Showing posts with label #Commentaries. Show all posts
Showing posts with label #Commentaries. Show all posts

11 November 2021

Democracy with the monarch as head of state

ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประโยคและวลีคลาสสิกที่คนไทยไม่มีใครไม่คุ้นเคย เพราะต่างถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่กลับลึกลับในความหมายที่ลื่นไหลอย่างน่าประหลาด

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้วิจารณ์ว่ามันเป็นวลีที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสนอง “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” กันพอควร แต่ผมไม่เห็นด้วยนักนะ มันออกจะสื่อความหมายได้ชัดเจนและตรงประเด็นกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันอย่าง constitutional monarchy

เพราะการจำแนกระบอบการปกครอง ข้อสำคัญมันต้องอยู่ที่รูปแบบการบริหาร มากกว่าการดูแค่ว่าใครเป็นประมุขสิ อย่างบรูไนมีกษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญ ถ้าตีความตามตัวอักษรก็เรียกเป็น constitutional monarchy ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะ constitutional monarchy มันหมายถึงประชาธิปไตยที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ วลีภาษาไทยที่ใช้กันจึงสื่อความหมายได้ดีกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่หลงค้างมาตั้งแต่สามร้อยปีก่อน และเข้าท่ากว่าศัพท์บัญญัติกำปั้นทุบดินอย่าง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ชวนประดักประเดิดยิ่งนัก

เรื่องความภักดีต่อศัพท์บัญญัติชวนประดักประเดิดนี่ต้องยกให้วิกิพีเดียเขาล่ะ

ผมเองน่าจะเพิ่งประจักษ์กับความแตกต่างนี้เมื่อช่วงรัฐประหารปี 2006 ตอนนั้นในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษมีคนไปแก้กล่องข้อมูลในบทความ Thailand ที่ระบุระบอบการปกครองเป็น Constitutional monarchy โดยต่อท้ายเพิ่มว่า under military dictatorship ซึ่งก็ เออแฮะ พอเป็นวลีนี้มันก็มีความง่ายแบบแปลก ๆ ดี นัยว่าถึงจะยึดอำนาจเป็นเผด็จการทหาร แต่ระบอบกษัตริย์ก็ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกล้มล้าง ซึ่งเฮ่ยไม่ได้สิ ในเมื่อมันล้มล้างประชาธิปไตยเห็น ๆ ถ้าใช้ภาษาไทยตามที่บอกข้างต้นก็จะไม่เกิดการเลือนความหมายแบบนี้

แต่ถึงแม้วลี ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะสื่อความตามหลักภาษาได้ชัดเจนว่าประชาธิปไตยสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนประมุขเป็นอันดับรอง ก็เหมือนว่าความหมายโดยนัยนี้กลับกำลังถูกบางขั้วในสังคมพยายามบิดให้กลายเป็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก ถ้าลองย้อนดูรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ จะเห็นว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ถึง 2521 มาตรา 2 ไม่ได้เขียนไว้อย่างปัจจุบัน แต่ใช้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สังเกตการเว้นวรรคที่สื่อว่าประชาธิปไตยกับประมุขนั้นเป็นสองประเด็นแยกกัน

การเอาช่องไฟออกและเติมคำเชื่อม อัน เข้าไป เพิ่งมีในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และ 2534 ตามลำดับ และคงอยู่ต่อมาแต่นั้น ซึ่งนึกดูก็น่าคล้อยตามว่าเป็นการสร้างความหมายใหม่ให้พระมหากษัตริย์กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกกันไม่ได้ของประชาธิปไตย (แบบไทย ๆ) ตามที่เขาว่า

แต่มาถึงวันนี้ ความหมายนั้นเหมือนจะกำลังถูกเปลี่ยนไปอีกขั้น พระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตยอาจจะกลับมาแยกกันได้อีกครั้ง

แต่เป็นการแยกให้เห็นว่ามีอย่างเดียวที่สำคัญ

และเขาก็ได้บอกอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย

15 August 2021

ว่าด้วย ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ

เอ็นทรีนี้ดัดแปลงจากโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อปี 2015 ซึ่งอ้างถึงบทความ “ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ” ที่เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ในโลกสี่เหลี่ยมของเตรียมอุดม เมื่อปี 2013 และเผยแพร่ซ้ำผ่านเพจ กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ในปี 2015

ผมเข้าใจประเด็นที่ผู้เขียนเสนอนะ ที่เขาบอกว่าฉันไม่ค่อยเก่ง จริง ๆ แล้วความหมายคือไม่เก่งเหมือนพวกเด็กโอฯ ที่มองอะไรก็เห็นไปถึงระดับอณูเหมือนนีโอใน The Matrix ส่วนที่เขาจำใจเรียนแบบท่องจำไปนั่นมันก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำนั่นแหละ แต่ที่แตกต่างคือเขาไม่สามารถทำใจหยุดยอมรับที่แค่นั้นได้

ไอ้คำถามอย่าง 1 คูลอมบ์แปลว่าอะไร หรือความหมายของหน่วยมูลฐานและมิติของปริมาณต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเข้าใจฟิสิกส์เป็นอย่างมาก แต่ครูก็ไม่เคยสอนจริง ๆ (ถึงจะอยู่ในภาคผนวกของหนังสือเรียน สสวท.ก็เถอะ) ซึ่งบางคนก็สามารถคิดเข้าใจเองได้ (ตอน ม.5 ผมเคยเถียงกับเพื่อนอยู่ว่าทำไมโมลถึงเป็นหน่วยมูลฐานทั้ง ๆ ที่เป็นปริมาณไร้มิติ) แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่

แล้วการที่ไม่มีใครสอนคอนเซปต์พื้นฐานพวกนี้มันเป็นปัญหาแค่ไหน อย่างที่เห็นจากโพสต์ต้นทาง มันไม่เป็นปัญหาต่อการสามารถคิดวิเคราะห์และทำโจทย์ที่อาศัยหลักการที่สูงขึ้นไปหรอก แต่มันบังคับให้ต้องทำโดยยอมรับบทบัญญัติหลาย ๆ อย่างไปโดยปริยาย หรือก็คือที่ผู้เขียนบ่นว่าต้องเรียนแบบท่องจำ

ซึ่งผู้เขียนเขาทำใจยอมรับตรงนี้ไม่ได้ เขาอยากจะสามารถสร้างมโนภาพถึงองค์ประกอบทุกอย่างขึ้นมา และเข้าใจที่มาที่ไปทุกอย่างของมันตั้งแต่ต้น เขาไม่อยากจำว่ามุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้ 180 องศา แต่เขาต้องการเห็นภาพว่าถ้าวาดเส้นขนานกับฐานของสามเหลี่ยม มุมแย้งของมุมฐานทั้งสองจะประกบกับมุมยอดของสามเหลี่ยมรวมกันได้เป็นมุมตรงพอดี เขาอยากเป็นเหมือนเด็กเก่งระดับเทพทั้งหลายที่ไม่ต้องท่องสูตร เพราะเข้าห้องสอบไปก็สามารถพิสูจน์สูตรเหล่านั้นขึ้นมาได้เองจากความเข้าใจ แต่เขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเห็นเส้นที่ขนานกับฐานของสามเหลี่ยมนั้นได้เอง และอยากให้ครูสอนให้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง

ผมคิดว่าผมเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียนนะ ในวิชาคณิตศาสตร์ ผมมีปัญหากับเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติเป็นอันมาก เพราะคณิตศาสตร์ที่ผมเคยรู้จัก มันต้องเห็นที่มาที่ไปได้ชัดเจนพอที่จะสร้างมโนทัศน์ขึ้นในใจเองได้ เหมือนอย่างที่เราสามารถแรเงาพื้นที่ต่าง ๆ ในเซตที่อินเตอร์เซกกัน หรือนึกภาพลูกเต๋าในเรื่องความน่าจะเป็นได้โดยไม่ต้องยุ่งกับสูตรตัวเลขใด ๆ แต่กับตรีโกณมิติผมไม่สามารถทำได้

และพอไม่สามารถสร้างมโนทัศน์ได้ ก็เลยทำให้การเรียนเรื่องนั้น ๆ ดิ่งเหวไปเลย เพราะผมไม่สามารถท่องจำสูตรและสมการเหล่านั้นได้โดยปราศจากความเข้าใจ ในกรณีนี้ผู้เขียนข้างต้นยังประสบผลสำเร็จในการทำข้อสอบมากกว่าผม เพราะเขายังสามารถทนเรียนแบบท่องจำได้ ถึงแม้จะขัดใจตัวเองก็ตาม

ปัญหาก็คือเขาฉลาดพอที่จะเห็นว่าทุกอย่างมันควรเชื่อมโยงกันได้ แต่ยังไม่เก่งพอที่จะเห็นภาพความเชื่อมโยงเหล่านั้นได้เอง และแน่นอนว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ได้มุ่งที่จะช่วยเขาในจุดนี้

ทั้งนี้จะขอยังไม่กล่าวถึงประเด็นแหล่งความรู้นอกห้องเรียน เพราะยุคสมัยที่ผ่านไปอาจจะทำให้เปรียบเทียบประสบการณ์กันได้ยากสักหน่อย

* * *

จริง ๆ แล้วผมว่ายังมีอีกคำถามที่สำคัญและน่าคิด ว่าความต้องการของผู้เขียน ที่จะเรียนฟิสิกส์ (ที่จริงก็รวมไปถึง formal sciences ทั้งหลายด้วย) โดยสร้างความเข้าใจทะลุปรุโปร่งในทุกด้าน มันเป็นไปได้จริงหรือเปล่า

