Showing posts with label Journalism. Show all posts
Showing posts with label Journalism. Show all posts

18 June 2005

รับน้อง... (ตามกระแสเปล่าเนี่ย)

ไอ้เรื่องนี้นี่มันดูจะร้อนแรงเสียเหลือเกิน... ขนาดไม่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็ยังมาให้ได้ยินอีก...

ที่จริงชักขี้เกียจ... แต่ไหน ๆ ก็สัญญาไว้แล้ว (ว่าจะมาเขียนเรื่องนี้)...

ตามจริงนะ ตอนแรกตอนที่มีปัญหา ที่ สกอ. ออก หนังสือที่ ศธ 0508/ ว 856มา นี่ก็เห็นแล้วอารมณ์เสียทีเดียว ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่ามันจะงี่เง่ากันไปถึงไหน... เพราะ

1. ใครที่ไหนมาบอกว่าไอ้คนที่ฆ่าตัวตายนั่นเป็นผลมาจากรับน้อง

2. แล้วถึงจะเกี่ยวข้องกันจริง ทำไมต้องให้อีกหลายแสนคนที่รับน้องแล้วไม่ฆ่าตัวตายมีปัญหาไปด้วย (ถ้าต้องฆ่าตัวตายจากการรรับน้องมิมีหวังต้องฆ่าตัวตายอีกหลายสิบครั้งเมื่อออกไปเผชิญชีวิตหรือ?) อย่างที่คนเล่นหุ้นแล้วฆ่าตัวตายกันบานเบอะ ไม่เห็นคิดจะสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์บ้าง?

แต่... เอาเถอะ... ยังไง ไอ้เรื่องนี้ มาคิดดี ๆ แล้วก็น่าเห็นใจหลายฝ่าย...

-----

อย่างแรก คงต้องเห็นใจความรู้สึกของครอบครัว ที่ต้องพบกับความสูญเสียอย่างที่ไม่คาดคิด ความจริงก็คงตำหนิครอบครัวไม่ได้ ที่จะตีโพยตีพายเอาว่าการรับน้องทำให้คนต้องฆ่าตัวตาย ก็ในเมื่อยังอยู่ในความโศก

ทีนี้ พอมีกระแสข่าวออกมา ก็คงต้องมองสื่อมวลชนเป็นสำคัญ... แต่ก็อีกน่ะแหละ สื่อก็เพียงแต่ขายข่าวไปตามงานของเขา เรื่องอะไรที่ขายออก ถ้าไม่ประโคมให้มันดัง แล้วจะทำธุรกิจอยู่ในตลาดได้อย่างไรกัน... ความจริง ถึงแม้สื่อจะเสนอข่าวโดยไม่ให้ความกระจ่างแก่สังคม ถึงแม้สื่อจะวาดภาพให้สังคมอย่างชัดเจนเหลือเกินว่าผู้ที่ตายนั้นเพราะเป็นเหยื่อของการรับน้อง ถึงแม้ว่าสื่อจะทำลายภาพพจน์ของกิจกรรมรับน้องที่ดีงาม (ไม่เช่นนั้นจะยังมีอยู่ในสังคมถึงปัจจุบันได้อย่างไร) โดยการเสนอแต่ด้านลบให้สังคมได้เห็น แต่การที่เรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวขึ้นมาก็คงไม่ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสีย... ความจริง กรณีนี้คงเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยให้ได้ชำระการจัดกิจกรรมรับน้องให้สวยงามและสร้างสรรค์ขึ้น อย่างที่ควรจะเป็น...

ทีนี้ ในส่วนของผู้บริหารในกระทรวงและมหาวิทยาลัย ถ้ามองดูแล้ว ก็น่าเห็นใจ และเข้าใจได้บ้างถึงความจำเป็นที่ต้องมีประกาศและมาตรการต่าง ๆ ออกมา เพราะอย่างที่ข้อความบางส่วนในหนังสือที่ ศธ 0508/ ว 856 กล่าวว่า ด้วยปรากฏว่า การจัดกิจกรรมสำหรับนิสิตนักศึกษาใหม่ในปีการศึกษานี้ ได้เกิดเหตุการณ์หลายกรณีดังที่ปรากฏในสื่อมวลชนต่าง ๆ จนก่อให้เกิดความวิตกกังวล... และ ... ขอให้ผมประสานมายังมหาวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมวลชนยุติลงโดยเร็ว และเป็นการกู้ภาพพจน์ของอุดมศึกษาไม่ให้ถดถอยลง... ก็สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการที่ออกมาดังกล่าว ก็คงเนื่องมาจากความเสียหายที่มีบางสถาบันก่อให้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้...

ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการที่ท่านเลขาธิการฯ ... เห็นควรให้มหาวิทยาลัย/สถาบันได้สั่งยุติกิจกรรมสำหรับปีนี้ลงตั้งแต่บัดนี้... หรือที่รองอธิการบดีฯ ... ห้ามจัดกิจกรรมที่ต้องค้างคืนในมหาวิทยาลัย... หรือ ... ไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมนิสิตนอกสถานที่... (น่าสงสารแพทกับพี่เบิ้ล... โดนลูกหลงไปส่วนนึง ทั้ง ๆ ที่นอกสถานที่ไปได้ 500 เมตร) แต่ก็คงต้องยอมรับว่าการที่ ... กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กำหนดนโยบายและมาตรการในการรับน้องใหม่และประชุมเชียร์ในสถาบันอุดมศึกษา... และทางมหาวิทยาลัยก็ได้กำหนดนโยบายการจัดกิจกรรมมาอย่างชัดเจน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี...

อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดจากกระแสข่าวเช่นนี้ในอนาคตได้บางส่วน...

และที่จริง กิจกรรมรับน้อง ก็รอการจัดระเบียบมาสักพักนึงแล้วมิใช่หรือ

ถึงแม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ถึงแม้จะทำให้หลายฝ่ายต้องเสียกำลังกาย กำลังใจไปฟรี ๆ ถึงแม้อาจจะทำให้งานที่บางคนทุ่มเทมานับเดือนนับปีต้องพังทลาย...

แต่ก็คงมีผลดีเกิดขึ้นบ้าง... ใช่ไหม?

-----

27 April 2005

คนไข้ VS หมอ... ญาติ VS โรงพยาบาล

เพื่อนบางคนมาเห็น post นี้อาจจะสงสัยว่าเกิดอารมณ์ค้างอะไรจาก dr/soc หรือไง... ก็ไม่ค่อยหรอก แต่เห็นสองสามวันนี้เป็นข่าวหลายเรื่อง เลยชักคันมือขึ้นมา...

ก็ไม่มีอะไรใหม่หรอก... เรื่องพวกนี้... ก็เป็นทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์-ผู้ป่วย ที่ยังไงก็คงหนีไม่พ้นการดิ่งเหวตามแบบสหรัฐฯ ไป... ในอนาคตไม่นานหมอทุกคนก็คงต้องทำประกันการถูกฟ้อง ก่อนตรวจคนไข้ก็ต้องเซ็นยินยอม คดีความพวกนี้เองก็คงจะเพิ่มจนมีทนายอีกกลุ่มที่ specialize ด้านนี้เป็นพิเศษ...

ฟังดูน่าเศร้าเนอะ... น่าเสียดายวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมา... แต่ในโลกทุนนิยมแบบนี้ ใครคิดว่าตัวเก่งนักก็ลองมาห้ามให้ได้แล้วกัน...

เอาเถอะ... ที่ผ่านมาไม่ใช่ประเด็นที่อยากพูดถึง...

ที่อยากจะพูดถึงคือ... ในศึกใหญ่เวทีนี้ ที่นับวันจะมีภาพออกไปให้ประชาชนเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ... ไหนล่ะ กรรมการ?

อย่ามัวนึกถึงกระบวนการยุติธรรมที่กว่าจะให้คำตัดสินเกี่ยวกับอะไรได้สักเรื่องต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ จนคนที่ติดตามข่าวอยู่ก็จำไม่ได้... เวทีนี้ ศาลไม่ได้ตัดสินอะไรในสายตาสังคมอีกแล้ว

กรรมการของเวทีนี้ คือ สื่อมวลชน ต่างหาก

ก็เวลาภาพที่ประชาชนทั่วทั้งประเทศเห็นจากความขัดแย้งข้อนี้มันมาทางไหน ก็ผ่านสื่อมวลชน ข้อสรุป ใครถูกใครผิด อะไรก็ตาม ถูกวาดให้โดยสื่อมวลชนทั้งสิ้น

แล้วสื่อมวลชนก็เป็นกรรมการที่เล่นตามกติกาและดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเสียเหลือเกิน...

ไม่ได้เจตนาเข้าข้างวิชาชีพที่ตนเองศึกษาอยู่นะ... (ถึงแม้อาจจะต้องมี bias ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม) แต่ดูข่าว "ศาลอาญายกฟ้องแม่น้องเซนต์ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท รพ.พญาไท 1" ที่ออกมาวันนี้...

ข่าวรายงานว่า ศาลสั่งยกฟ้องในคดีที่ รพ.พญาไท 1 ฟ้องหมิ่นประมาทนางดลพร ที่ออกทีวีพาดพิง รพ.เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว และตอนท้าย ก็มีบทสัมภาษณ์นางดลพรที่สะอื้นด้วยความตื้นตันขณะให้สัมภาษณ์ว่า "ต่อสู้มา 10 ปี ครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความยุติธรรมถึงศาล และสิทธิที่ผู้บริโภคควรได้รับ"...

งงไหมครับ... นางดลพรได้รับความยุติธรรมตามสิทธิที่ผู้บริโภคควรได้รับ... แล้วทำไมถึงตกเป็นจำเลยคดีหมิ่นประมาท?

ที่มาของเรื่องนี้ก็คือ... เหตุเกิดตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว ที่นางดลพรประสบปัญหากับโรงพยาบาล (จะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียด) ซึ่งหลังการต่อสู้กัน 3 ศาลแล้ว ศาลฎีกาตัดสินยกฟ้อง โรงพยาบาลไม่ผิด สาเหตุความพิการของบุตรชายไม่ได้เกิดจากความประมาทของแพทย์และโรงพยาบาล...

