...คือสามสิ่งที่ส่งเสริมความแตกแยกของคนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
พูดถึงความแตกแยก ผมว่ามันเป็นธรรมชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งของสังคมมนุษย์ครับ
สิ่งมีชีวิตเราวิวัฒนาการมาบนหลัก survival of the fittest อย่างไร ก็ยังเห็นเงาสะท้อนของหลักที่ว่าแทรกซึมอยู่ภายใต้ความเป็นไปต่าง ๆ ของเราในปัจจุบันได้อย่างนั้น
ถึงแม้ว่าในกระบวนการสรรค์สร้างวัฒนธรรม มนุษย์จะได้พัฒนารูปแบบของสังคมเพื่อจำกัดผลกระทบของความแตกแยกไว้บ้าง ความแตกแยกเองก็ยังเป็น [defining element] หนึ่งที่แทรกอยู่ในทุกระดับของสังคม
การเมืองเอง มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อกดความแตกแยกในสังคมเอาไว้ ให้อยู่ในระดับต่ำพอที่จะให้สังคมดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และพัฒนาโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นได้* แต่นั่นก็หมายความว่าความแตกแยกยังเป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกกดเอาไว้อยู่ในหัวใจของการเมืองนั่นเอง
ประชาธิปไตยซึ่งอาศัยการเลือกตั้ง เป็นระบบที่สะท้อนความแตกแยกที่อยู่ในหัวใจของการเมืองได้อย่างชัดเจน... ยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ: ในระดับสูงสุดแล้ว การเมืองกำหนดกติกาไว้ว่าใครที่ชนะการเลือกตั้งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งทุกคนในประเทศต้องยอมรับ แต่ภายใต้นั้นก็คือความแตกแยกระหว่าง Democrats และ Republicans ซึ่งตบตีกันได้ตลอดปีตลอดกาล ถ้าย้อนลึกลงไปถึงการเลือกผู้แทนพรรคฯ ก็เห็นว่าในพรรคเดียวกันเอง ก็ยังตบตีกันเลือดสาดไม่น้อยกว่าในระดับประเทศ และก็เป็นเช่นนี้ย้อนลงไปถึงหน่วยย่อยที่สุดของสังคม
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าการเลือกตั้งทำให้เกิดความแตกแยก อย่างที่สภาวการณ์ชวนให้เข้าใจ เพียงแต่มันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความแตกแยกที่ซ่อนอยู่ภายในเท่านั้นเอง ก็นับได้ว่าเป็นเรื่อง [ironic] ไม่น้อย เพราะการเมืองนั่นแหละ ที่กดความแตกแยกนั้นเอาไว้ไม่ให้เห็นตั้งแต่แรก
ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ก็เป็นหัวใจหลักของการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันทำหน้าที่เป็นกรอบกำหนดขอบเขตของความสามัคคี ที่การเมืองจะต้องสร้างขึ้นมา เราจึงมักเห็น ได้ยิน และถูกส่งเสริมให้เชื่อในสังคมที่มีความปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในกรอบของชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี้
หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่ง ว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องกำหนดขอบเขตของความแตกแยก ที่จะ [project] ออกไปยังสังคมอื่นนอกเหนือจากของตน
จึงไม่น่าแปลกใจว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี่เอง ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบั่นทอนและบ่อนทำลายความรัก ความเข้าใจ และความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นได้บนโลกนี้ (ยังไม่นับว่าถ้ามีชีวิตนอกโลกอีก เรื่องราวอาจจะซับซ้อนยิ่งขึ้น)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้คำจำกัดความคำ สามัคคี ไว้ว่า
สามัคคี น. ความพร้อมเพรียงกัน, ความปรองดองกัน. ว. ที่พร้อมเพรียงกันทำ, ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำ, เช่น กฐินสามัคคี ผ้าป่าสามัคคี. (ป.; ส. สามคฺรี)
สังเกตนะครับ ว่าไม่มีอะไรที่พูดถึงการเกลียดคนอื่นเลยสักนิด
ความสามัคคีที่เราถูกปลูกฝัง ถูกโฆษณาชวนเชื่อกันมา ที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ รังแต่จะเป็นความสามัคคีจอมปลอมที่อ้างขึ้นเพื่อให้ร่วมกันเกลียดคนอื่น ให้ร่วมกันสู้รบกับศัตรู โดยที่มิได้คำนึงถึงความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะช่วยให้เราสามารถสรรค์สร้างความเจริญของสังคมมนุษย์ร่วมกันโดยพร้อมเพรียงและปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน เชื้อชาติหรือศาสนาอะไร
มนุษย์เราเดินทางออกห่างจากพื้นฐานเดิมของธรรมชาติมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังพยายามต่อสู้กับศัตรูต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอก โดยไม่เห็นถึงศัตรูที่แท้จริงที่อยู่ภายใน...
เมื่อไรนะ เราถึงจะหันมาพูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ได้เสียที