สำหรับฟิสิกส์ระดับมัธยมปลาย ซึ่งแทบจะหยุดอยู่แค่ศตวรรษที่ 19 อาจยังไม่เห็นภาพชัดนัก แต่ก็มีอยู่เรื่อย ๆ ที่จะต้องพบเจอกับทฤษฎีบทที่ “เขาพิสูจน์มาแล้ว” แต่วิธีพิสูจน์นั้นต้องใช้ศาสตร์ที่ยังไม่ได้เรียน จึงต้องยอมรับไปก่อนโดยปริยาย แม้กระทั่งในเรขาคณิตระดับประถม เราก็ต้องท่องจำว่าปริมาตรของทรงกรวยเป็น 1/3 ของทรงกระบอก เพราะการพิสูจน์ที่มานั้นต้องใช้แคลคูลัส การท่องจำจากสิ่งที่มีคนคิดไว้ก่อนแล้วจึงแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในบรรดาศาสตร์รูปนัย

กระนั้นแล้ว คนที่ได้ร่ำเรียนจนหมดมวลความรู้ของมนุษยชาติในสาขานั้น ๆ ก็ควรจะสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่ผู้เขียนต้องการหรือเปล่า อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันก็ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่าสมองของมนุษย์จะทรงพลังขนาดนั้น แล้วอย่างไรเสีย ต่อให้อัจฉริยะระดับไหน ก็คงไม่สามารถคิดวิเคราะห์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบได้โดยไม่ต้องแบ่งเป็นขั้นตอนเสียก่อน และในบรรดาขั้นตอนเหล่านั้น สุดท้ายแล้วยังไงมันก็มีสิ่งที่เราต้องจำไปใช้อยู่ดี แม้ว่าจะเคยคิดวิเคราะห์ไว้เองก็ตาม

10 May 2017

ว่าด้วย ฉลาดเกมส์โกง

ไปดูมาละด้วยความกลัวถูกสปอยล์… ถึงทีของเราละ [SPOILER ALERT]

ชอบนะ ก็ดีมากแหละ ตามที่มีคนพูดถึงเยอะแล้ว (ที่จริงยังไม่ได้ตามอ่านรีวิวของใครเลย แต่ก็นั่นแหละ วิจารณ์หนังไม่เป็น ก็ถือว่าเชื่อตาม ๆ เขาละกัน)

แต่นึก ๆ ดูแล้วก็ยังมีประเด็นที่ค้างคาอยู่ คือตอนจบ ทีแรกก็ลุ้นกลัวว่าจะทิ้งลอยให้ไปคิดเอาเอง เอาเข้าจริงก็ขมวดซะแน่นเลย แต่ก็เฉพาะกับตัวละครหลักที่บทเลือกจะเก็บไว้คนเดียวคือลิน ขณะที่แบงค์ (ซึ่งเราในฐานะคนดู invest ความสนใจไปเยอะแล้ว) กลับถูกผลักทิ้งให้เหมือนเป็นแค่ plot device ที่เข้ามาสร้างปมให้ลินเท่านั้น

ซึ่งพอยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าปมนี้มันยังไม่คลายดีเลยด้วยซ้ำ คือตอนจบที่แบงค์เรียกลินมาคุย เราเห็นลินได้สะท้อนว่าตัวเองทำอะไรลงไป คือไม่ใช่แค่พาตัวเองหลงมาตามเส้นทางของการโกง (ที่ตอนนี้กลับใจแล้ว) แต่ยังลากแบงค์ (ซึ่งตั้งต้นด้วยความบริสุทธิ์) ตกลงมา to the dark side ด้วยอีกคน แต่ลินกลับไม่ได้ต้องทำอะไรเพื่อ redeem ตนเองจากการกระทำนี้เลย นอกจากเพียงแค่ปลงใจยอมรับคำขู่ของแบงค์ (ที่ยังติดอยู่ด้านมืด) ด้วยคำว่า “งั้นเราหายกัน” แค่นั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลินอาจจะแก้ปมที่ทำให้แบงค์เดือดร้อนแล้วโดยการทำให้แบงค์ได้เงินซื้อเครื่องซักผ้า แต่ลินยังไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลยกับการทำให้แบงค์แปดเปื้อนแต่แรก

นอกเสียจากว่าผู้ชมจะต้องเข้าใจนอกฉากเอาเองว่าการปิดประตูของลินนั้นมันเพียงพอที่จะกระชากแบงค์กลับมา ซึ่งผมดูแล้วรู้สึกว่ายังอ่อนเกินไปมาก

แต่ยังไงคือโดยรวมก็ถือว่าดีมาก โดยเฉพาะในเรื่อง mentality ของเด็กทำข้อสอบเก่ง อันนี้เป๊ะจริง ๆ

ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ก็มีเช่น

  • ใครสอนให้เล่น Für Elise ใช้นิ้ว 5-4-5 หือ?
  • บาร์โค้ด ตอนแรกคิดว่าเอ็งใช้ที่เปลืองขนาดนั้นดินสอมันจะยาวพอมั้ย แต่ไล่นับดูจริง ๆ แล้วไบต์นึงมันกว้างแค่ 0.25 mm เออก็พอแฮะ (ขืนทำเป็น binary มาลูกค้าก็อ่านไม่ออกอีก)
  • จำเลขข้อ A, B, C มาเรียงต่อกันง่ายกว่านะเออ
  • ทำเป็นเล่นไป Queen of the Night Aria เราฟังเล่นตอนเดินทางจริง ๆ นะ
  • การเอาข้อความมาเข้ารหัสเป็นโน้ตดนตรีก็เหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ เคยคิดเล่น
  • เจมส์จะได้เล่นบทอื่นที่ไม่ใช่ลูกคนรวยโดนสปอยล์บ้างมั้ยเนี่ย
  • ฉาก ผอ.ทำไมเราเห็นแต่แม่ดาว

ป.ล.

  • เงินสองล้านบาทมันจะพอไปเรียนบอสตันได้ไง

5 November 2013

ขีดเขียนยามดึก (ว่าด้วยกระแสร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ)

นอนไม่หลับ...

เปิดแหล่งข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็มีแต่เรื่องร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็แล้วขอพ่นทิ้งหน่อยละกัน

เมื่อเย็นนี้เห็นทวีตที่ติดใจอยู่หลัก ๆ สองอัน

หนึ่งคือ

สองคือ

นั่นล่ะครับ ที่ว่าเซ็งกระแสป้ายดำในเฟซบุ๊ก จะว่าเพราะแอบขัดใจที่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ทั้งหลายก็เกิดตื่นตัวทางการเมืองกันขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็ส่วนหนึ่ง เพราะรำคาญที่รูปมันดูเหมือนกันไปหมดก็ส่วนหนึ่ง แต่หลัก ๆ แล้วคือ

ครับ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่มีความเห็น และการโพสต์ลงบล็อกนี่ก็ไม่ขัดกับแนวทางการใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวแต่อย่างใด

ว่าด้วยนิรโทษกรรม

สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ารู้จักคำ นิรโทษกรรม ในแง่ลบ ในนัยที่ว่าเป็นการล้างความผิด ล้มกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารังเกียจ และไม่เข้าใจว่าสังคมจะมีกระบวนการเช่นนี้ไปทำไม

ต่อมาเมื่อได้ยินชื่อ Amnesty International แปลเป็นภาษาไทยว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล จึงแปลกใจและสงสัย ว่าทำไม NGO ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งน่าจะไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้คนที่เข่นฆ่าประชาชน ถึงตั้งชื่อเช่นนั้น¹

เมื่อโตขึ้นอีกถึงเข้าใจว่าความยุติธรรมเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ถูก-ผิดมักขึ้นกับมุมมอง และกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกที่ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมือง คำ amnesty ในชื่อของ AI นั้นมุ่งหมายถึงการยกเลิกความผิดให้นักโทษทางการเมือง ไม่ใช่ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจทางการเมือง แต่สองอย่างนี้ก็ไม่ได้แยกจากกันง่ายเสมอไป

ดูง่าย ๆ จากเหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยใกล้ตัวไปก็ดูอียิปต์ ถามว่า Mohamed Morsi ที่เพิ่งขึ้นศาลไปเมื่อวานเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน หรือเป็นนักโทษทางการเมืองที่เป็นเหยื่อของรัฐประหาร คำตอบที่ได้คงแตกต่างกันไปแล้วแต่จะถามใคร

ในสังคมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่น้อยที่สุดที่มีอยู่ เรายอมรับว่าการเมืองไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จึงต้องอาศัยทำให้คนส่วนมากพอใจโดยไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของส่วนน้อย แต่เรากลับไม่ค่อยมองเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมก็เป็นดอกผลของกระบวนการทางการเมืองเดียวกันนี้ ซึ่งย่อมโอนอ่อนเอนเอียงไปได้ตามกาลเวลา

เราจึงมักไม่เข้าใจแก่นของนิรโทษกรรม ว่าควรมีไว้แก้ไขข้อผิดพลาด สมานช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างเสรีภาพทางการเมืองกับความเอนเอียงของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพียงสิ่งชั่วร้ายที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือตนเอง

ว่าด้วยกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ

ขอยอมรับว่าหกปีกว่าหลังจากเขียนเอ็นทรีนี้ ผมก็ยังไม่หายรู้สึกระอิดระอากับการเมือง และยังคงไม่รู้สึกอยากมีส่วนร่วมใด ๆ กับมัน (มากไปกว่านั่งบ่นอยู่ตรงนี้) กระนั้นผมก็คิดว่าการไม่เลือกลงไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายใด ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เห็นแนวคิดและการกระทำของแต่ละฝ่ายผ่านเลนส์ที่ไม่ถูกเจือสีได้ดี

หลาย ๆ ท่าน (รวมถึงตัวผมเอง) ได้กล่าว (เชิงกึ่งขบขัน) ไปแล้ว ว่าร่าง พรบ.ฉบับนี้ ดูจะสร้างความสมานฉันท์ระหว่างแต่ละขั้วการเมืองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการร่วมกันออกมาต่อต้าน แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายต่อต้านนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนโกงชาติ ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนสั่งฆ่าประชาชน