ถึงตอนนี้... กว่าศาลจะตัดสิน ภาพที่สื่อประโคมออกมาทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อไปขนาดไหนแล้ว... โรงพยาบาลตัดสินใจฟ้องกลับ (ตัดสินใจผิด เพราะลืมนึกถึงสื่อมวลชนนี่แหละ)

แต่พอศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง สิ่งที่ปรากฏให้ประชาชนได้เห็นกลับกลายเป็นการที่นางดลยาได้รับความยุติธรรมเป็นครั้งแรก หลังจากต่อสู้คดีมานับสิบปี... (ก็แปลว่าคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแรกที่ยุติไปแล้วนั้นไม่ยุติธรรมน่ะสิ?)

อย่างที่บอกตอนแรกนะครับ... ภาพของคดีที่ประชาชนเห็น คือภาพที่สื่อมวลชนเสนอให้... หากสื่อมวลชนต้องการให้ประชาชนเข้าใจประเด็นอย่างถูกต้อง ก็คงต้องให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างครบถ้วน...

แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าสื่อมวลชนเขาอยู่ได้ด้วยการขายข่าว... ประชาชนมากมายเองที่รับบริการสุขภาพจากแพทย์ ก็รู้สึกว่าแพทย์กุมชะตาชีวิตของเขาและครอบครัวไว้ หากเกิดอะไรผิดพลาดใครจะรับผิดชอบ? (ถึงแม้ทุกคนเองก็รู้ดีว่าหมอไม่ใช่เทวดาหรือพระเจ้านี่นา?) คงไม่ต้องบอก ว่าข่าวที่ขายออก จะเข้าข้างฝ่ายไหน...

อีกตัวอย่างนึงของความเปลี่ยนแปลงของสังคมและระบบบริการสุขภาพ... ข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้... ภรรยาที่เพิ่งคลอดพบผ้าก๊อซในช่องคลอด... ปกติเราคงคิดว่าเมื่อเจออย่างนี้คงต้องรีบไปหาหมอก่อน ถึงแม้จะไม่ไปหาหมอที่เดิมก็ตาม แต่รายนี้...

วิ่งเข้าแจ้งกับสื่อมวลชนทันที~

เอาเถอะครับ... มุมมองที่เขียนมาก็ไม่ใช่มุมมองที่เป็นกลาง... แต่บางที ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะพอวาดแนวความคิดของตัวเองได้ชัดขึ้นอีกนิด...

เฮ่อ...

26 April 2005

หนังสือพิมพ์... ไม่ไหวแล้ว...

นี่จะไล่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายสูงสุดของประเทศวันนี้ให้ดู...
ตั้งแต่ใหญ่ไปเล็กนะ
  • "บีเอ็มอัดท้าย6ล้อ ตลกดัง! เอกเชิญยิ้มเละคาที่"
  • "ฟันปลอมติดคอ หนุ่มซวย ตายน่าอนาถ"
  • "รฟ.แหกโค้งตกราง"
  • "ชูวิทย์ชนทรท. จวกโคตรเน่า"
  • "จับมือมีดโหด ฆ่าสาววิศวฯ"
  • "แฟนก็เลิก งานก็พลาด สาวเครียด! ดิ่ง-บีทีเอส"
  • "ผู้บริหารบ.ดัง เป็นลมหัวทิ่ม ตกสะพานดับ"
  • "โจรใต้บึมอีก พร้อมกัน2จุด ยิงพี่ชายปลัด"
ส่วนรูปแต่ละรูปนะ...

  • "ตกสะพานดับ"
  • "ดวงถึงฆาต"
  • "ฟันปลอมติดคอ"
  • "ยับเยิน"
  • "แค้นโหด"
แถมสกู๊ปหน้า1 ด้วย "เทรนด์ใหม่วัยรุ่น สติกเกอร์หัวนม"

เฮ่อ...

ดูสิ่งที่น่าจรรโลงใจที่สุดบนหน้าหนึ่งเห็นจะเป็นไม่ จวกโคตรเน่า ก็ สติกเกอร์หัวนม เนี่ยแหละ

น่าอนาถจริง ๆ...

นี่ถ้าไม่ได้ไม่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้วจะขอให้เลิกรับแล้วนะ...
(แต่ประเด็นคือ ถึงเปลี่ยนไปรับอย่างอื่นก็คงไม่ได้อ่านอยู่ดี)

แต่ที่จริงก็ จะหวังอะไรกับหนังสือพิมพ์ชั้นต่ำระดับล่างพวกนี้... อย่างตอนนั้นที่ลิฟท์กระทรวงวัฒนธรรมขัดข้อง กดแล้วจะลัดวงจรทำให้ทุกชั้น ก็ต้องลงซะเป็นพาดหัวข่าวเบ้อเร่อเบ้อเท่อ...

สื่อมวลชนเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลต่อสังคมมากอันดับต้น ๆ... น่าเสียดายที่บางครั้งมันถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองและน่าเสียดายเช่นนี้...