผลตอบแทนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นที่ศาสนาอื่น ๆ ต่างกระทำ?


Edited 2013-03-11: ผู้ได้ตรัสรู้

1 December 2012

Thailand: Getting to zero?

"Getting to Zero" is the United Nations' continuing theme for this year's World AIDS Day. It refers to zero new HIV infections, zero deaths from AIDS-related illness and zero discrimination.

I don't know exactly how achievable the declared targets and commitments are in Thailand. I certainly would like to hope they are, but although access to treatment and mother-to-child transmission prevention has seen much success in recent years and likely continues to improve, the country's approach is still, or has become, lagging in many important areas.

Much has been said of Thailand's success in combatting the first wave of the HIV epidemic. Education campaigns during the early 1990s effectively raised awareness of the disease and its risk factors, resulting in significant positive behavioural changes in the population. Condom use by sex workers became almost uniform. New infections dropped from almost 143,000 in 1991 to 29,000 in 2000.

This success, however, has seemingly led to complacence, if not by the government then in visible continued education efforts reaching the public. As the population has aged, today's youth have grown up without a media telling them of the dangers of unprotected sex. Indeed, with advances in anti-retroviral treatment, HIV today seems to have become just another disease to some. Combined with increasing trends in adolescent sexual activity, the youth sense of invulnerability and an unimproved sex education—Thailand's having the second-highest adolescent pregnancy rate was widely reported earlier this year—these factors could spell a resurgence of the epidemic in the subgroup, if not a recipe for disaster.

That resurgence has yet to occur. And I still hope that the combined magnitude of the HIV risk and unwanted pregnancy issues will have pressured society and the government to reconsider their stances on sex and education before then. An overhaul of current attitudes—the unmentionability of premarital sex in particular—is critical, though insistence on the part of various international and non-governmental organisations have so far resulted in little visible change.

Yet sexual transmission of HIV isn't the only remaining major issue. Though various campaigns and government efforts have been made, stigmatisation and discrimination is ever still present in Thai society. Limited public education has allowed misconceptions about the disease to continue, especially since what little many people know about AIDS came from the death scares of the 1990s. Although the issue seems most serious in rural areas, where in some places individuals remain shunned by entire communities and children barred from attending school, the extent of human rights violations is much farther. It is still the norm for workplaces to discriminate—illegally—against people living with HIV, whether they be manual labour or white-collar workers. And in a culture where status and labels guide social interaction, being HIV-positive often results in quick, condescending judgment. This is the case even in the medical setting, where many healthcare providers abandon professionalism and treat such patients with seeming contempt, all the worse if they also happen to fall into a stereotypical at-risk or low-socioeconomic group.

Clearly, lack of education isn't the only factor perpetuating such stigma and discrimination; social values and cultural norms also contribute. Apart from being a rights issue in itself, such discrimination also forms a barrier to accessing preventive measures and treatment. If left unchecked, this could develop into a vicious cycle in which some isolated groups become increasingly cut off.

Successive governments have reaffirmed their commitment to HIV/AIDS prevention, and cooperation with NGOs and other civil and private parties remains strong. However, society as a whole must also be willing to change certain attitudes. Whereas the 1990s' campaigns dared to defy taboos and brought sex to public attention, similar actions are needed now. The same campaigns from the past will do little to stop the increasing youth risk or achieve non-discrimination, unless the underlying social and cultural issues are confronted and dealt with.

And therein lies the real challenge.

25 November 2011

ตำนานปลั๊กไฟไทย

ตำนานปลั๊กไฟไทย (1) 
ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 
ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มมีแพร่หลายตามบ้านเรือนเมื่อไร การเดินไฟฟ้าแต่ก่อนใช้ขั้วต่อแบบไหน คนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน 
เห็นแต่ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมเคยออกมาตรฐาน มอก. 166-2519 บอกให้ใช้ปลั๊กไฟแบบขาแบน ซึ่งก็มีทั้งขาแบบขนาน แบบระนาบ แบบตั้งฉาก แล้วแต่ขนาดกระแสไฟฟ้า แล้วก็อาจจะมีหรือไม่มีสายดิน ตามแต่ข้อกำหนด 
แต่ว่าตั้งแต่จำความได้ คนเขียนก็เห็นมีปลั๊กทั้งขากลมขาแบน ใช้ปนกันไปหมด เต้ารับที่เห็นทั่วไปก็เป็นแบบที่เสียบได้ทั้งกลมแบน จะมีก็ตึกเก่า ๆ ที่มีแต่แบบขาแบนอย่างเดียว 
ที่จริงการเสียบปลั๊กได้หลายแบบมันอันตราย เพราะทำให้ป้องกันการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าผิดประเภทไม่ได้ 
แต่หลายประเทศก็ใช้กัน อย่างประเทศจีนยังมีแถมปลั๊กขาเอียงด้วยอีกแบบ 
CC-BY-SA 3.0 by Paul_012; Based on Brazilian plug types.jpg by Henrique (Ikescs) & Chinasocket.jpg by Lapin rossignol.
ตำนานปลั๊กไฟไทย (2) 
ต่อมาก็เริ่มเห็นอุปกรณ์ที่ใช้ปลั๊กขาแบนแบบมีสายดินมากขึ้น 
เช่นเดียวกับเต้ารับ 3 รู ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย/อินโดจีน (ที่จริงบราซิลก็มี) 
ทีนี้วันนึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติท้วงขึ้นว่า 
ประเทศไทยใช้ไฟฟ้า 220 V นะ ถ้าใช้ปลั๊กขาแบนตามแบบอเมริกาเหนือ/ญี่ปุ่น ซึ่งเขาใช้ไฟ 100-120 V เกิดใครไม่รู้เสียบอุปกรณ์ผิดขึ้นมามีหวังวอดวายกันหมด 
ไหนจะปลั๊ก Schuko ที่ใช้ในยุโรปอีก ถึงแรงดันไฟฟ้าจะเท่ากัน แต่ก็ต้องใช้กับเต้ารับแบบหลุมมีขั้วสัมผัสสายดินด้านข้างถึงจะปลอดภัย 
อีกอย่าง คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานสาขาอิเล็กทรอเทคนิกส์ (IEC) ก็เคยกำหนดมาตรฐานว่าไฟฟ้า 125 V ให้ใช้ปลั๊กขาแบน ส่วน 250 V ให้ใช้ขากลม 
CC-BY-SA 3.0 by Paul_012; Thai plug.jpg by Peebidj & Plugwash; CEE-7-7-Stecker 2.jpg by SomnusDe; BNSCT logo owned by BNSCT.
ตำนานปลั๊กไฟไทย (3) 
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเอาไปคิดอยู่พักใหญ่ 
จะเปลี่ยนไปใช้ตรงตามมาตรฐาน IEC เลย ก็ต้องลำบากวุ่นวายรื้อฝาบ้านอีก ขนาดยุโรปยังไม่ยอมเปลี่ยนกันเลย 
ก็เลยได้ข้อสรุปว่าต่อไปนี้อุปกรณ์ที่ต้องมีสายดินจะให้ใช้ปลั๊กแบบใหม่ เป็นขากลมแบบยุโรป แต่มีขาสายดินตามแบบอเมริกา จะได้เสียบกับเต้ารับลูกผสมที่ใช้กันอยู่แล้วได้ 
สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่มีสายดินก็ให้ใช้เฉพาะแบบขากลม ส่วนเต้ารับไฮบริดนี่ก็ใช้ไปก่อนได้ แต่วันหลังต้องเลิกใช้ ปลั๊กขาแบนก็เหมือนกัน 
ทั้งนี้ก็ได้กำหนดไว้ใน มอก. 166-2549 และบังคับใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานบังคับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 แล้วด้วย 
CC-BY-SA 3.0 by Paul_012; Based on images by Chensiyuan; Khind Artwork; LG전자, Li-sung, Ma8thew, Qurren & VeloBusDriver. TISI logo owned by TISI.
ตำนานปลั๊กไฟไทย (4) 
สรุปอีกทีก็คือ ปัจจุบันนี้ปลั๊กไฟที่ถูกต้องตามมาตรฐานในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบบ คือ (1) ปลั๊กขากลม 3 ขา มอก. 166-2549 ซึ่งไม่ซ้ำกับประเทศอื่น และ (2) ปลั๊กขากลม 2 ขา สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ต้องมีสายดิน ส่วนปลั๊กขาแบนที่มีอยู่แล้ว ก็อนุโลมให้ใช้ไปก่อน 
แต่สุดท้ายแล้วยังไงก็คงต้องรอดูกันอีกทีว่าสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้บังคับ ผู้ผลิตจะปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐานใหม่กันเมื่อไร 
This work by Paul_012 is licensed under a Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 Thailand License.