ผมเองไม่เห็นด้วยกับคำดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย

ผมไม่ได้บอกว่าทักษิณไม่ได้โกงชาติ แม้ผมจะไม่เชื่อว่าการตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวจะเป็นอิสระจากการเมือง ผมก็ไม่กังขาสักนิดครับว่าเขาโกง ไม่ต่างจากที่ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็โกงชาติอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะโดยการยื่นภาษีไม่ตรงประเภทตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากร การใช้เส้นสายเวลาติดต่อราชการ หรือกระทั่งการข้ามถนนนอกเขตทางข้าม

ทักษิณโกงแน่ครับ แต่การโกงนั้นไม่ใช่เหตุให้ยอมรับรัฐประหาร และศาลยุคตุลาการภิวัตน์ที่ตัดสินมากี่คดีก็มีแต่ทักษิณกับพวกที่ผิด (ไม่ว่าจะคดีอาญาหรือคดีการเมือง) ย่อมสมควรถูกกังขาในความเป็นกลาง กระนั้นการบอกยกเลิกความผิดนี้โดยปริยายก็ไม่สมควรเช่นกัน ผมไม่ได้ติดตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ฟังดูเผิน ๆ แนวคิดเรื่องการยกเลิกคำตัดสินที่ถูกกังขาเพื่อกลับมาเข้ากระบวนการใหม่ที่เที่ยงตรง ก็เหมือนจะเข้าท่าดี หากแต่ก็ไม่เห็นว่าจะทำจริงได้อย่างไร

ผมเองไม่ได้ชอบทักษิณ แต่ผมก็เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ผมไม่เชื่อว่าหากศาลเดียวกันนั้นตัดสินให้ทักษิณพ้นผิด หรือให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมีความผิด บรรดาคนที่เรียกร้องให้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมอยู่นี้ จะยังกล่าวกันเช่นเดิม

สำหรับฝ่ายคนที่ไม่ยอมให้อภัยฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน ขอเถอะครับ กับไอ้คำ ฆาตกร เนี่ย จะเวอร์กันไปถึงไหน

ถามว่า พ.ค.'53 มีผู้บริสุทธิ์ตายด้วยน้ำมือทหารไหม ผมไม่กังขาครับว่ามี หากเช่นนั้นแล้วทหารปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดไหม ไม่ต้องสงสัยครับว่าผิด ถามว่าผู้นำที่ตัดสินใจให้ใช้กำลังทางทหารควรจะรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม ผมบอกเลยว่าควร แต่ถามว่านั่นแปลว่าเขาเป็นฆาตกร ที่สั่งฆ่าประชาชนด้วยเจตนาอันโหดเหี้ยมเพื่อหมายจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ช่างคิดไปได้นะครับ...

อภิสิทธิ์ (กับสุเทพ) ทำผิดแน่ครับ แต่ผิดที่ไว้ใจผิดว่าทหารจะไม่ทำอันตรายผู้บริสุทธิ์ (โดยไม่ได้ตระหนักว่าหน้าที่ของทหารคือรบกับศัตรู ไม่ใช่สลายการชุมนุม) ไม่ใช่สั่งฆ่าประชาชน ถามว่าเขาควรต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เห็นว่าแก่นของกรณีนี้จะแตกต่างจากการสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวเมื่อ ต.ค.'51 เท่าใดนัก เหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคือความไม่สามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เจตนาฆ่า การเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียเป็นสิ่งที่สมควร แต่ตราบใดที่ยังตะโกนแต่คำว่าฆาตกรกันอยู่นั้น ผมก็เห็นแต่คนที่เอาศพของผู้เสียชีวิตมากองเป็นเวทีให้ตนเองเหยียบยืนเท่านั้นเอง

แล้วตกลงคิดอย่างไรกับกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ โดยรวม?

อันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับหลักการลบล้างความผิดทั้งหมดทั้งมวล ก็คงไม่ถึงขนาดที่เห็นว่าต้องแสดงออกผ่านการเอาป้ายดำเป็นรูปโปรไฟล์เต็มไปหมดแบบนี้

ส่วนหนึ่งคงเพราะว่าที่ผ่านมาผมเสื่อมศรัทธากับกระบวนการยุติธรรมไปมากแล้ว และไม่อยากหวังลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไปว่าจะมีโอกาสเห็นการดำเนินคดีที่เป็นกลางได้จริง (ดูตัวอย่างจากการทำคดีของ DSI ที่เปลี่ยนทิศทางไปมาตามสายลมการเมืองที่พัดผ่าน) ลึก ๆ แล้วก็เลยยังแอบคิดอยู่ว่าหากร่าง พรบ.นี้ผ่านได้ อย่างน้อยก็จะได้เลิกกันเสียทีกับกระบวนการยุติธรรมปาหี่นี่ นัยว่าถ้าจะมีแต่กระบวนการยุติธรรมที่ลำเอียงเช่นนี้แล้ว ออกกฎยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเลยเสียอาจจะดีกว่า

และอย่างไรเสีย แค่นี้ร่าง พรบ.ฯ ก็ได้ช่วยให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้มีโอกาสทบทวนแนวคิดกันยกใหญ่แล้ว หากทักษิณกลับมา เราอาจจะได้เห็นการแตกหักกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างจริงจังเสียที²

ซึ่งผมยังคงรออยู่ เผื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดมีกลุ่มการเมืองเสรีนิยมที่ผมจะสามารถสนับสนุนได้โดยบริสุทธิ์ใจบ้างสักวัน


  1. อีกชื่อที่สงสัยมาแต่เด็กคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ทำไมหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนจะตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย ๆ กันไม่ได้หรือไง
  2. ดู Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.

13 June 2013

อะไรคือวิทยาศาสตร์

อยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมุติสักเล็กน้อยนะครับ*

สมมุติในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มอาหารเสริม ความว่า

เราเห็นหลาย ๆ คนชอบแอนตี้คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมเอาไว้ชงดื่ม บอกกันว่ามันไม่มีประโยชน์ กินไปก็เปลืองเงินฟรีเปล่า ๆ แต่ทำไมเท่าที่ตัวเราเองเคยลองทานดูก็รู้สึกว่าได้ผลนะคะ สังเกตว่าช่วงที่ทานแล้วผิวดีขึ้นจริง ๆ บางทีคนใกล้ตัวยังทักเลย มันเป็นไปได้รึเปล่าคะว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ได้ผลเฉพาะบางคน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องต่อต้านกันไปเสียหมดนะคะ เพราะสำหรับคนที่เค้าได้ผล มันก็น่าจะมีประโยชน์จริง ๆ

เมื่อมีกระทู้แนวนี้ออกมา ก็เดาได้ว่าจะต้องมีคนมาตอบแบบตามคิวเป๊ะ ว่า

เรื่องแบบนี้ลองใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมคิดดูเอาเองก็ได้นะครับ  คอลลาเจนมันเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน เวลากินอาหารเข้าไป โปรตีนจะถูกย่อยเป็นเปปไทด์สายสั้น ๆ ในกระเพาะ แล้วก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนในลำไส้เล็กก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะฉะนั้นคอลลาเจนที่กินเข้าไปมันก็ถูกย่อยหมด แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกับร่างกายได้ยังไงครับ มันก็เหมือนกินโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ ตามธรรมชาติ เพราะยังไงมันก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนเหมือนกันอยู่ดี ที่ว่ากินแล้วผิวดีขึ้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ น่าจะคิดไปเองมากกว่า

...ครับ...

xxแอดxx WRONG ANSWER!!

...

ในเหตุการณ์สมมุติข้างต้นนี้ จะเห็นได้นะครับว่ามีฝ่ายหนึ่งแสดงความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

นั่นก็คือผู้ตั้งกระทู้

เพราะผู้ตั้งกระทู้ได้แสดงให้เห็นว่ารู้จักตั้งคำถาม รู้จักสังเกตจากประสบการณ์ตรงของตน รับฟังข้อมูล และพยายามหาคำตอบเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่รู้

ขณะที่ผู้ตอบกระทู้อาศัยความเชื่อมั่นในความรู้วิทยาศาสตร์ของตนที่มีอยู่ นำมาหักล้างข้อสังเกตของอีกฝ่าย และฟันธงปฏิเสธในทันทีว่าสิ่งที่ขัดกับความรู้ของตนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

ความเชื่อแบบตายตัวเช่นนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

การที่ผู้ตอบกระทู้แสดงความยึดมั่นว่าสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้เสนอ ซึ่งไม่ตรงกับความรู้ของตนเอง ต้องเป็นเท็จ ก็ไม่ต่างจากการที่กาลิเลโอต้องถูกไต่สวนโดยศาสนจักรเพราะสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

หากแต่วิทยาศาสตร์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตและการทดลอง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าใจ

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาจากการยืนยันสมมุติฐาน ว่าสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สังเกตได้ หากพบหลักฐานใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับความรู้ดังกล่าว นั่นแปลว่าความรู้เราอาจยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายหลักฐานใหม่นั้น ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมและพัฒนาความรู้กันต่อไป ไม่ใช่ปฏิเสธว่าว่าหลักฐานใหม่นั้นผิดเสียตั้งแต่ต้น

ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะยังเชื่อกันอยู่ครับ ว่าหนอนแมลงวันเกิดมาจากเนื้อเน่า

อะไรที่เรายังไม่รู้ จะมีโอกาสรู้ได้ก็ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามอย่างของผู้ตั้งกระทู้ที่ยกตัวอย่างครับ ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์จะยังจำกัดอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ควรจะสอน ไม่ใช่สั่งให้ปิดปากบอกให้เงียบเสีย

จะเป็นประโยชน์กว่ามากครับ ถ้าจะตอบกระทู้โดยอธิบายว่า

การที่ จขกท.รู้จักสังเกตแล้วก็ตั้งคำถามนั้นก็ดีแล้ว แต่ข้อเท็จจริงทางชีวภาพจะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวแค่นี้มันไม่พอหรอกครับ เพราะมันมีปัจจัยรบกวนเยอะเกินกว่าที่จะเอามาบอกอะไรได้

อย่างแรกก็คือความรัดกุมในการทดลองครับ การที่ จขกท.ลองดื่มเครื่องดื่มคอลลาเจน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองนี่นับได้ว่าเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการทดลองที่ไม่รัดกุม ก็เลยยังไม่น่าเชื่อถือครับ การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีกลุ่มควบคุมมาเปรียบเทียบ และมีการควบคุมตัวแปรให้รัดกุมครับ

ตัวแปรต้นในที่นี้ก็คือการดื่มหรือไม่ดื่มคอลลาเจน ซึ่งที่ จขกท.ทำ คือเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็ไม่ผิด แต่ที่ขาดไปคือไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับ placebo (ยาหลอก) และไม่มี blinding ซึ่งก็คือการปิดข้อมูลไม่ให้ผู้ถูกทดลองรู้ว่าในการทดลองขณะนั้นตนเองได้กินคอลลาเจนจริง ๆ หรือกิน placebo ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะบอกไม่ได้ว่าผลที่สังเกตได้มันเกิดจากผลของคอลลาเจนจริง ๆ หรือเป็น placebo effect คือการที่เห็นว่าได้กินยาแล้วก็มีผลขึ้นเองทั้งที่อาจจะกินยาหลอก คือไม่ใช่ผลจากยาที่ทดลอง

ตัวแปรตาม ในการทดลองจะต้องกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่นจะดูความนุ่มของผิวเทียบกับก่อนเริ่มดื่ม หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยต้องมีวิธีการวัดที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เหลือคือตัวแปรควบคุม ซึ่งจะต้องกำหนดให้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ดื่มคอลลาเจนหรือ placebo

ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะตอบคำถามในเชิงสุขภาพ เพราะในความเป็นจริง เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ 100% และก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่คุมไม่ได้อีกอย่าง คือความบังเอิญ การตัดความไม่แน่นอนจากความบังเอิญออกไปจะต้องอาศัยการทดลองซ้ำ (เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งเยอะยิ่งดี) ซึ่งโดยปกติสำหรับคำถามทางสุขภาพแบบนี้จะทำการในรูปแบบของงานวิจัยขนาดใหญ่ โดยเลือกผู้ร่วมงานวิจัยมาตามจำนวนที่กำหนด แล้วทำการสุ่ม ให้ครึ่งนึงเป็นกลุ่มทดลอง อีกครึ่งเป็นกลุ่มควบคุม นำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกันในทางสถิติ งานวิจัยแบบนี้เรียกว่า randomized controlled trial (RCT) ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้มากที่สุดครับ

สรุปแล้วก็คือ การที่ จขกท.สังเกตว่าตัวเองดื่มคอลลาเจนแล้วผิวดีขึ้นนั้น ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นผลของคอลลาเจนหรือเปล่า เพราะมีปัจจัยรบกวนได้เยอะครับ ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ก็ต้องอาศัยการวิจัยแบบ RCT อย่างที่บอกครับ ส่วนการอธิบายด้วยความรู้เชิงทฤษฎีนั้นเป็นปัจจัยรองลงมา เพราะถ้ามีผลการวิจัยออกมาว่าได้หรือไม่ได้ผลยังไง ความรู้ทางทฤษฎีก็ต้องปรับตามครับ

อย่าลืมนะครับ ว่าความสำคัญของหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดแค่วิทยาศาสตร์ชีวภาพ แม้ว่าความรู้ทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์กายภาพจะนิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ชีวภาพอยู่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไร ทฤษฎีก็ต้องตามหลังปฏิบัติเสมอ

สมมุติว่าเอาเครื่อง GT200 มาทดลองแบบควบคุม แล้วผลการทดลองพบว่ามันชี้ระเบิดได้ถูกต้องมากกว่าการเดาสุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษยชาติบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นยิ่งจะเป็นเหตุผลให้ต้องหาคำตอบครับ ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร


*อาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ แต่เนื้อความในเอ็นทรีนี้ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดในกระทู้ดังกล่าวแต่อย่างใด

6 May 2013

เกรียนฟิคฯ

อุตส่าห์ว่าดูจบก็จะจบ ๆ แล้วนะ ปรากฏจบไม่ลง~ ขอระบายทิ้งหน่อยละกัน

ก็อย่างที่บอกว่าเห็นคำชมหลุดมาประปรายในทวิตเตอร์ เลยดู ๆ เห็นกระแสตอบรับดี ไม่เกรียนอย่างเดียวแบบหน้าหนังที่ออกมา (คืออย่างน้อยเทียบกับความคาดหวังจากตัวอย่างแล้วหนังก็ดีทีเดียว) ซึ่งดูแล้วก็ชอบนะ สารภาพว่าแอบไปดูซ้ำด้วย (ความจริงคือฝังใจที่รอบแรกมาไม่ทัน เข้าช้าไป 10 นาทีมากกว่า)

และก็เหมือนเดิม วิจารณ์หนังไม่เป็น แต่ลองดูที่เค้าวิจารณ์กันว่ายังไม่ดีเท่าผลงานเรื่องอื่นของมะเดี่ยวอย่างโฮมหรือรักแห่งสยาม ก็เห็นด้วยนะ ว่าอารมณ์หนังมันเหมือนยังไม่สุด แล้ว [plot elements] บางอย่างมันดู [forced] เกินไป ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกดีทีเดียว แต่ก็พอจะบอกได้ว่า เนื้อหาที่สื่อออกมายังค่อนข้างเบา แล้วก็รู้สึกเหมือนหนังพยายามจะเล่าเรื่องราวอะไรมากมายที่จับยัดใส่เวลา 2 ชั่วโมงแล้วมันเลยไม่พอ มีบางประเด็นที่เหมือนจะไม่จบ ซึ่งพอดูรอบสองแล้วก็เห็นว่าเยอะอยู่ทีเดียว

ยังไงขอหยิบโน่นนี่มาพูดถึงเป็นข้อ ๆ...

ALERT! สปอยล์กระจาย

  • ชอบการใช้เรื่องราวความเกรียนเป็นเครื่อง [carry] ตัวเรื่อง แม้จะไม่ได้เป็น [plot device] สำคัญแต่ก็สื่อถึงอารมณ์วัยรุ่นได้อย่างดี ฉาก [montage] แต่ละฉากสวยมาก การใช้เพลงประกอบก็สุดยอด
  • เพิ่งรู้ทีหลังว่า รร.วารีเชียงใหม่มีอยู่จริง เสร่อ แต่แอบแปลกใจนิดนึง (แต่โฮมก็ใช้ รร.มงฟอร์ตนี่นา)
  • เรื่องของทิพย์กับ อ.เสน่ห์นี่โผล่มานิดเดียวแล้วหายไปเลย งง ๆ ว่ามันควรจะมีความหมายอะไรมากกว่าเป็นแค่ฉากตลกหรือเปล่า
  • ยังไม่เข้าใจ "แต่งงานกันมั้ยคะ" ด้วยว่าจะสื่อว่าไง เกี่ยวกับที่ตี๋ขอเขตต์ตอนหลังหรือเปล่า
  • ผู้หญิงที่ อ.แดงต้อยพูดด้วยประมาณว่า "ตรงนั้นควรจะเป็นที่ของเธอ" ตอนละครรจนาเลือกคู่คือใครนะ
  • เรื่องของก้อย ไม่แน่ใจว่าแรก ๆ เหมือนจะสื่อว่าก้อยแอบชอบตี๋อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรต่อนอกจากเฉลยเรื่องของน้องเอ ที่ก้อยอยากเป็นนักข่าวก็เหมือนหายไป
  • เรื่องเสื้อของก้อยด้วย ทั้ง "มึงตามหาเสื้อ แล้วเจ้าของเสื้อตามหามึงปะ" (ไม่แน่ใจว่าตี๋คิดอะไร ณ จุดนั้น) แล้วก็ฉาก [montage] ตอนหลังที่ตี๋ใส่เสื้อนั้นอยู่
  • เรื่องพลอยดาวก็ดูรวบไปเยอะ ทั้งกับโอ๊ต (ไม่แน่ใจว่าพลอยดาวชอบโอ๊ตจากละครรจนาเลือกคู่?) แล้วก็ตี๋ (ที่โอ๊ตบอกว่า "ถ้าพลอยรู้นะ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง" เรากลับแทบไม่ได้เห็นเลย (รู้แต่ว่ามีฉาก "ร่มมั้ยคร้าบ" ในตัวอย่างที่ถูกตัดไป)) ที่ตี๋บอกประมาณว่า "ที่ผ่านมา กูคิดว่ามึงพยายามช่วยกูมาตลอด" ก็เหมือนกัน
  • พูดถึงการเปลี่ยนตัวตอนรจนาเลือกคู่ ทั้งแป๋ง ตี๋ โอ๊ต ส่วนสูงนี่คนละเรื่องกันเลย แอบสงสัยว่าไปบอกพลอยดาวว่ายังไงเขาถึงไม่สงสัย
  • แล้วก็พูดถึงฉากแสดงละคร ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อว่าลิปซิงค์อยู่แล้วหรือเปล่า แต่มันชัดมาก
  • ฉากร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ป้าบอกว่ามีอะไรในตัวก็ให้เอามาจ่าย เห็นนะว่ายังมีนาฬิกาข้อมืออยู่
  • โมน/โมนนี่ทำไปทำไมนะ แต่ตอนแรกก็ไม่สังเกตจริงแหละ เมคอัพเขาใช้ได้อยู่ (แต่อุตส่าห์ lampshade ให้ตั้งสองรอบ~)
  • แต่พูดถึงเมคอัพ รอยเจาะหูนี่ใช้เมคอัพปิดไม่ได้เหรอ แอบรำคาญอยู่เกือบตลอดเรื่อง
  • ความสัมพันธ์ของตี๋กับทิพย์ สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าปมมันคืออะไร ทำไมแค่ทิพย์บอกขอโทษก็จบง่ายขนาดนั้น ที่จริงต้องบอกว่าไม่เข้าใจทิพย์ด้วย คือพอนึกออกว่าจะเป็นแม่ก็ทำไม่เป็น/ไม่กล้า/ไม่อยาก ไม่ยอมรับความจริง แล้วก็โทษตัวเอง แต่ทำไมถึงต้องแสดงออกว่าไม่ใส่ใจตี๋เลยทั้งที่เห็นอยู่ว่าห่วงใยกัน
  • ที่ทิพย์คบกับเขตต์ด้วย เห็นแต่ตอนแรกตี๋ไม่พอใจ แล้วมาอีกทีก็ขอให้แต่งงานละ เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ตอนที่ทิพย์กรีดข้อมือนั่นมันเกิดอะไรขึ้น
  • ตอนที่เขตต์หนีไปแล้วก็กลับมาด้วย ดอกกุหลาบสีขาว/สีแดงจะสื่ออะไรนะ
  • แล้วชุดแต่งงานนี่น้าหอยแกยกให้เป็นที่ระลึกเหรอ แต่ถึงงั้นคนจะขึ้นรถไฟก็น่าจะอยากแต่งตัวธรรมดาหน่อยเปล่านะ
  • ชอบฉากไล่ต่อยกันที่ปราณบุรีสุดละ สารภาพว่าน้ำตาซึมไปนิดนึง