Full image credits:

1 October 2011

ขออนุญาตบ่น เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก

เนื้อความในเอ็นทรีนี้ ได้เคยโพสท์ในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ยังไงขอโพสท์ซ้ำไว้อีกทีนะครับ


วันนี้ (28 กันยายน) เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลกครับ

การดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้านี่น่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาอันดับต้น ๆ อย่างหนึ่งของบุคลากรทางสาธารณสุขทั่วประเทศก็ว่าได้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะอย่างที่ทราบกัน ว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง เป็นแล้วตายสถานเดียว ไม่สามารถรักษาได้

ทั้งนี้ใน พ.ศ. 2553 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้าถึง 15 ราย (ยังดีกว่า พ.ศ. 2552 มี 24 ราย ส่วน พ.ศ. 2551 มี 16 ราย) ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า จะเป็นเพราะไม่ตระหนักถึงอันตรายและไม่ได้ไปรับบริการทางสาธารณสุข แต่ความจริงแล้วทุกวันนี้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศก็ยังมีปัญหาให้การดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้าได้ต่ำกว่ามาตรฐาน

เพราะในปัจจุบัน มาตรฐานทางการแพทย์โดยคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก กำหนดว่าผู้ที่ถูกสัตว์ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วนผิวหนังจนมีเลือดออก หรือเลียปากเลียตา จำเป็นต้องได้รับการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยการฉีดวัคซีนและอิมมูโนโกลบุลิน (เซรุ่ม) ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทันที ทุกกรณี (เพราะการป้องกันด้วยวัคซีนอย่างเดียว อาจไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เร็วพอที่จะป้องกันโรคได้)

แต่ทุกวันนี้โรงพยาบาลชุมชน สถานพยาบาลขนาดเล็กทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ไม่มีอิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่ในคลังยาโรงพยาบาลด้วยซ้ำครับ แปลว่าคนไข้ที่ถูกสุนัขกัดมาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ อาจต้องเอาใบส่งตัวเดินทางไปอีกหลายสิบกิโลเมตร เพื่อรับการฉีดอิมมูโนโกลบุลิน

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า มักประสบภาวะขาดแคลนอยู่เรื้อรัง บางครั้งทั้งจังหวัดไม่มียาจะฉีดให้ สุดท้ายผู้ป่วยก็ได้รับการป้องกันแค่วัคซีน แล้วก็ต้องลุ้นเอาไม่ให้สุนัขเป็นโรคพิษสุนัขบ้า หรือไม่ก็ขอให้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ทันก่อนที่เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง

ซึ่งหากจะมองว่านี่เป็นความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขในการจัดหายาที่มีความจำเป็น ก็คงมีส่วนถูก แต่ก็คงจะเป็นการมองปัญหาที่ปลายเหตุเกินไปอยู่ เพราะคนถูกสุนัขกัดกันทุกวี่ทุกวันขนาดนี้ (ยกตัวอย่างสถิติผู้ป่วยที่มารับบริการห้องฉุกเฉิน รพ.จุฬาลงกรณ์ เดือน ส.ค. 2553 มาด้วยเหตุสุนัขกัดมากเป็นอันดับ 3 ถึง 80 ราย รองจากตกที่สูง/หกล้ม และอุบัติเหตุจักรยานยนต์) การจะทุ่มทุนเลี้ยงม้าเพื่อเจาะเลือดมาปั่นเซรุ่มให้ทันตามจำนวนผู้ป่วยที่ถูกสุนัขกัด สุดท้ายก็คงกลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ความจริงแล้วการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคนที่ได้ผล ต้องมาจากการควบคุมโรคในสัตว์ที่เป็นพาหะ ซึ่งในกรณีสุนัข ก็คือการจัดให้สุนัขทุกตัวได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะการถูกกัดโดยสัตว์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (สุนัขได้รับวัคซีนครบต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี ตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน โดยเลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีอาการผิดปกติ และสามารถสังเกตอาการได้) ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรืออิมมูโนโกลบุลินป้องกันพิษสุนัขบ้า

แต่จากประสบการณ์ของตนเองที่จบออกมาปฏิบัติงานได้ปีกว่า ดูแลผู้ป่วยถูกสุนัขกัดไปก็น่าจะร่วมร้อยราย ต้องบอกว่ายังไม่เคยพบสักรายที่ยืนยันได้ว่าสุนัขที่กัดมีความเสี่ยงต่ำ

ทั้ง ๆ ที่พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 ก็กำหนดให้ผู้เลี้ยงสุนัขมีหน้าที่ต้องพาสุนัขไปฉีดวัคซีน หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาทแท้ ๆ

คงเป็นเพราะแนวทางการป้องกันโรคโดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าของสุนัขนี่มันเอาอย่างมาจากกลุ่มประเทศตะวันตก จึงไม่สามารถนำมาใช้ในบ้านเราได้ผลมั้งครับ

ผมเองก็คงคุ้นเคยกับระบบของต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จากที่เห็นในภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Lady and the Tramp (ทรามวัยกับไอ้ตูบ) และที่อื่น ๆ ว่าสุนัขจะต้องมีเจ้าของ จดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราว และมีเครื่องหมายแสดง เพื่อมีผู้รับผิดชอบทั้งต่อตัวสุนัขเองและต่อสังคมเวลาสุนัขไปทำอะไรเข้า

แต่สำหรับเมืองไทยเรา คงคาดหวังอย่างนั้นไม่ได้ ในเมื่อค่านิยมของสังคมเรานั้นบอกว่าต้องมีน้ำใจ มีเมตตาต่อสัตว์ และเชื่อว่าการให้อาหารสัตว์จรจัดเป็นการทำบุญทำกุศล ขณะที่ไม่ประสงค์จะรับผิดชอบในด้านอื่น ๆ เพราะไม่ต้องการเป็นเจ้าของชีวิต

ผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่า แต่ถ้าใช่ ผมก็คงไม่เข้าใจว่าถ้ามีเมตตาต่อสัตว์แล้ว การมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์จะด้อยความสำคัญกว่าได้อย่างไร

เพราะเห็นคนจำนวนมากเหลือเกิน ที่ให้อาหารสุนัขข้างถนนด้วยความปิติยินดี แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างเฉยชาเวลาที่สุนัขไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น (จะกัดเขาหรือขี้หน้าบ้านเขาก็ตามแต่) ไม่ต้องพูดถึงพาไปฉีดวัคซีน หรือทำหมันเพื่อควบคุมประชากร

ซึ่งเท่าที่สังเกต ก็ไม่น่าเกี่ยวกับระดับเศรษฐฐานะหรือการศึกษาด้วย เพราะในหมู่คนรู้จักในกลุ่มชนชั้นกลางค่อนไปทางระดับบน ต่างก็มีปัญหากับเพื่อนบ้านด้วยเรื่องการให้อาหารสุนัขกันทั้งนั้น บางคนเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดี ๆ ในบ้าน ให้การดูแลอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็ให้อาหารสุนัขข้างถนนหน้าปากซอยโดยไม่สนว่าจะไปกัดใครหรือเปล่า ก็ไม่เข้าใจ

เอาง่าย ๆ จากเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนจำนวนมากแสดงความเดือดร้อนกันมากมายกับการจับสุนัขจรจัดไปขายเป็นอาหาร และก็ได้มีการแสดงน้ำใจโดยการบริจาคเงินช่วยเหลืออย่างมหาศาล แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าในหมู่ผู้ที่บริจาคเงินไปมากมายนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเต็มใจช่วยเหลือให้สุนัขเหล่านั้นได้มีที่อยู่ดี ๆ อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่บริจาคหรือได้ให้อาหารก็พอใจ แล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้สุนัขเหล่านั้นกลายเป็นภาระของหน่วยงานที่ต้องรับไปเลี้ยง ของพระที่ต้องคอยกวาดขี้หมาบนลานวัด ของระบบสาธารณสุขที่ต้องแบกรับค่ายาค่ารักษาพยาบาล (ซึ่งก็มาจากภาษีของประชาชน) และของคนอื่น ๆ ในสังคมต่อไป


ป.ล. ในประเด็นค่ายา ลองพิจารณาว่าอิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าขนิดที่ได้จากม้าซึ่งผลิตโดยสภากาชาดไทย มีราคาอ้างอิงจัดซื้อปกติ (โดยศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข) อยู่ที่ค่ามัธยฐานหลอดละ 720 บาท ในคนน้ำหนัก 50 กก. จะต้องได้รับยา 2,000 หน่วยสากล หรือ 2 หลอด เฉพาะค่าอิมมูโนโกลบุลินที่ต้องเสียไปกับการถูกสุนัขกัด 1 ครั้ง ก็เกือบ 1,500 บาทแล้ว ยิ่งถ้าเป็นชนิดที่ได้จากมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในกรณีที่แพ้อิมมูโนโกลบุลินจากม้า (หรือในประเทศที่พัฒนาแล้วใช้เป็นมาตรฐาน เพราะเลิกใช้แบบที่ได้จากม้าแล้ว) ราคาอ้างอิงเฉลี่ยอยู่ที่หลอดละ 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งคนน้ำหนัก 50 กก. จะต้องได้รับ 1,000 หน่วยสากลหรือมากกว่า 3 หลอด หรือคิดเป็นเงินร่วมหมื่นบาท ยังไม่นับค่าบริการทางการแพทย์และยาอื่น ๆ