หมดละ (มั้ง) แต่ขอบ่นเรื่องนอกจอที่ทำให้ดูไม่ทัน คือไปดู SF เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดน Iron Man 3 กลบมิดเลย เหลือแต่รอบเที่ยง แล้วกว่าจะมาเช็คก็เกือบเที่ยงละ แถมเจอคิวซื้อตั๋วอีกสิบนาที จากที่จะทันพอดีเลยกลายเป็นไม่ทัน~ ความจริงถ้าซื้อตั๋วออนไลน์ก็ทันละ แต่ดันซื้อหลังเวลาหนังเริ่มไม่ได้ซะนี่ แต่ในอีกแง่นึง ก็ทำให้ใช้แต้มบัตรเครดิตกสิกรแลกตั๋วหนังได้ในราคาเทียบเท่า 100 บาท (ใช้ได้ถึงสิ้นปีนะครับ)

เอ้อ อีกเรื่องนึง:

  • ฉากเด็กผู้ชายเปลือยท่อนบนเมิงจะเยอะไปไหนวะครับ -"-

25 April 2013

End of an era: Good bye, Windows Live Messenger

ถูกถอดปลั๊กไปเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับโปรแกรม Windows Live Messenger บนเครื่องของผม หลังจากที่พ้นกำหนดอายุการใช้งานที่ไมโครซอฟท์ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา

และถึงแม้ว่าผมคงจะทำการรวมบัญชีกับ Skype ต่อไป และไมโครซอฟท์ก็ยังคงให้บริการ Messenger service ผ่านช่องทางอื่นไปอีกระยะหนึ่ง ยังไงก็อยากจะใช้โอกาสนี้รำลึกถึงบริการ instant messaging นี้ที่อยู่ด้วยกันมากว่า 10 ปี

ความจริงตอนที่เริ่มมี MSN Messenger เมื่อกรกฎาคม 1999 นั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มใช้ ICQ ด้วยซ้ำ มารู้จัก msnmsgr ก็ราวอีกสองปีถัดมา ขณะที่ความนิยม ICQ ก็เริ่มถดถอยลงไป

และถึงแม้ว่า ICQ จะยังคงให้บริการอยู่ในปัจจุบัน (ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้) สำหรับเพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกัน ก็คงเรียกได้ว่าทั้ง ICQ และ MSN Messenger ต่างเป็นแก่นหลักอย่างหนึ่งในชีวิตช่วงนั้น ที่มีบทบาทสืบเนื่องถัดกันมา

และหลายคนก็คงจะมีความทรงจำหลากหลายเกี่ยวกับทั้งสองบริการนี้ ไม่ว่าจะเป็น...

  • เสียงเรียกเข้า "โอ๊ะโอ" ของ ICQ (ที่ตอนหลังถูกแทนที่ด้วย "ตื่อดือดึ๊ง" ของ MSN Messenger)
  • จอข้อความที่ต้องกด tab เพื่อย้ายโฟกัสไปที่ปุ่ม Send (ซึ่งพอเปลี่ยนมาใช้ MSN Messenger ก็สับสนบ่อย ๆ เพราะไม่ต้องกด) และการ์ตูนหน้าคนที่จะเลื่อนหมุน ๆ เวลาส่งข้อความ
  • ปรากฏการณ์ Fwd URL ระบาด
  • หน้าจอ contact list ที่แสดงชื่อเป็นสีน้ำเงินหรือสีแดง พร้อมดอกไม้แสดงสถานะ
  • ซึ่งก็จะเห็นคนตั้งชื่อว่า "ลิสต์หาย ใครเห็นทักมาหน่อย" อยู่บ่อย ๆ
  • พอย้ายมา MSN Messenger ก็ไม่มีปัญหานี้ เพราะมันเก็บข้อมูล contact ให้
  • แต่ contact list ดันเต็มที่ 150 คน~ (มาเพิ่มให้ตอนปี 2005)
  • แล้วก็มีแฟชั่นข้อความต่อท้ายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นระบายอารมณ์ รำพึงรำพัน หรือโพสต์เพลงต่าง ๆ นานา
  • MSN Messenger เอง ก็เปลี่ยนหน้าตาเปลี่ยนความสามารถอยู่หลายครั้ง จากเดิมที่เป็นโปรแกรมเรียบ ๆ ง่าย ๆ ต่อมาก็มีเกม (จำ Minesweeper Flags กันได้ไหม) มีการเชื่อมโยงกับ MSN Spaces (ต่อมาเป็น Windows Live Spaces) มีฟังก์ชันเขย่าจอ มี custom emoticons มี video chat (ซึ่งไม่เคยใช้เลย) มีอะไรต่อมิอะไร ฯลฯ

ในปี 2005 MSN Messenger เปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger (WLM) แต่ชื่อ MSN ก็ฝังลึกในสังคมจนการ "ออนเอ็ม" หรือ "คุยเอ็ม" กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาพูดทั่วไปไปแล้ว แต่แน่นอนว่าอะไรที่ได้รับความนิยมก็ย่อมมีเสื่อมความนิยมตามมา การเติบโตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Facebook เปิดให้ลงทะเบียนได้โดยไม่ต้องสังกัดสถานศึกษาในปี 2006 พร้อม ๆ กับที่ Hi5 เริ่มติดกระแสในประเทศไทย) และการขยายตัวของตลาด smartphone ที่ WLM ทะลวงเข้าไปไม่ถึง ต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนคนออนไลน์บน WLM ลดลงไปเรื่อย ๆ จากที่เคยมีวันละหลายสิบ (แต่ก็ไม่ได้คุย) กลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแค่คนที่เปิด Hotmail ทิ้งไว้ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

แม้จะไม่ต้องสงสัยว่าทุกวันนี้พื้นที่ที่ MSN Messenger เคยยืนอยู่จะถูก Facebook (และ Line) กลืนไปเกือบหมดแล้ว

แต่ความเป็นสัญลักษณ์ของ MSN Messenger ก็จะยังคงอยู่ ในฐานะสิ่งที่โตมาเคียงข้างชาว Generation Y ไม่ต่างจากโทรศัพท์สำหรับคนรุ่นก่อนหน้า หรือสิ่งใด ๆ บนโลกออนไลน์ที่จะตามมาสำหรับชนรุ่นถัดไป

11 February 2013

ตัดต่อชัด ๆ

วันนี้จะขอกล่าวถึงภาพภาพนี้ โดยคุณ pattpoom จาก Flickr ครับ

~ Bangkok Tonight ~

ในแง่สุนทรียภาพคงไม่จำเป็นต้องบรรยาย เพราะคอมเมนต์บนหน้า Flickr ก็อธิบายในตัวอยู่ระดับหนึ่งแล้ว แต่ในสมัยที่เทคโนโลยีการแต่งภาพแบบดิจิทัลก้าวไกลขนาดนี้แล้วผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเวลาเห็นภาพที่น่าแปลกตาเช่นนี้ก็คงคิดในใจว่า "ตัดต่อหรือเปล่านะ?"

ที่จริงเจ้าของผลงานเขาก็อธิบายและให้รายละเอียดอุปกรณ์และการตั้งค่ากล้องไว้ในคำบรรยายภาพแล้วล่ะครับ ว่าเป็นภาพประกอบจากภาพวัดอรุณกับภาพดวงจันทร์ที่ถ่ายแยกกัน แต่กระนั้นแล้วข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ได้บอกว่าองค์ประกอบที่แต่งขึ้นนั้นมีมากแค่ไหน

แต่ภาพนี้สังเกตเพียงเล็กน้อยก็บอกได้ง่าย ๆ ครับว่าดวงจันทร์ที่อยู่ตรงนั้นมัน "ตัดต่อชัด ๆ"

ที่ง่ายที่สุดก็คือ ข้อมูล EXIF ในภาพระบุเวลาถ่ายว่า 21:53 วันที่ 06/06/2009 ใครที่มีความสนใจดาราศาสตร์แม้เพียงเล็กน้อยคงบอกได้ว่าดวงจันทร์ (เกือบ) เต็มดวงแบบนี้ ไม่มาอยู่ริมขอบฟ้าเวลานี้หรอกครับ ต่อให้ตั้งเวลากล้องผิด ดวงจันทร์ที่เกือบเต็มดวงจะมาอยู่ใกล้ขอบฟ้าตะวันตก (คงทราบกันว่าวัดอรุณตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก) ก็ต้องเช้ามืดเกือบรุ่งแล้ว ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าวัดอรุณคงไม่ได้เปิดไฟส่องพระปรางค์ทิ้งไว้ทั้งคืน แต่ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าบาร์ Amorosa ที่ Arun Residence คงไม่ได้เปิดโต้รุ่งแน่ ๆ

นอกไปจากนั้น ดวงจันทร์ในภาพนั้นยังกลับหัวอีกด้วย จะเห็นได้ว่าถูกหมุน 180° จนขั้วเหนือหันไปทางใต้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะเดาว่าเป็นเพราะภาพถูกถ่ายเมื่อดวงจันทร์ยังอยู่ในซีกฟ้าตะวันออก แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือ นั่นแปลว่าเงาดวงจันทร์ที่เห็นนั้นไม่ใช่เงาข้างขึ้นประมาณ 14 ค่ำ (ซึ่งตรงกับวันที่ถ่ายภาพ) แต่เป็นเงาข้างแรมประมาณ 1 ค่ำ! แสดงว่าดวงจันทร์ในภาพ ไม่ใช่แค่ถ่ายจากคนละชั่วยาม แต่ถ่ายจากคนละเดือนกันทีเดียว

โอเค งั้นเจ้าของภาพอาจจะใช้เทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงานมากพอควร แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จริง หรือเปล่า? ถ้าเราลองเทียบข้อมูลตำแหน่งดวงจันทร์ (จากหอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐฯ) เมื่อเช้ามืดวันที่ 07/06/2009 ณ ระดับความสูงเชิงมุมประมาณ arctan(290/480*80/275) ≈ 10° (เทียบจากความสูงของพระปรางค์ประมาณ 80 m และระยะแนวราบจากกึ่งกลางพระปรางค์ถึง Amorosa ประมาณ 275 m) จะเห็นว่าเวลา 04:15 ดวงจันทร์อยู่ที่ตำแหน่งแอซิมัทประมาณ 240° ซึ่งต่างจากประมาณ 235° ที่เห็นในภาพนิดเดียว แปลว่าอาจจะมีคืนอื่นที่ดวงจันทร์ตกผ่านตำแหน่งนี้พอดีก็ได้ (แต่จริง ๆ แล้วในเช้ามืดวันที่ 7 มิ.ย. ดวงจันทร์จะตกผ่านหลังพระปรางค์องค์ประธานเกือบพอดี)

ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดในภาพ คือขนาดของดวงจันทร์ล่ะ ถ้าพระจันทร์วันเพ็ญตกข้างพระปรางค์วัดอรุณแบบในภาพจริง ๆ เราจะเห็นดวงจันทร์ใหญ่ขนาดนั้นหรือเปล่า? ถ้าลองเทียบขนาดด้วยวิธีเดียวกันข้างต้น จะได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ arctan(96/480*80/275) ≈ 3.33°

อนิจจา ช่างมากเกินกว่าขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ 30′ (ครึ่งองศา) ไปกว่า 6 เท่า สรุปได้ง่าย ๆ ว่าดวงจันทร์ที่เห็นในภาพ ถูกขยายให้ใหญ่เกินจริงไปมากครับ

อันที่จริงมีวิธีเทียบที่ง่ายกว่านี้มาก เพราะขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นใกล้เคียงกัน ลองสืบค้น Google ด้วยคำค้น Wat Arun sunset จะพบภาพดวงอาทิตย์ตกใกล้พระปรางค์วัดอรุณหลายภาพ นั่นแหละครับ คือขนาดที่แท้จริงของดวงจันทร์เทียบกับพระปรางค์ ที่จะมีโอกาสได้เห็น

ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ศิลปินย่อมมีโอกาสใช้เทคนิคในการสร้างผลงานได้หลากหลาย แต่บางครั้ง เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในผลงานนั้นมีต้นกำเนิดแต่ในจินตนาการของศิลปิน หาได้มีอยู่ในธรรมชาติไม่ เราก็แอบอดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้ แม้ว่าสุนทรียภาพของตัวงานนั้นเองจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

Edited 2013-03-11: กว่า 6 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า

17 May 2011

อารมณ์ชั่ววูบของสังคมออนไลน์ | ล้อมคอกแล้วเปิดประตูทิ้งไว้

เกือบห้าเดือนผ่านมาแล้วนะครับสำหรับเหตุการณ์อุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถตู้บนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ เป็นเหตุให้มีผู้โดยสารรถตู้เสียชีวิต 9 คน ตลอดจนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง¹

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บังเอิญผมได้พบเห็นเหตุการณ์และบทสนทนาที่กล่าวถึงประเด็นนี้อยู่ประปรายในโอกาสต่าง ๆ กัน จึงอยากจะขอย้อนกลับไปมองอีกที ว่าเราเห็นอะไรจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบ้าง

ที่น่าจะเห็นได้ชัดที่สุด ก็คงเป็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของชุมชนออนไลน์ภาษาไทย ที่เหมือนว่าเกือบทั้งหมดจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนพายุอารมณ์ที่ตนได้ปล่อยปะทุขึ้นอย่าง [remarkable] ในคืนนั้นและช่วงวันที่ตามมาไปแล้ว

เหมือนจะน่าเหลือเชื่อ แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ข้อมูลที่ได้รับทราบมาอย่างจำกัด เมื่อผ่านการปรุงแต่งและแรงยุยงสะสมต่อ ๆ กันเพียงชั่วครู่ จะทำให้คนเป็นแสนคนใช้อารมณ์ตัดสิน และเปลี่ยนอารมณ์นั้นเป็นความเกลียดชัง จนร่วมกันตราหน้าผู้กระทำผิด แปลออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และด่าทออย่างรุนแรง ได้อย่างพร้อมเพรียงกันขนาดนี้

และก็ยังน่าแปลกใจน้อยลงไปอีก ที่ชุมชนเดียวกันนั้นเอง จะพากันลืมพายุที่ตนก่อขึ้นและปล่อยให้มอดดับไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน (ความจริงอาจไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ) เพียงถ้าจะมองว่าทั้งหมดนั้นมันคือ "อารมณ์ชั่ววูบ"

แม้อาจจะมีบางคนที่ถามถึงความคืบหน้าในคดีอยู่ ณ เวลานี้ ยังคงมองว่าผู้กระทำผิด (ซึ่งที่จริงแล้วความผิดของเขาคือการขับขี่รถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต ร่วมกับประมาท² จนเกิดอุบัติเหตุ) คือฆาตกรที่สังคมต้องตามล่าจนถึงที่สุด แต่ผมหวังว่าคนส่วนใหญ่ จะได้ใช้เวลาที่ผ่านมา ปล่อยให้อารมณ์สงบลง และหันกลับไปมองเหตุการณ์ที่ผ่านมาเสียใหม่ และตั้งคำถามว่า "เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ และจะทำอะไรเพื่อแก้ไขได้บ้าง?"

และอย่างน้อยผู้จัดทำ Facebook Page ที่มีคน Like กว่าสามแสนคนนั้นก็ได้พยายามส่งเสริมให้ใช้พลังที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา โดยกล่าวว่า

Facebook Page วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพจในครั้งนี้ จัดตั้งขึ้น เพื่อความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างสรรค์สังคม มิได้มีเจตนาประสงค์ โจมตีหรือ ให้ร้าย บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเพื่อหาแนวทางป้องกัน อุับัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียของบุคคลในครั้งนี้ รวมทั้งทางเพจมิได้เจตนาหลบหลู่ และกล่าวหาบุคคลใด หรือหมิ่นสถาบันใด ๆ สถาบันหนึ่ง และ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น จึงขอประกาศทราบและเข้าใจโดยทั่วกัน

ยังไงก็คงดีกว่าสภาพที่คุณ @trangs กล่าวไว้ใน Twitter ว่า TL วันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วย คนด่าแพรวา คนสงสารแพรวา คนด่าคนด่าแพรวา คนด่าคนสงสารแพรวา คนเสนอทางออก คนด่าคนเสนอทางออก มั้งครับ

เพราะแม้ว่าผมจะคิดแทนผู้ที่สูญเสียครอบครัวจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่จะไม่ลืมมากที่สุด) ไม่ได้ แต่ผมก็เชื่อว่าการเรียนรู้ แก้ไข และพัฒนา จะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังประสงค์ร่วมกัน

ส่วนเรื่องความคืบหน้าในคดี ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ควรต้องดำเนินการติดตามต่อไป หากเพียงแต่เป็นเพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่การแก้แค้น ซึ่งผมจะไม่ขอวิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยเพิ่มเติม ณ ที่นี้


ในช่วงแรก ๆ หลังเกิดเหตุการณ์ มีสิ่งหนึ่งที่ผมดีใจที่เหมือนจะได้เห็นความพยายามแก้ไขปัญหา คือการจัดให้มีเข็มขัดนิรภัยในรถตู้โดยสาร³ แม้จะเข้าได้กับคำพังเพยไทยที่ว่าวัวหายล้อมคอก และก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็อย่างน้อยได้ทำอะไรเพื่อพัฒนาบ้างสักนิด ก็คงยังดีกว่าปล่อยให้ความสูญเสียนั้นสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

แต่ทว่าความสูญเปล่านั้นคงจะเป็นสภาพอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคมนี้กระมังครับ เพราะผมเองก็เพิ่งจะได้เห็นตอนขึ้นรถตู้เมืองทองธานี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าเข็มขัดนิรภัยที่ว่าถูกทำให้อยู่ในสภาพดังรูป

วัวหายแล้วล้อมคอกยังรับได้ว่าพยายามแก้ไข แต่ที่ไม่สมควรให้อภัยคือตั้งใจเปิดประตูคอกทิ้งไว้