ที่อิมมูโนโกลบุลินชนิดที่ได้จากม้าขาดแคลน ส่วนหนึ่งก็เพราะบริษัทยาต่างประเทศส่วนใหญ่เลิกผลิตแล้ว จึงทำให้มีภาวะขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งสภากาชาดไทยไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ ถ้าลองคิดดูว่าจะใช้อิมมูโนโกลบุลินจากมนุษย์เหมือนมาตรฐานของต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพ้ยา ก็คงต้องใช้ต้นทุนรักษาสุนัขกัดครั้งละเป็นหมื่น เดือนหนึ่งใน รพ.จุฬาฯ แห่งเดียวมีผู้ป่วย 80 ราย ก็คงไม่ต้องคิดนะครับว่าถ้านับผู้ป่วยทั้งประเทศ รัฐจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย ยังไงก็คงต้องใช้อิมมูโนโกลบุลินจากม้าที่ราคาถูกแต่หาซื้อไม่ได้ต่อไป

24 July 2011

To the STS

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ยานขนส่งอวกาศ Atlantis ก็ได้ลงจอดที่ศูนย์อวกาศเคนเนดีเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการจบภารกิจ STS-135 และตำนานสามสิบปีของยานขนส่งอวกาศ (Space Shuttle) ของสหรัฐฯ ในที่สุด

สำหรับผมเอง ยานขนส่งอวกาศนี้นับได้ว่าเป็น... ไม่รู้ภาษาไทยจะแปลว่าไงดี: subject of limitless childhood fascination เลยทีเดียว และผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนก็คงเติบโตมากับภาพและเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้เช่นเดียวกับผม และก็คงรู้สึกผูกพันกับเจ้ายานนี้ไม่ต่างกัน

ในบรรดาความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของมนุษย์ในการเยือนห้วงอวกาศ โครงการยานขนส่งอวกาศนี้อาจไม่ได้เป็นบทจารึกอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าในการดำเนินโครงการตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาย่อมมีปัญหา (ไม่เฉพาะกรณีอุบัติเหตุของทั้งชาเลนเจอร์และโคลัมเบีย) ความผิดหวังกับนาซาและโครงการฯ เองก็มาก แต่สำหรับคนรุ่นผม เหนือกว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เหนือกว่าบทบาทในการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ สิ่งที่ทำให้ยานขนส่งอวกาศแตกต่างจากตำนานการพิชิตดวงจันทร์ของโครงการอะพอลโล หรือการเดินทางอันยาวไกลของยานวอเยเจอร์ คือการที่เราโตมากับมัน

ขวาล่างในภาพด้านบน เป็นแบบร่างงาน "ART ED" ของผม ที่เขียนขึ้นใหม่จากความทรงจำ ART ED เป็นชิ้นงานสุดท้ายในวิชาศิลปะตอน ม.1 ซึ่งอาจารย์กำหนดให้วาดอะไรก็ได้ (?) ประกอบข้อความดังกล่าว ซึ่งชิ้นงานที่ผมส่งไปก็มียานโคลัมเบียปรากฏอยู่เป็นองค์ประกอบหลักอย่างที่เห็น และก็เป็นงานศิลปะ ม.1 ของผมชิ้นเดียวที่ได้คะแนน A+ และได้ให้อาจารย์เก็บไว้เป็นตัวอย่าง/แรงบันดาลใจ (?) แก่รุ่นน้องต่อไป จึงไม่มีตัวชิ้นงานต้นแบบเก็บไว้เอง (ความจริงจำรายละเอียดของภาพได้น้อยมาก ที่วาดมานี่มั่วเอาซะส่วนใหญ่)

ยังไงก็ต้องขออวยพรให้กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมพัฒนาโครงการยานขนส่งอวกาศนี้อีกครั้ง ตลอดจนไว้อาลัยให้กับนักบินอวกาศที่เสียชีวิตทั้งสิบสี่คน หวังว่าประวัติศาสตร์ที่จบบทลงในวันนี้ จะพลิกหน้าไปสู่อีกก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติต่อไป

Last edited: 2011-07-24 01:37

19 June 2011

Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.

Note: Pure opinion, strictly unresearched.

So by the fourth of July we should see if Pheu Thai [sic] does score a landslide majority in the upcoming general elections. It should also be interesting to see where those disillusioned with Abhisit take their votes (though I doubt they'd make a real impact). What really matters, though, is what happens next: How long until the PAD (so-called People's Alliance for Democracy) stage their next protest? Will they regain any of the supporters they lost, the anti-Thaksin sentiment which originally formed their core agenda having been overtaken by zealous ultranationalism, and their leadership having confirmed the irony of their chosen name by directly opposing the electoral system? What about the Red Shirts? How will their movement hold out in the long term, given their hodgepodge membership of Thaksin-lovers, intellectuals and fanatics? How will the Pheu Thai, if elected, set about bringing Thaksin home, and when?

It probably is really too early to be asking these questions, given that we're still two weeks ahead of election day, but the composition of the Red Shirt movement is something worth discussing nevertheless.

Main question: How did leftists come to be part of the Red Shirts anyway, let alone assuming major roles in their leadership?

Actually, any presence at all of the left in the politics of Thailand is something, although not new, rarely heard of. Anti-absolutist sentiment leading up to the 1932 revolution achieved civilian government, but that didn't last long against competing military powers. While the post-World War II era saw the spread of Marxist ideologies and the toppling of military government in the 1973 uprising, the social polarity that followed, marked by the 1976 massacre, drove the left out of mainstream politics for good, and the movement waned as the Communist Party dissolved. Although talk of social and political reform followed 1992's Black May and the military withdrew from politics, no strong left movement emerged, even with the 1997 constitution.

I earlier observed that the problem with calling the PAD "right-wing" is that it incorrectly implies the opposite for their rivals. Now despite all the left-wing presence and grassroots participation among the Red Shirts, this plainly is not the case. At its core the Red Shirts (UDD if you will) was, and is, a pro-Thaksin movement, and Thaksin is about as right-wing one can get without being downright fascist. The populist social welfare policies that earned his followers' devotion conveniently served to firmly cement his power. The system's checks and balances were ultimately undermined, civil rights and government accountability thrown into the wind. It is therefore rather amazing that several "October persons" (a term referring to members of the 1973 and 1976 movements) have aligned themselves with his supporters.

Amazing though perhaps understandable. Against the military which ousted Thaksin, this alliance could be seen as a united struggle against a common foe, and Thaksin does have the legitimate claim of popular support through elections. Also important, though unspoken (or rather, unspeakable), is the shared republican agenda formally denied but not-so-secretly known to be harboured by Thaksin, which also serves as a rallying flag for the self-proclaimed royalist PAD, and the antagonism helps keep the alliance alive. (Now how Thaksin managed to undermine generations-old royalist propaganda is rather perplexing.) Abhisit's handling of the May 2010 military crackdown further prompted sympathisers to the Red Shirts' cause, and since no one is currently blocking the streets of Bangkok, the anger of undecided middle-class Bangkokians seems to have eased somewhat.

Once Thaksin is back in the spotlight, though, the movement's integrity might start shaking. It is unlikely that the left-wing intellectuals among the Red Shirts would continue supporting Thaksin if he resumes his pursuit of autocratic power, and how long his rural supporters will continue supporting him is also open to question. One thing the combined Red Shirt movement has achieved, however, is the mobilization of the rural population, having made them realise that their voices do matter, that they do have a say in the country's politics. This alone is unprecedented; during the 1973 uprising it was the students who campaigned in the name of the people. Now the people are beginning to do so themselves. For now they may still be driven by a leadership that is not of their own, but once they gain momentum, they will be a force to be reckoned with.

And we shall see on whose side they are.

17 May 2011

อารมณ์ชั่ววูบของสังคมออนไลน์ | ล้อมคอกแล้วเปิดประตูทิ้งไว้

เกือบห้าเดือนผ่านมาแล้วนะครับสำหรับเหตุการณ์อุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถตู้บนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ เป็นเหตุให้มีผู้โดยสารรถตู้เสียชีวิต 9 คน ตลอดจนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง¹

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บังเอิญผมได้พบเห็นเหตุการณ์และบทสนทนาที่กล่าวถึงประเด็นนี้อยู่ประปรายในโอกาสต่าง ๆ กัน จึงอยากจะขอย้อนกลับไปมองอีกที ว่าเราเห็นอะไรจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบ้าง

ที่น่าจะเห็นได้ชัดที่สุด ก็คงเป็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของชุมชนออนไลน์ภาษาไทย ที่เหมือนว่าเกือบทั้งหมดจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนพายุอารมณ์ที่ตนได้ปล่อยปะทุขึ้นอย่าง [remarkable] ในคืนนั้นและช่วงวันที่ตามมาไปแล้ว

เหมือนจะน่าเหลือเชื่อ แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ข้อมูลที่ได้รับทราบมาอย่างจำกัด เมื่อผ่านการปรุงแต่งและแรงยุยงสะสมต่อ ๆ กันเพียงชั่วครู่ จะทำให้คนเป็นแสนคนใช้อารมณ์ตัดสิน และเปลี่ยนอารมณ์นั้นเป็นความเกลียดชัง จนร่วมกันตราหน้าผู้กระทำผิด แปลออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออย่างรุนแรง ได้อย่างพร้อมเพรียงกันขนาดนี้

และก็ยังน่าแปลกใจน้อยลงไปอีก ที่ชุมชนเดียวกันนั้นเอง จะพากันลืมพายุที่ตนก่อขึ้นและปล่อยให้มอดดับไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน (ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ) เพียงถ้าจะมองว่าทั้งหมดนั้นมันคือ "อารมณ์ชั่ววูบ"

แม้อาจจะมีบางคนที่ถามถึงความคืบหน้าในคดีอยู่ ณ เวลานี้ ยังคงมองว่าผู้กระทำผิด (ซึ่งที่จริงแล้วความผิดของเขาคือการขับขี่รถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต ร่วมกับประมาท² จนเกิดอุบัติเหตุ) คือฆาตกรที่สังคมต้องตามล่าจนถึงที่สุด แต่ผมหวังว่าคนส่วนใหญ่ จะได้ใช้เวลาที่ผ่านมา ปล่อยให้อารมณ์สงบลง และหันกลับไปมองเหตุการณ์ที่ผ่านมาเสียใหม่ และตั้งคำถามว่า "เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ และจะทำอะไรเพื่อแก้ไขได้บ้าง?"

และอย่างน้อยผู้จัดทำ Facebook Page ที่มีคน Like กว่าสามแสนคนนั้นก็ได้พยายามส่งเสริมให้ใช้พลังที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา โดยกล่าวว่า

Facebook Page วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพจในครั้งนี้ จัดตั้งขึ้น เพื่อความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างสรรค์สังคม มิได้มีเจตนาประสงค์ โจมตีหรือ ให้ร้าย บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเพื่อหาแนวทางป้องกัน อุับัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียของบุคคลในครั้งนี้ รวมทั้งทางเพจมิได้เจตนาหลบหลู่ และกล่าวหาบุคคลใด หรือหมิ่นสถาบันใด ๆ สถาบันหนึ่ง และ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น จึงขอประกาศทราบและเข้าใจโดยทั่วกัน

ยังไงก็คงดีกว่าสภาพที่คุณ @trangs กล่าวไว้ใน Twitter ว่า TL วันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วย คนด่าแพรวา คนสงสารแพรวา คนด่าคนด่าแพรวา คนด่าคนสงสารแพรวา คนเสนอทางออก คนด่าคนเสนอทางออก มั้งครับ

เพราะแม้ว่าผมจะคิดแทนผู้ที่สูญเสียครอบครัวจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่จะไม่ลืมมากที่สุด) ไม่ได้ แต่ผมก็เชื่อว่าการเรียนรู้ แก้ไข และพัฒนา จะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังประสงค์ร่วมกัน

ส่วนเรื่องความคืบหน้าในคดี ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ควรต้องดำเนินการติดตามต่อไป หากเพียงแต่เป็นเพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่การแก้แค้น ซึ่งผมจะไม่ขอวิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยเพิ่มเติม ณ ที่นี้


ในช่วงแรก ๆ หลังเกิดเหตุการณ์ มีสิ่งหนึ่งที่ผมดีใจที่เหมือนจะได้เห็นความพยายามแก้ไขปัญหา คือการจัดให้มีเข็มขัดนิรภัยในรถตู้โดยสาร³ แม้จะเข้าได้กับคำพังเพยไทยที่ว่าวัวหายล้อมคอก และก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็อย่างน้อยได้ทำอะไรเพื่อพัฒนาบ้างสักนิด ก็คงยังดีกว่าปล่อยให้ความสูญเสียนั้นสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

แต่ทว่าความสูญเปล่านั้นคงจะเป็นสภาพอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคมนี้กระมังครับ เพราะผมเองก็เพิ่งจะได้เห็นตอนขึ้นรถตู้เมืองทองธานี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าเข็มขัดนิรภัยที่ว่าถูกทำให้อยู่ในสภาพดังรูป

วัวหายแล้วล้อมคอกยังรับได้ว่าพยายามแก้ไข แต่ที่ไม่สมควรให้อภัยคือตั้งใจเปิดประตูคอกทิ้งไว้


  1. ถ้าจำไม่ได้ลองกลับไปอ่านดราม่าอันนี้
  2. ที่จริงในเชิงปรัชญาและจริยศาสตร์ การตีความผิดให้การประมาทนั้นคงมีประเด็นให้ถกเถียงได้มากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ก็ถือกันว่าเจตนาเป็นปัจจัยสำคัญของการกระทำความผิด
  3. ผมไม่ชอบใจมานานแล้วกับการที่รถตู้และรถโดยสารประจำทางไม่มีเข็มขัดนิรภัยให้ แต่ที่เกลียดและรำคาญกว่านั้นคือการที่รถแท็กซี่มีเข็มขัดนิรภัย แต่เ*ือกเอาขั้วล็อกเข็มขัดยัดเข้าไปใต้เบาะไม่ให้ใช้ กะว่าถ้ามีคันไหนที่คาดได้จะชมและทิปให้สัก 100% แต่ก็ยังไม่เคยได้เจอสักที

10 May 2011

นิทาน smartphone

คิดจะเขียนลงบล็อกสักพักแล้ว ด้วยแรงบันดาลใจจากเพื่อน ๆ และญาติ ๆ ผู้ใหญ่ที่ถามมาบ่อยครั้งถึงเรื่องราวที่มาที่ไปของระบบโทรศัพท์แสนฉลาดทั้งหลายแหล่ในปัจจุบัน (Android คืออะไร HTC เป็นใคร อันนั้นต่างจาก iPhone ยังไง ฯลฯ) ประจวบกับตอนนี้หมกมุ่นเรื่องโทรศัพท์หลังจากตัดสินใจพยายามขายต่อเครื่อง BlackBerry ที่ได้มาฟรี ขณะที่ยังมองว่า HTC Prophet (aka Dopod 818 Pro) ที่ใช้มา 5½ ปีนี้น่าจะใกล้ได้ฤกษ์ปลดระวางแล้ว (หลังเสียโฉมหนัก (กว่าเดิม) จากเหตุทำหล่นเป็นครั้งที่ประมาณ 5 ได้) จึงต้องหาที่ระบาย

เนื้อความในเอ็นทรีนี้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวและข้อมูลที่ฟังเขามาเป็นส่วนใหญ่ บวกกับหาข้อมูลเพิ่มเติมตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย (ความจริงคือเยอะเลย เพราะความรู้ไม่มี) มิได้ทำการทบทวนวรรณกรรมหรือค้นคว้ายืนยันข้อมูลโดยละเอียดแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ้างอิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยที่โทรศัพท์มือถือยังหน้าตาแบบข้างซ้ายนี้ (เราจะไม่ย้อนกลับไปกล่าวถึง Apple Newton กันนะครับ เกิดไม่ทันเหมือนกัน) ได้เริ่มมีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งขึ้นมา เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก สามารถพกพาและถือได้ด้วยด้วยมือเดียว และแสดงผล/ป้อนข้อมูลด้วยจอ LCD touchscreen ที่ใช้ stylus จิ้ม/เขียนเป็นหลัก ฟังก์ชันหลัก ๆ เป็นบันทึกการนัดหมาย สมุดโทรศัพท์ รายการสิ่งที่ต้องทำ ตลอดจนบันทึกทั่วไปเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัว จึงเรียกอุปกรณ์กลุ่มนี้ว่า personal digital assistant (PDA)

Palm V

ในประเทศไทย รู้สึกว่าจะเห็น PDA ที่เริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายตัวแรกคือ Palm V ซึ่งออกมาในปี 1999 (เปรียบเทียบ: Nokia 3310 เปิดตัวปลายปี 2000) Palm นี้เป็นยี่ห้อเครื่อง PDA ส่วนระบบปฏิบัติการ (operating system, OS) ของมันเรียกว่า Palm OS ซึ่งเวลาเอ่ยถึงมักเรียกเหมารวมว่า Palm หมายรวมถึงทั้งเครื่องของ Palm และผู้ผลิตยี่ห้ออื่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้ (หรือบางทีก็ใช้คำว่า Palm หมายถึง PDA โดยทั่วไปก็มี)

ก็นับว่า Palm เป็น PDA ที่บุกเบิกและครองตลาดได้อยู่หลายปี จนได้รับความนิยมในหมู่นักธุรกิจ มนุษย์เงินเดือน ที่มีตังค์ซื้อ ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อมีตลาด ก็ต้องมีผลิตภัณฑ์ของเจ้าอื่นทำมาแข่ง ที่เป็นคู่แข่งหลักก็คืออุปกรณ์ที่พัฒนาบนระบบปฏิบัติการ Windows CE ของ Microsoft ซึ่งเริ่มทำตลาดในชื่อ Pocket PC (PPC) (ต่อมาเปลี่ยนมาเรียกตัวระบบปฏิบัติการว่า Windows Mobile (WM) โดย Pocket PC หมายถึงตัวเครื่อง และต่อมาอีกก็เรียกว่า Windows Mobile หมดเลย) โดยก็มีผู้ผลิตหลายยี่ห้อ ที่ดูโดดเด่นหน่อยก็น่าจะเป็น iPAQ ของ HP/Compaq (เปรียบเทียบ: คอมพิวเตอร์ PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ก็มีผู้ผลิตเครื่องหลายยี่ห้อ เช่น HP, Dell, Acer เป็นต้น) ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้ง Palm และ Windows Mobile ก็มีการพัฒนาอุปกรณ์ ระบบปฏิบัติการ ฟังก์ชันการทำงาน ตลอดจนซอฟท์แวร์ที่ทำขึ้นมาใช้บนทั้งสอง OS มากและหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ

Nokia 3230

ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์มือถือก็มีการพัฒนาไปเช่นกัน Nokia 3310 ที่ได้รับความนิยมถล่มทลายนั้นมาพร้อม ๆ กับการปฏิวัติตลาดโทรศัพท์มือถือในไทยที่มีฐานผู้ใช้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ ก็มีความสามารถที่พัฒนาขึ้น ทั้งการใช้งานด้านมัลติมีเดีย การจัดการข้อมูล การเชื่อมต่อระดับ 2.5G ฯลฯ จนเริ่มจะกล่าวได้ว่าก้าวข้ามไปสู่ความเป็น smartphone คือเป็นโทรศัพท์ที่ "ไฮเทค" และมีความสามารถมากกว่าโทรศัพท์ธรรมดาทั่วไป Nokia 3230 ที่วางจำหน่ายต้นปี 2005 น่าจะเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian รุ่นแรก ๆ ที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง และความเป็นเจ้าตลาดมือถือของโนเกียนี้เองก็ผลักดันให้ Symbian กลายเป็น smartphone OS ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่จนสุดทศวรรษ

การที่โทรศัพท์มือถือพัฒนาเป็น smartphone ก็เกิดขึ้นขนานมากับการที่ PDA มีการพัฒนาให้ใช้โทรศัพท์ได้ ความจริงก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า PDA และโทรศัพท์จะมีพัฒนาการเข้าหากัน (convergence) เพราะต่างก็เป็นอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการที่ซ้อนทับกันอยู่ ทั้ง Palm และ Pocket PC ก็ต่างมี PDA ที่โทรศัพท์ได้ผลิตออกมา (แต่ในส่วนของ Treo ของ Palm ซึ่งได้รับความนิยมมากพอควรในสหรัฐฯ เห็นจะไม่ค่อยติดตลาดในไทย)

HTC Magician

Pocket PC ที่โทรศัพท์ได้ (PPC Phone Edition) ตัวแรกเข้าใจว่าจะเป็น HTC Wallaby (2002) ซึ่งในไทยจำหน่ายในชื่อ O2 Xda และต่อมาก็มีอุปกรณ์ที่ออกมาติดตลาดเรื่อย ๆ อย่าง HTC Magician (O2 Xda II mini) ที่ออกมาในปี 2004 กับจอ 2.8 นิ้วที่นำเทรนด์ขนาดเล็กพกพาสะดวก (ใส่กระเป๋าได้) ที่กลายเป็นมาตรฐานต่อมา และในช่วงนี้ Pocket PC ที่โทรศัพท์ไม่ได้ก็เริ่มหายไปจนกลายเป็นของหายาก ขณะที่เริ่มมี smartphone ที่ใช้ Windows Mobile ออกมาแพร่หลายมากขึ้น (ณ จุดนี้คำว่า PDA phone กับ smartphone ยังแยกได้โดยการแบ่งว่ามีหรือไม่มี touchscreen เป็นหลัก แต่เส้นแบ่งนี้ก็เริ่มจางลงเรื่อย ๆ)

ผมเองไม่แน่ใจว่าในไทยโดยทั่วไปแล้วเป็นเช่นกันหรือเปล่า แต่ที่อยู่ในคณะแพทย์ซึ่งกระแส PDA แรงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จะรู้สึกได้ชัดเจนว่าช่วงปี 2006-2008 นี้ Windows Mobile มาแรงมาก ๆ ขนาดที่ว่านักวิเคราะห์ตลาดทำนายว่า WM มีแนวโน้มจะแซง Symbian ได้ในไม่กี่ปี (คงจาก convergence ของอุปกรณ์ที่เริ่มลงตัวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่ง Wi-Fi, 3G, GPS, และกล้องถ่ายรูป ก็เริ่มกลายเป็นมาตรฐาน smartphone แล้ว) ส่วน Palm ถึงจุดนี้ได้เริ่มซาและสูญเสียผู้ใช้ จนตกกระป๋องไปเรียบร้อยในเวลาต่อมา

Then came the iPhone.

iPhone 4

ผมคงไม่พยายามอธิบายโดยละเอียดว่า iPhone ของ Apple ได้เข้ามาสร้างกระแสทะลุเพดานและพลิกโฉมตลาด smartphone อย่างไรบ้าง เพราะก็คงจะพอทราบกันอยู่บ้างแล้ว เอาเป็นว่าแม้ตอนที่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในสหรัฐฯ ช่วงกลางปี 2007 นักวิจารณ์จะยังกังขาในในความสามารถที่จำกัดของมันอยู่บ้าง แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น หน้าจอ capacitive touchscreen (ที่ใช้นิ้วสัมผัส) พร้อมเทคโนโลยี multi-touch (ที่ใช้มากกว่าหนึ่งนิ้วได้) และ user interface (UI, ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้) ที่เรียบลื่นและเข้าใจง่าย (ขนาดที่ทั้งยายและหลานวัยก่อนเข้าโรงเรียนต่างก็ใช้ได้) บวกกับสัมผัสทองคำของ Steve Jobs ก็ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูดถล่มทะลายอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ในช่วงต่อมายังมีผู้พัฒนา applications (app, โปรแกรมประยุกต์) สำหรับทำโน่นนี่เต็มไปหมดตั้งแต่เกมมากมายสุดจะจินตนาการ (น่าจะเคยได้ยินชื่อ Angry Birds?) จนถึง app ที่วิจารณ์ว่าเจ้าของขับรถห่วยแค่ไหน ซึ่งต่างสามารถซื้อและ/หรือดาวน์โหลดผ่าน Apple App Store ที่ปัจจุบันมีให้เลือกกว่า 300,000 apps และ Apple ก็ยังพัฒนาเครื่อง iPhone และระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นใหม่ ๆ ที่เพิ่มความสามารถ แก้ไขจุดบกพร่อง และราคาถูกลงออกมาเรื่อย ๆ ช่วยผลักดันให้ Apple แย่งส่วนแบ่งตลาด smartphone มาได้ก้อนใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว

ในไทยเอง กระแส iPhone เริ่มขึ้นช้าหน่อย เพราะกว่าจะมีจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (เริ่มโดย TrueMove กับ iPhone 3G) ก็ปี 2009 แล้ว แต่ไม่นานก็ทำเอาขบวน Windows Mobile ที่ยังมาแรงอยู่เริ่มจะเสียหลักจนตกรางตามในตลาดต่างประเทศไป (ถึงตอนนี้เส้นแบ่งระหว่าง PDA phone กับ smartphone ได้มลายหายไปแล้ว ส่วนหนึ่งคงด้วยความที่ iPhone วางตัวเป็นโทรศัพท์เป็นหลัก)

BlackBerry Bold 9000

ความจริงผู้ที่ช่วยแย่งตลาด Windows Mobile อีกรายก็คือ BlackBerry ของ Research in Motion (RIM)

ซึ่ง BlackBerry นี้เองก็มีมาหลายปีแล้วในตลาดอเมริกาเหนือ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถด้านการจัดการอีเมล โดยเฉพาะการเชื่อมต่อผ่าน Microsoft Exchange Server จึงเป็นที่นิยมในผู้ใช้กลุ่มธุรกิจห้างร้านที่ได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการติดต่อสื่อสารนี้ (เครื่อง BlackBerry ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BlackBerry OS จะว่าไปก็คล้ายกับ iPhone ตรงที่ฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ผูกกันโดยผู้ผลิตเดียว)

ช่วงหลัง RIM พยายามทำตลาดผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น ความสามารถในการติดต่อถูกเอามาใช้กับเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networking) มีการโฆษณาผ่านการสนับสนุนโดยคนดัง (celebrity endorsement) และ BlackBerry OS ก็ยึดส่วนแบ่งตลาดแซงหน้า Windows Mobile (ที่ยังพัฒนาช้ากว่า) ได้ในปี 2008 ขณะที่ในไทยเริ่มมีการให้บริการในปี 2009 จนกลายเป็นกระแสเห่อ/บ้า BlackBerry (BB) ของวัยรุ่นไทยและผู้ใหญ่ตอนต้นที่แรงตลอดปี 2010 ขนาดที่ว่าหลายคนต้องซื้อ BlackBerry เพื่อใช้ติดต่อผ่าน BlackBerry Messenger ไม่เช่นนั้นจะเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมชั้น/เพื่อนร่วมงานไม่ได้