  1. ถ้าจำไม่ได้ลองกลับไปอ่านดราม่าอันนี้
  2. ที่จริงในเชิงปรัชญาและจริยศาสตร์ การตีความผิดให้การประมาทนั้นคงมีประเด็นให้ถกเถียงได้มากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ก็ถือกันว่าเจตนาเป็นปัจจัยสำคัญของการกระทำความผิด
  3. ผมไม่ชอบใจมานานแล้วกับการที่รถตู้และรถโดยสารประจำทางไม่มีเข็มขัดนิรภัยให้ แต่ที่เกลียดและรำคาญกว่านั้นคือการที่รถแท็กซี่มีเข็มขัดนิรภัย แต่เ*ือกเอาขั้วล็อกเข็มขัดยัดเข้าไปใต้เบาะไม่ให้ใช้ กะว่าถ้ามีคันไหนที่คาดได้จะชมและทิปให้สัก 100% แต่ก็ยังไม่เคยได้เจอสักที

21 March 2011

SuckSeed ヘタクソ

SPOILER ALERT: หากท่านวางแผนจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำให้เก็บเอ็นทรีนี้ไว้อ่านทีหลังเพื่อรักษาอรรถรสในการรับชม

ไปดูมาแล้วครับ ภาพยนตร์เรื่อง SuckSeed ห่วยขั้นเทพ ทีแรกก็ไม่ได้กะจะเอามาเขียนต่อหรืออะไร แต่อารมณ์ค้าง ความคิดแล่นเตลิด (flight of ideas)¹ เต็มไปหมด เลยต้องหาที่ระบาย

ความจริงก็ได้เห็นลิงก์ตัวอย่างภาพยนตร์ (trailer) เรื่องนี้ในทวิตเตอร์ (Twitter) มาพักใหญ่ แต่ตอนนั้นแอบใช้คอมพิวเตอร์ราชการที่ไม่มีลำโพงอยู่ เลยยังไม่ได้ดู พอมาตามดูช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ก็คิดอยู่ว่าน่าสนใจ แต่ก็นึกถึงประเด็นที่โพสท์ในทวิตเตอร์ว่า ภาพยนตร์ GTH ที่มีตัวละครเป็นนักเรียน ม.ปลาย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดนตรี การประกวด Hot Wave แล้วก็รักวัยรุ่น นี่มันคุ้น ๆ? อยู่ด้วย²

พอช่วงวันที่หนังเข้าฉายเกิดเครียด ๆ กับเวรนิดหน่อย บวกกับเห็นพี่ก้อนพูดถึงในบล็อก เลยเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้รีบแจ้นไปดูทันทีที่ว่าง (เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ไปดูในโรง ถัดจากกวน มึน โฮ (เทศบาลนครที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของประเทศ (แทบ) ไม่มีภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม (soundtrack) ฉาย))

ก็อย่างที่เคยบอก ว่าดูหนังไม่เป็น ตอนปี 1 ก็ไม่ได้ลงเรียน Movie World ก็คงจะไม่ได้วิจารณ์อะไรอย่างที่คนดูหนังเป็นเค้าวิเคราะห์กันได้ ขอแค่ไล่เรียงความประทับ (impression) ส่วนตัวมั่ว ๆ มาแล้วกัน

ก็ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง (ความจริงเข้าไปช้าเป็นนาทีได้ ที่นี่เวลาเริ่มฉายไม่นับโฆษณาแฮะ) ก็รู้สึกถึงประเด็นแรกที่พี่ก้อนกล่าวถึงในบทความที่อ้างถึงข้างต้นอย่างชัดเจนเลยครับ ว่าหนังเรื่องนี้ทำมาสะท้อนประสบการณ์วัยเด็ก-วัยรุ่นของคนที่เกิดช่วงปี 1985±2 โดยตรง ซึ่งก็ไม่แปลกและคงเป็นความตั้งใจของผู้เขียนบท ซึ่งก็เห็นว่ามีเพื่อนของคนเขียนมาตั้งกระทู้ในพันทิปเฉลยว่าองค์ประกอบหลายอย่างของเรื่องนั้นดึงมาจากประสบการณ์จริงของเหล่าผู้แต่งโดยตรง ผมเองถึงจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมหลาย ๆ อย่างที่สอดคล้องกับตัวละครในเรื่อง (คือบ้านมีวิทยุแต่เปิดไม่เป็น แล้วก็ไม่ได้ชื่นชมแนวเพลงร็อคเท่าไร) ก็ยัง [identify] กับสิ่งแวดล้อมของตัวละครได้หลายอย่าง แล้วก็แอบอารมณ์ดีเดินออกจากโรงมาไม่น้อย (ถึงจะปวดฉี่สุด ๆ)

แต่กระนั้นก็ตาม ในรายละเอียดหลายอย่างผมยังรู้สึกว่ามันไม่แม่นอ่ะ อันนี้ผมนึกเปรียบเทียบกับในดีวีดีเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว ที่มีบทวิจารณ์ของผู้สร้างภาพยนตร์กล่าวถึงฉากเปิดที่ใช้เพลงสักวันฉันจะดีพอของบอดี้สแลม ว่าจริง ๆ แล้วตามเวลาในท้องเรื่องเพลงยังไม่ออก ในที่นี้เพลงด้วยรักและปลาทูของมอสในฉากแรก ๆ พอจะบ่งอายุของตัวละครที่อยู่ ป.6 ตามท้องเรื่องตอนนั้นได้ว่าต้องไม่เกินรุ่นเดียวกับเราแน่ ๆ (อัลบั้มนั้นวางจำหน่ายเดือนธันวาคม 1997) แต่ [pop culture references] ต่าง ๆ ที่หนังใช้เป็นเครื่องสะท้อนความทรงจำของผู้ชม และดูเหมือนจะมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งโยโย่ โรลเลอร์เบลด (อันนี้มันไม่ใช่เก่ากว่านั้นแล้วเหรอ หรือจำผิดเอง?) เกมเต้น การ์ดยูกิ ที่เรื่องนำเสนอในช่วงมัธยมปลาย จริง ๆ แล้วเป็นกระแสอยู่ตอนช่วง ม.ต้น ต่างหาก (เอ... หรือคิดไปคิดมา คือต้องการจะสื่อว่าคุ้งเห่ออะไรตามหลังชาวบ้านเค้าเป็นปี ๆ?)

อันที่จริงผมรู้สึกว่าองค์ประกอบย้อนยุค (retro) ต่าง ๆ ที่หนังนำเสนอ ดูจะชัดเจนมากกว่าในช่วงต้นเรื่อง เหมือนเป็นการปูพื้นให้คนดู (ในช่วงอายุ 24-28) ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครและฉากท้องเรื่อง ส่วนหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ลดความจำเพาะของเวลาลงมา แต่ก็ยังมีจุดให้สังเกตได้ว่าเวลาในเรื่องเหมือนจะกระโดดมาใกล้ปัจจุบันมากขึ้น อย่าง MSN Messenger 7.0 ที่มีฟังก์ชันเขย่าจอ (nudge) จริง ๆ แล้วก็เพิ่งออกมาเมื่อปี 2005 และแม้ผมจะไม่ได้สังเกตโทรศัพท์มือถือที่ตัวละครใช้ แต่ก็น่าจะพอบอกได้ว่าผ่านยุค 3310 ที่ครองโลกสมัยเราอยู่ ม.ปลาย มาแล้ว ขณะที่ยังบ่งว่ายังไม่ใช่ยุค iPhone และ [touch-screen smartphone] ในปัจจุบัน (เปรียบเทียบกับ [icon] ร่วมสมัย (contemporary) ที่อ้างถึงในหนังเรื่องอื่น เช่นเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networks) ในเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว กับรักมันใหญ่มาก ที่เปลี่ยนจาก Hi5 มาเป็น Facebook ตามยุคสมัย) นักร้องรับเชิญกับเพลงที่เลือกมาใช้ประกอบภาพยนตร์ก็เช่นกัน คือไม่ได้อิงตามช่วงเวลาท้องเรื่องที่จะเทียบจากอายุตัวละครโดยตรง (เพลง ...ก่อน กับ เลี้ยงส่ง ออกห่างกันถึง 11 ปี) แต่โดยรวมแล้วก็ล้วนเป็นเพลงที่คนในช่วงอายุเป้าหมายน่าจะเคยได้สัมผัส (ขนาดผมเองที่ไม่ฟังวิทยุยังรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเพลงเหล่านี้) และต่างเป็นเพลงที่ดังมากพอที่แม้จะไม่ได้เกิดในช่วงปีที่ว่า ก็น่าจะเคยได้ยิน

ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกุศโลบายที่จะช่วยให้หนังทั้งสั่นพ้อง (resonate) กับผู้ชมในวัยดังกล่าว ขณะที่ยังสามารถดึงดูดฐานผู้ชมที่กว้างออกไปอันรวมถึงวัยรุ่นปัจจุบันที่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญอีกกลุ่มได้หรือเปล่า น่าสนใจว่าสำหรับคนที่เกิดมาในยุคที่ไม่มีเทปตลับ (cassette) ขายแล้ว จะประทับใจส่วนไหนของหนังบ้าง แต่กระนั้นที่จริง [icon] ย้อนยุคในเรื่องหลายอย่างก็จำเพาะขนาดที่แค่เกิดทันก็อาจจะไม่ได้รู้จักด้วยซ้ำ ผมเองไม่ทันสังเกตเครื่องเล่นเกมคอนโซล (เข้าใจว่าตอนแรกเป็น Super Famicom? ที่จริงถ้าคิดตามประเด็นด้านบนมันควรจะเข้ายุค PlayStation แล้ว) แต่ปกการ์ตูนนี่ยังไงก็ไม่ [recognise] แน่ ๆ เพราะไม่ได้อ่าน