ก็แปลกดีครับ จากอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อธุรกิจ กลายเป็นของเล่นของวัยรุ่นไทยที่เห่อมาได้ปีกว่าเห็นจะเริ่มซาแล้ว

แต่แม้ในต่างประเทศ BlackBerry ก็เจอศึกหนัก เมื่อกำลังจะตกเป็นเบี้ยล่างในศึกช้างสาร smartphone ชนกัน ซึ่งคู่ต่อกรของ Apple นั้นก็ไม่ใช่ใครครับ Google กับระบบปฏิบัติการ Android นั่นเอง

Google/Samsung Nexus S

Google ได้เปิดตัว Android ในปี 2007 โดยพัฒนาแบบ open source (ขอไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่ทราบเหมือนกัน) และมีเครือข่าย Open Handset Alliance เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตที่ร่วมกันผลักดัน หลังออกตัวเงียบ ๆ ช่วงปลายปี 2008 โทรศัพท์ที่ใช้ระบบ Android (ซึ่งใช้จอ touchscreen เป็นหลักเช่นเดียวกับ iOS และก็มีapps ที่ทำออกมาขาย/แจกผ่าน App Market ตอนนี้ถึงกว่า 100,000 apps แล้ว) ก็ถูกผลิตออกสู่ท้องตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดขายพุ่งพรวดพราดในปี 2010 และตอนนี้ก็ได้ชิงตำแหน่ง smartphone OS อันดับหนึ่งจาก Symbian ไปแล้ว

ในหมู่ยี่ห้อ smartphone ที่ใช้ Android นอกจากบางชื่อที่อาจจะคุ้นเคยกันมาจากตลาดโทรศัพท์มือถือทั่วไป (Motorola, Samsung, LG) คงไม่พ้นที่จะเห็นชื่อ HTC ซึ่งน่าจะปล่อยโทรศัพท์ Android ออกมามากที่สุดแล้ว อันที่จริง HTC เองเป็นผู้เล่นเก่าแก่ในสนาม PDA และ smartphone นี้ โดยเดิมทีนั้นเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ให้ผู้ขายเอาไปทำตลาด (ทั้ง iPAQ ส่วนใหญ่ และ Palm Treo บางรุ่น ต่างก็ผลิตโดย HTC เช่นเดียวกับ Pocket PC Phone ในตระกูล O2 Xda หลายรุ่น ซึ่งปรากฏตัวด้วยชื่อต่าง ๆ กันไปตามผู้จำหน่ายในแต่ละภูมิภาค) ต่อมา HTC เริ่มใช้ชื่อ Dopod ทำตลาดเอง และต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ HTC เป็นยี่ห้อผลิตภัณฑ์ด้วย ซึ่ง HTC นี้เองก็น่าจะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ Windows Mobile ออกมามากที่สุดตั้งแต่ช่วงบูมเมื่อปี 2006 เรื่อยมา

ในปัจจุบัน HTC ผลิต smartphone ออกมารองรับทั้ง Android และ Windows Phone (WP, ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ของ Microsoft ที่พลิกโฉมจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง) และด้วยทั้งจำนวนและยอดขาย ก็คงคาดหวังได้ว่าจะยังเห็นชื่อ HTC ติดตลาด smartphone ไปอีกอย่างน้อยก็พักใหญ่

การเจริญเติบโตของ Android smartphones ที่ผ่านมา ขณะที่ขับเคี่ยวกับ iPhone อยู่ตลอด ก็ทำเอา smartphones บน OS อื่นถูกเบียดลีบแบนไปตาม ๆ กัน BlackBerry เองแม้จะยังยึดฐานลูกค้าในสหรัฐฯ ได้อยู่ แต่ก็กำลังเสียยอดขายไปเรื่อย ๆ Windows Phone 7 ที่ออกมาใหม่นั้นถึงกับแป้กออกสตาร์ทแทบไม่ติด แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ Nokia ยังสู้สงคราม smartphone ไม่ไหว ประกาศสละเรือ ทิ้ง Symbian และหันไปใช้ WP แทน

ส่วนผู้บุกเบิกตลาดอย่าง Palm ก็ได้ใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายออกระบบปฏิบัติการใหม่ WebOS มาบนเครื่อง Palm Pre ในปี 2009 แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่าแป้ก และ Palm ก็ตกกระป๋องจริง ๆ และถูกขายให้ HP ไปเรียบร้อยแล้ว

ก็เห็นว่ากันว่าปีนี้สงคราม smartphone จะเหลือเวทีหลักอยู่แค่การขับเคี่ยวระหว่างเหล่าอุปกรณ์ Android กับ iPhone ส่วนแฟน ๆ Microsoft, Nokia, RIM และ HP ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะฮึดสู้กันไหวหรือเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไงก็ต้องอย่าลืมการต่อสู้ในอีกสนาม คือสมรภูมิ tablet นั่นเอง

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในวันนี้


ไป ๆ มา ๆ นิทานเรื่องนี้กลับยืดยาวกว่าที่คิดมาก อาจจะละเอียดเกินไปสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมบ้างนิดหน่อย ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ

ไหน ๆ แล้ว เกริ่นเรื่องสงคราม tablet แถมหน่อยก็ได้ ยังไงยังไม่ได้ตอบคำถามว่า iPad คืออะไร...

หลังประสบความสำเร็จถล่มทลายกับ iPhone แล้ว Steve Jobs ก็เอาสัมผัสทองคำไปแตะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ Microsoft ทำแป้กมานานแล้ว คือ tablet computer แล้วก็เสกให้กลายเป็น iPad ที่หน้าตาเหมือน iPhone ขยายขนาดแต่โทรศัพท์ไม่ได้ และแม้ทีแรกนักวิจารณ์จะต่างมองว่ามันไม่น่ามีที่ใช้ แต่สัมผัสทองคำของ Jobs ก็ทำให้ผู้คนตระหนักขึ้นมาว่าต้องการอุปกรณ์ชิ้นนี้และแห่แหนไปซื้อกัน

ทีนี้ผู้ท้าชิงก็เริ่มตามมา ขณะที่ iPad ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS เช่นเดียวกับ iPhone นั้น Android ก็มีเวอร์ชัน tablet ออกมา ส่วน HP ก็เห็นว่าจะพัฒนา WebOS เพื่อใช้บน tablet เช่นกัน ก็คงต้องดูกันต่อไป


ว่าไปแล้วทั้งหมดทั้งปวงที่เล่ามานี้ก็แค่ช่วงระยะเวลาสิบปีเศษเท่านั้นเอง บอกทีแรกใครจะเชื่อว่าอะไร ๆ จะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ แต่ก็อย่างที่ใครบางคนบอก ว่าอัตราการพัฒนาของเทคโนโลยีนั้นเป็นแบบ exponential

แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีปัจจัยชะลอการพัฒนาที่ว่าอยู่อย่างหนึ่ง คือตังค์ในกระเป๋าที่ไม่มีจะซื้อของใหม่นั่นเอง จะเปลี่ยนกันเร็วไปไหน~


Image credits:

21 March 2011

SuckSeed ヘタクソ

SPOILER ALERT: หากท่านวางแผนจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำให้เก็บเอ็นทรีนี้ไว้อ่านทีหลังเพื่อรักษาอรรถรสในการรับชม

ไปดูมาแล้วครับ ภาพยนตร์เรื่อง SuckSeed ห่วยขั้นเทพ ทีแรกก็ไม่ได้กะจะเอามาเขียนต่อหรืออะไร แต่อารมณ์ค้าง ความคิดแล่นเตลิด (flight of ideas)¹ เต็มไปหมด เลยต้องหาที่ระบาย

ความจริงก็ได้เห็นลิงก์ตัวอย่างภาพยนตร์ (trailer) เรื่องนี้ในทวิตเตอร์ (Twitter) มาพักใหญ่ แต่ตอนนั้นแอบใช้คอมพิวเตอร์ราชการที่ไม่มีลำโพงอยู่ เลยยังไม่ได้ดู พอมาตามดูช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ก็คิดอยู่ว่าน่าสนใจ แต่ก็นึกถึงประเด็นที่โพสท์ในทวิตเตอร์ว่า ภาพยนตร์ GTH ที่มีตัวละครเป็นนักเรียน ม.ปลาย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดนตรี การประกวด Hot Wave แล้วก็รักวัยรุ่น นี่มันคุ้น ๆ? อยู่ด้วย²

พอช่วงวันที่หนังเข้าฉายเกิดเครียด ๆ กับเวรนิดหน่อย บวกกับเห็นพี่ก้อนพูดถึงในบล็อก เลยเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้รีบแจ้นไปดูทันทีที่ว่าง (เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ไปดูในโรง ถัดจากกวน มึน โฮ (เทศบาลนครที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของประเทศ (แทบ) ไม่มีภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม (soundtrack) ฉาย))

ก็อย่างที่เคยบอก ว่าดูหนังไม่เป็น ตอนปี 1 ก็ไม่ได้ลงเรียน Movie World ก็คงจะไม่ได้วิจารณ์อะไรอย่างที่คนดูหนังเป็นเค้าวิเคราะห์กันได้ ขอแค่ไล่เรียงความประทับ (impression) ส่วนตัวมั่ว ๆ มาแล้วกัน

ก็ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง (ความจริงเข้าไปช้าเป็นนาทีได้ ที่นี่เวลาเริ่มฉายไม่นับโฆษณาแฮะ) ก็รู้สึกถึงประเด็นแรกที่พี่ก้อนกล่าวถึงในบทความที่อ้างถึงข้างต้นอย่างชัดเจนเลยครับ ว่าหนังเรื่องนี้ทำมาสะท้อนประสบการณ์วัยเด็ก-วัยรุ่นของคนที่เกิดช่วงปี 1985±2 โดยตรง ซึ่งก็ไม่แปลกและคงเป็นความตั้งใจของผู้เขียนบท ซึ่งก็เห็นว่ามีเพื่อนของคนเขียนมาตั้งกระทู้ในพันทิปเฉลยว่าองค์ประกอบหลายอย่างของเรื่องนั้นดึงมาจากประสบการณ์จริงของเหล่าผู้แต่งโดยตรง ผมเองถึงจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมหลาย ๆ อย่างที่สอดคล้องกับตัวละครในเรื่อง (คือบ้านมีวิทยุแต่เปิดไม่เป็น แล้วก็ไม่ได้ชื่นชมแนวเพลงร็อคเท่าไร) ก็ยัง [identify] กับสิ่งแวดล้อมของตัวละครได้หลายอย่าง แล้วก็แอบอารมณ์ดีเดินออกจากโรงมาไม่น้อย (ถึงจะปวดฉี่สุด ๆ)

แต่กระนั้นก็ตาม ในรายละเอียดหลายอย่างผมยังรู้สึกว่ามันไม่แม่นอ่ะ อันนี้ผมนึกเปรียบเทียบกับในดีวีดีเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว ที่มีบทวิจารณ์ของผู้สร้างภาพยนตร์กล่าวถึงฉากเปิดที่ใช้เพลงสักวันฉันจะดีพอของบอดี้สแลม ว่าจริง ๆ แล้วตามเวลาในท้องเรื่องเพลงยังไม่ออก ในที่นี้เพลงด้วยรักและปลาทูของมอสในฉากแรก ๆ พอจะบ่งอายุของตัวละครที่อยู่ ป.6 ตามท้องเรื่องตอนนั้นได้ว่าต้องไม่เกินรุ่นเดียวกับเราแน่ ๆ (อัลบั้มนั้นวางจำหน่ายเดือนธันวาคม 1997) แต่ [pop culture references] ต่าง ๆ ที่หนังใช้เป็นเครื่องสะท้อนความทรงจำของผู้ชม และดูเหมือนจะมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งโยโย่ โรลเลอร์เบลด (อันนี้มันไม่ใช่เก่ากว่านั้นแล้วเหรอ หรือจำผิดเอง?) เกมเต้น การ์ดยูกิ ที่เรื่องนำเสนอในช่วงมัธยมปลาย จริง ๆ แล้วเป็นกระแสอยู่ตอนช่วง ม.ต้น ต่างหาก (เอ... หรือคิดไปคิดมา คือต้องการจะสื่อว่าคุ้งเห่ออะไรตามหลังชาวบ้านเค้าเป็นปี ๆ?)

อันที่จริงผมรู้สึกว่าองค์ประกอบย้อนยุค (retro) ต่าง ๆ ที่หนังนำเสนอ ดูจะชัดเจนมากกว่าในช่วงต้นเรื่อง เหมือนเป็นการปูพื้นให้คนดู (ในช่วงอายุ 24-28) ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครและฉากท้องเรื่อง ส่วนหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ลดความจำเพาะของเวลาลงมา แต่ก็ยังมีจุดให้สังเกตได้ว่าเวลาในเรื่องเหมือนจะกระโดดมาใกล้ปัจจุบันมากขึ้น อย่าง MSN Messenger 7.0 ที่มีฟังก์ชันเขย่าจอ (nudge) จริง ๆ แล้วก็เพิ่งออกมาเมื่อปี 2005 และแม้ผมจะไม่ได้สังเกตโทรศัพท์มือถือที่ตัวละครใช้ แต่ก็น่าจะพอบอกได้ว่าผ่านยุค 3310 ที่ครองโลกสมัยเราอยู่ ม.ปลาย มาแล้ว ขณะที่ยังบ่งว่ายังไม่ใช่ยุค iPhone และ [touch-screen smartphone] ในปัจจุบัน (เปรียบเทียบกับ [icon] ร่วมสมัย (contemporary) ที่อ้างถึงในหนังเรื่องอื่น เช่นเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networks) ในเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว กับรักมันใหญ่มาก ที่เปลี่ยนจาก Hi5 มาเป็น Facebook ตามยุคสมัย) นักร้องรับเชิญกับเพลงที่เลือกมาใช้ประกอบภาพยนตร์ก็เช่นกัน คือไม่ได้อิงตามช่วงเวลาท้องเรื่องที่จะเทียบจากอายุตัวละครโดยตรง (เพลง ...ก่อน กับ เลี้ยงส่ง ออกห่างกันถึง 11 ปี) แต่โดยรวมแล้วก็ล้วนเป็นเพลงที่คนในช่วงอายุเป้าหมายน่าจะเคยได้สัมผัส (ขนาดผมเองที่ไม่ฟังวิทยุยังรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเพลงเหล่านี้) และต่างเป็นเพลงที่ดังมากพอที่แม้จะไม่ได้เกิดในช่วงปีที่ว่า ก็น่าจะเคยได้ยิน

ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกุศโลบายที่จะช่วยให้หนังทั้งสั่นพ้อง (resonate) กับผู้ชมในวัยดังกล่าว ขณะที่ยังสามารถดึงดูดฐานผู้ชมที่กว้างออกไปอันรวมถึงวัยรุ่นปัจจุบันที่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญอีกกลุ่มได้หรือเปล่า น่าสนใจว่าสำหรับคนที่เกิดมาในยุคที่ไม่มีเทปตลับ (cassette) ขายแล้ว จะประทับใจส่วนไหนของหนังบ้าง แต่กระนั้นที่จริง [icon] ย้อนยุคในเรื่องหลายอย่างก็จำเพาะขนาดที่แค่เกิดทันก็อาจจะไม่ได้รู้จักด้วยซ้ำ ผมเองไม่ทันสังเกตเครื่องเล่นเกมคอนโซล (เข้าใจว่าตอนแรกเป็น Super Famicom? ที่จริงถ้าคิดตามประเด็นด้านบนมันควรจะเข้ายุค PlayStation แล้ว) แต่ปกการ์ตูนนี่ยังไงก็ไม่ [recognise] แน่ ๆ เพราะไม่ได้อ่าน

ภาพยนตร์ที่พยายามเล่นกับ [nostalgia] นี่คงไม่เปรียบเทียบกับเรื่องแฟนฉันไม่ได้ อาจจะไม่ผิดถ้าจะมองว่า SuckSeed กำลังพยายามดึงเอาความทรงจำของคนรุ่นเราออกมาอย่างที่แฟนฉันเป็นความหลังวัยเด็กของชาว Generation X แต่สำหรับ SuckSeed ประเด็นความหลัง (ที่อาจจะไม่ "โดน" ผู้ชมได้มากมายเท่า) คงไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดันหนังที่สำคัญเท่ากับในกรณีของแฟนฉัน

เขียนมาถึงตรงนี้ (ข้ามวันมา ถ้าไม่ค่อยต่อเนื่องอย่าแปลกใจ) ก็ต่อไม่ถูกแล้ว ขออนุญาตจบห้วน ๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ประเด็นอื่นที่ยังไม่ได้พูดถึงอีกก็มี

  • ฉากสนามบิน (setting อดีต) เคาน์เตอร์ Orient Thai เบรกอารมณ์สุด ๆ
  • ฉากโถฉี่หายไปไหน? (หรือเราไม่ทันสังเกตเอง?) (Edit: น่าจะเป็นตอนที่เจอนักร้อง arena ในห้องน้ำนะ ขอบคุณปัฏฐาครับ)
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ ทุ้มอยู่ในใจ แต่เสียง tenor สุด ๆ
  • มีเพลงบุษบาในแผ่น soundtrack ด้วย ไหงงั้น
  • ป.ล. เพิ่งรู้ว่าเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ของการบินไทย มี B747 บินด้วย
  • ป.ป.ล. ไหน ๆ เขียนมาในหัวข้อแล้ว เผื่อมีคนสงสัย ภาษาญี่ปุ่น katakana ในโลโก้ภาพยนตร์อ่านว่า hetakuso แปลว่า extreme clumsiness (หรือที่มีคนแปลในกระทู้พันทิปว่า ห่วย(อึจาระ)แตก

  1. ความจริงแล้ว flight of ideas เป็นอาการทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ในที้นี้นำมากล่าวเปรียบเทียบในเชิงขบขันเฉย ๆ
  2. อ้างถึงเรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

Last edited: 2011-03-25 15:24

29 May 2010

ปริญญา-ค่านิยม-สังคมไทย

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่าผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ได้เลิกเขียนบล็อกแต่อย่างใด เรื่องเก่า ๆ ที่ดองไว้ยังคงอยู่ใน to-do list รอวันที่จะได้ผุดได้เกิดต่อไป

ช่วงนี้ผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันก็กำลังมีเรื่องต้องวางแผนและเตรียมตัวเกี่ยวกับงานรับปริญญาอยู่พอควร ซึ่งก็มีรายละเอียดให้วุ่นวายหลายอย่างทั้งเรื่องลางาน การเดินทาง ตัดชุดครุย ฯลฯ แต่ลำพังการเตรียมตัวที่จำเป็นเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นปัญหายุ่งยากเท่ากับภาคเสริมที่เพิ่มเข้ามา ทั้งการนัดเพื่อน หาคนถ่ายรูป แต่งหน้าทำผม ฯลฯ ที่ดูเหมือนว่าด้วยค่านิยมของสังคมในปัจจุบัน ก็เกือบ ๆ จะกลายเป็นภาคบังคับไปอีกส่วนแล้ว

ผมเองปกติก็ว่าไม่ชอบทำอะไรตามกระแสเท่าไร แต่ก็ยังหวั่น ๆ อยู่เลยครับว่าถ้าไม่มีช่างภาพส่วนตัวเหมือนเพื่อน ๆ แทบทุกคนที่เจอตอนรับปริญญากันเมื่อสองปีก่อนนี่จะแปลกประหลาดขวางโลกไปหรือเปล่า ไม่รู้มัธยฐานของสังคมเค้าต้องเตรียมอะไรกันแค่ไหน

Case in point: บทความชุด Commencement Guideline ของคุณ puyisme ที่เว็บไซต์คณะกรรมการบัณฑิตจุฬาฯ (กบจ.)¹ เอามาลงไว้

คิดว่าถ้าเรียกการเตรียมตัวระดับนี้ว่าเป็นมาตรฐานชั้นหนึ่งของสังคมวัตถุนิยมในปัจจุบันก็คงไม่ผิดนัก (ขออภัยหาก offend - ไม่มีเจตนาเจาะจงว่าใคร แต่อยากกล่าวถึงค่านิยมของสังคมในภาพรวมเฉย ๆ) ซึ่งก็ไม่ได้คิดจะทำตามหมดนั่นอยู่แล้วล่ะ แต่อ่าน ๆ ไปแล้วก็ติดใจตะหงิด ๆ อยู่บางอย่าง

อย่างตรงการเชิญแขกผู้มาร่วมแสดงความยินดีนี่มัน... ยังไงนะ? ในความรู้สึกของผม ปกติแล้วงานที่จะมีการเชิญให้เข้าร่วมนั้นน่าจะต้องมีการเลี้ยงตอบรับ หรือให้แขกมีอภิสิทธิ์ได้เข้าร่วมในพิธีสำคัญบางอย่าง แต่ตรงนี้อย่าว่าแต่แขกเหรื่อมากมายที่ไหนเลย พ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่มีสิทธิ์เข้าหอประชุมเลยด้วยซ้ำ (ซึ่งผมก็สงสัยอยู่ว่าแล้วตกลงงานรับปริญญานี่จัดให้ใครนะ ไม่ใช่ว่าที่ทั่วไปมักถือกันว่าพ่อแม่เป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียนมา ก็ควรจะได้มีส่วนร่วมในงานพิธีนี้หรอกเหรอ)

หรืออย่างการมีผู้ดูแลที่แทบจะต้องคอยรับใช้ทุกอย่าง ซึ่งพาให้ผมนึกไปถึงคอลัมน์ Miss Manners ของ Judith Martin ที่เคยกล่าวถึงแนวโน้มของงานแต่งงานอเมริกันที่นับวันจะพลิกผันเป็นงานเติม ego ของเจ้าสาวที่มักเห็นเพื่อนเจ้าสาวเป็นทาสรับใช้และเห็นแขกเป็นบ่าวบริพาร (Miss Manners ยังกล่าวอีกว่ามักมีญาติสนิทเพียงไม่กี่คนที่จะอยากมีส่วนร่วมในงานรับปริญญาของบัณฑิตจบใหม่)

ความจริงเกือบทุกแง่ของการรับปริญญาตามแบบสมัยนิยมที่ว่านี้ ก็ดูจะคล้อยตามค่านิยมงานแต่งงานที่เห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งการเตรียมการเยอะแยะที่ว่า แล้วไหนจะการจัดฉากถ่ายรูปให้ดูดีเป็นพิเศษ ฯลฯ

ก็คงสอดคล้องกับความที่ว่าในสังคมไทย การรับปริญญาดูจะเป็นก้าวการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแต่งงาน

เพราะกระดาษแผ่นเดียวนี้มันเป็นทั้งใบอนุญาตให้มีตัวตนอยู่ในโลกการทำงาน เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล และสำหรับบางคนมันอาจเป็นใบเบิกทางที่เปิดให้ก้าวข้ามกำแพงแห่งชนชั้นได้ในที่สุด


  1. เคยบ่นว่าคำอย่างนี้ที่ควรจะทับศัพท์ตามรากบาลี (paṇḍita) ก็ดันใช้ราชบัณฑิตฯ

24 May 2009

โผล่ขึ้นมาหายใจ...

(ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ discuss กับใครบางคนวันก่อนว่าวาฬกับโลมาหลับยังไงแต่อย่างใด)

หายไปนาน ความจริงใช่ว่าจะยุ่งอะไรหรอก ออก วป. ที่จังหวัดปราจีนบุรีก็ว่าง ๆ ซะมาก จนเหมือนจะไม่ค่อยได้อะไร (เทียบกับที่อื่น) ที่ดองบล็อกเพราะขี้เกียจ และ/หรือ ไม่รู้จะโพสท์อะไรมากกว่า

เห็นเอ็นทรีก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่า 10 สัปดาห์ที่ผ่านมาสุขภาพจิตจะดีหน่อย คราวนี้ก็คงต้องลุ้นกันต่อ ว่ากลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงแล้วจะเป็นยังไง

เฮ่อ...

6 February 2009

Cubic Race 3 Teasers #1 & #2

กลับลงไปดูเอ็นทรีอันถัดจากอันข้างล่างแล้วก็สังเกตได้ว่าไม่เห็นจะได้เล่าอะไรให้คนอ่านรู้เรื่องเท่าไรเลย เอาเป็นว่าแปะนี่ไว้ให้ดูกันแล้วกัน (ความจริงคือถูกสั่งมา)

<a href="//www.youtube.com/watch?v=GzsQeFJhZXc">Cubic Race 3 - Teaser#1</a>

<a href="//www.youtube.com/watch?v=YUwBsmeARmw">Cubic Race 3 - Teaser#2</a>

ว่าแต่ทำไมอ๋อง+เกม ได้ขึ้นปกทั้งสองอันเลยเนี่ย?

3 February 2009

ไม่ได้สังเกตเล้ย...

ผมเป็นผู้บริโภคครับ...

สินค้าที่บริโภคที่จะพูดถึงในที่นี้ คือนมยูเอชทียี่ห้อโฟร์โมสต์ครับ

หน้าตาผลิตภัณฑ์ก็แบบในภาพนี่แหละครับ

เมื่อวานซืน (ดองบล็อก) ก็ดื่มครับ

แต่เอ๊ะ?

ทำไมมันแปลก ๆ...

เพราะด้านบนกล่องเขียนว่า "เขย่าก่อนเปิด" ผมก็เขย่าตามที่บอกไว้อย่างที่เคยทุกที

แต่ทำไมเสียงกระฉอกมันไม่เหมือนเดิม?

..?

อ๊ะ...

ปริมาตรสุทธิ 225 มล.

อ้าว...

ครับ ผู้บริโภคไม่ได้สังเกตเล้ย...

(ที่จริงก็เคยเห็นอยู่หลายครั้งหลากผลิตภัณฑ์แหละครับ แต่ครั้งนี้เป็นการประสบกับตัวเองแบบใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา)


เมื่อวานเพิ่งเห็นก่อสร้างที่คณะครุศาสตร์ ตรงสวนระหว่างอาคารสองฝั่ง รวมถึงบริเวณที่เคยมีร้านน้ำปั่นกับโรงอาหารอยู่ (แต่ร้านน้ำปั่นไม่ได้หายไปไหนหรอกนะครับ แค่ย้ายที่ไป (ความจริงยังไม่เคยกินเลยด้วยซ้ำ น้ำปั่นครุเนี่ย))

จะก่อสร้างอะไรกันนักหนานี่ พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจกันจริง

เรื่องของเรื่องก็คือเสียดายครับ สวนตรงคณะครุศาสตร์เป็นภูมิสถาปัตยกรรมภายในจุฬาฯ ที่ผมชอบเป็นอับต้น ๆ เลยทีเดียว ยังไม่นับว่าเป็นที่เดียวในมหาลัยที่นับได้ว่าเป็น quad

สงสัยทีนี้ต่อไปคงต้องจับตาดูสนามระหว่างอาคารไชยยศสมบัติซะแล้ว...