ภาพยนตร์ที่พยายามเล่นกับ [nostalgia] นี่คงไม่เปรียบเทียบกับเรื่องแฟนฉันไม่ได้ อาจจะไม่ผิดถ้าจะมองว่า SuckSeed กำลังพยายามดึงเอาความทรงจำของคนรุ่นเราออกมาอย่างที่แฟนฉันเป็นความหลังวัยเด็กของชาว Generation X แต่สำหรับ SuckSeed ประเด็นความหลัง (ที่อาจจะไม่ "โดน" ผู้ชมได้มากมายเท่า) คงไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดันหนังที่สำคัญเท่ากับในกรณีของแฟนฉัน

เขียนมาถึงตรงนี้ (ข้ามวันมา ถ้าไม่ค่อยต่อเนื่องอย่าแปลกใจ) ก็ต่อไม่ถูกแล้ว ขออนุญาตจบห้วน ๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ประเด็นอื่นที่ยังไม่ได้พูดถึงอีกก็มี

  • ฉากสนามบิน (setting อดีต) เคาน์เตอร์ Orient Thai เบรกอารมณ์สุด ๆ
  • ฉากโถฉี่หายไปไหน? (หรือเราไม่ทันสังเกตเอง?) (Edit: น่าจะเป็นตอนที่เจอนักร้อง arena ในห้องน้ำนะ ขอบคุณปัฏฐาครับ)
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ ทุ้มอยู่ในใจ แต่เสียง tenor สุด ๆ
  • มีเพลงบุษบาในแผ่น soundtrack ด้วย ไหงงั้น
  • ป.ล. เพิ่งรู้ว่าเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ของการบินไทย มี B747 บินด้วย
  • ป.ป.ล. ไหน ๆ เขียนมาในหัวข้อแล้ว เผื่อมีคนสงสัย ภาษาญี่ปุ่น katakana ในโลโก้ภาพยนตร์อ่านว่า hetakuso แปลว่า extreme clumsiness (หรือที่มีคนแปลในกระทู้พันทิปว่า ห่วย(อึจาระ)แตก

  1. ความจริงแล้ว flight of ideas เป็นอาการทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ในที้นี้นำมากล่าวเปรียบเทียบในเชิงขบขันเฉย ๆ
  2. อ้างถึงเรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

Last edited: 2011-03-25 15:24

29 May 2010

ปริญญา-ค่านิยม-สังคมไทย

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่าผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ได้เลิกเขียนบล็อกแต่อย่างใด เรื่องเก่า ๆ ที่ดองไว้ยังคงอยู่ใน to-do list รอวันที่จะได้ผุดได้เกิดต่อไป

ช่วงนี้ผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันก็กำลังมีเรื่องต้องวางแผนและเตรียมตัวเกี่ยวกับงานรับปริญญาอยู่พอควร ซึ่งก็มีรายละเอียดให้วุ่นวายหลายอย่างทั้งเรื่องลางาน การเดินทาง ตัดชุดครุย ฯลฯ แต่ลำพังการเตรียมตัวที่จำเป็นเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นปัญหายุ่งยากเท่ากับภาคเสริมที่เพิ่มเข้ามา ทั้งการนัดเพื่อน หาคนถ่ายรูป แต่งหน้าทำผม ฯลฯ ที่ดูเหมือนว่าด้วยค่านิยมของสังคมในปัจจุบัน ก็เกือบ ๆ จะกลายเป็นภาคบังคับไปอีกส่วนแล้ว

ผมเองปกติก็ว่าไม่ชอบทำอะไรตามกระแสเท่าไร แต่ก็ยังหวั่น ๆ อยู่เลยครับว่าถ้าไม่มีช่างภาพส่วนตัวเหมือนเพื่อน ๆ แทบทุกคนที่เจอตอนรับปริญญากันเมื่อสองปีก่อนนี่จะแปลกประหลาดขวางโลกไปหรือเปล่า ไม่รู้มัธยฐานของสังคมเค้าต้องเตรียมอะไรกันแค่ไหน

Case in point: บทความชุด Commencement Guideline ของคุณ puyisme ที่เว็บไซต์คณะกรรมการบัณฑิตจุฬาฯ (กบจ.)¹ เอามาลงไว้

คิดว่าถ้าเรียกการเตรียมตัวระดับนี้ว่าเป็นมาตรฐานชั้นหนึ่งของสังคมวัตถุนิยมในปัจจุบันก็คงไม่ผิดนัก (ขออภัยหาก offend - ไม่มีเจตนาเจาะจงว่าใคร แต่อยากกล่าวถึงค่านิยมของสังคมในภาพรวมเฉย ๆ) ซึ่งก็ไม่ได้คิดจะทำตามหมดนั่นอยู่แล้วล่ะ แต่อ่าน ๆ ไปแล้วก็ติดใจตะหงิด ๆ อยู่บางอย่าง

อย่างตรงการเชิญแขกผู้มาร่วมแสดงความยินดีนี่มัน... ยังไงนะ? ในความรู้สึกของผม ปกติแล้วงานที่จะมีการเชิญให้เข้าร่วมนั้นน่าจะต้องมีการเลี้ยงตอบรับ หรือให้แขกมีอภิสิทธิ์ได้เข้าร่วมในพิธีสำคัญบางอย่าง แต่ตรงนี้อย่าว่าแต่แขกเหรื่อมากมายที่ไหนเลย พ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่มีสิทธิ์เข้าหอประชุมเลยด้วยซ้ำ (ซึ่งผมก็สงสัยอยู่ว่าแล้วตกลงงานรับปริญญานี่จัดให้ใครนะ ไม่ใช่ว่าที่ทั่วไปมักถือกันว่าพ่อแม่เป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียนมา ก็ควรจะได้มีส่วนร่วมในงานพิธีนี้หรอกเหรอ)

หรืออย่างการมีผู้ดูแลที่แทบจะต้องคอยรับใช้ทุกอย่าง ซึ่งพาให้ผมนึกไปถึงคอลัมน์ Miss Manners ของ Judith Martin ที่เคยกล่าวถึงแนวโน้มของงานแต่งงานอเมริกันที่นับวันจะพลิกผันเป็นงานเติม ego ของเจ้าสาวที่มักเห็นเพื่อนเจ้าสาวเป็นทาสรับใช้และเห็นแขกเป็นบ่าวบริพาร (Miss Manners ยังกล่าวอีกว่ามักมีญาติสนิทเพียงไม่กี่คนที่จะอยากมีส่วนร่วมในงานรับปริญญาของบัณฑิตจบใหม่)

ความจริงเกือบทุกแง่ของการรับปริญญาตามแบบสมัยนิยมที่ว่านี้ ก็ดูจะคล้อยตามค่านิยมงานแต่งงานที่เห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งการเตรียมการเยอะแยะที่ว่า แล้วไหนจะการจัดฉากถ่ายรูปให้ดูดีเป็นพิเศษ ฯลฯ

ก็คงสอดคล้องกับความที่ว่าในสังคมไทย การรับปริญญาดูจะเป็นก้าวการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแต่งงาน

เพราะกระดาษแผ่นเดียวนี้มันเป็นทั้งใบอนุญาตให้มีตัวตนอยู่ในโลกการทำงาน เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล และสำหรับบางคนมันอาจเป็นใบเบิกทางที่เปิดให้ก้าวข้ามกำแพงแห่งชนชั้นได้ในที่สุด


  1. เคยบ่นว่าคำอย่างนี้ที่ควรจะทับศัพท์ตามรากบาลี (paṇḍita) ก็ดันใช้ราชบัณฑิตฯ

3 February 2009

ไม่ได้สังเกตเล้ย...

ผมเป็นผู้บริโภคครับ...

สินค้าที่บริโภคที่จะพูดถึงในที่นี้ คือนมยูเอชทียี่ห้อโฟร์โมสต์ครับ

หน้าตาผลิตภัณฑ์ก็แบบในภาพนี่แหละครับ

เมื่อวานซืน (ดองบล็อก) ก็ดื่มครับ

แต่เอ๊ะ?

ทำไมมันแปลก ๆ...

เพราะด้านบนกล่องเขียนว่า "เขย่าก่อนเปิด" ผมก็เขย่าตามที่บอกไว้อย่างที่เคยทุกที

แต่ทำไมเสียงกระฉอกมันไม่เหมือนเดิม?

..?

อ๊ะ...

ปริมาตรสุทธิ 225 มล.

อ้าว...

ครับ ผู้บริโภคไม่ได้สังเกตเล้ย...

(ที่จริงก็เคยเห็นอยู่หลายครั้งหลากผลิตภัณฑ์แหละครับ แต่ครั้งนี้เป็นการประสบกับตัวเองแบบใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา)


เมื่อวานเพิ่งเห็นก่อสร้างที่คณะครุศาสตร์ ตรงสวนระหว่างอาคารสองฝั่ง รวมถึงบริเวณที่เคยมีร้านน้ำปั่นกับโรงอาหารอยู่ (แต่ร้านน้ำปั่นไม่ได้หายไปไหนหรอกนะครับ แค่ย้ายที่ไป (ความจริงยังไม่เคยกินเลยด้วยซ้ำ น้ำปั่นครุเนี่ย))

จะก่อสร้างอะไรกันนักหนานี่ พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจกันจริง

เรื่องของเรื่องก็คือเสียดายครับ สวนตรงคณะครุศาสตร์เป็นภูมิสถาปัตยกรรมภายในจุฬาฯ ที่ผมชอบเป็นอับต้น ๆ เลยทีเดียว ยังไม่นับว่าเป็นที่เดียวในมหาลัยที่นับได้ว่าเป็น quad

สงสัยทีนี้ต่อไปคงต้องจับตาดูสนามระหว่างอาคารไชยยศสมบัติซะแล้ว...

4 January 2009

4 January 2009

ที่สุดก็ดองข้ามปีจนได้

เกือบจะโพสท์ได้ครบทุกเดือนอยู่แล้วเชียว

เอาเถอะ ไหน ๆ ก็เข็น (อย่างยากลำบาก) จนเครื่องติดแล้ว เรากลับสู่โหมดปกติ (ของบล็อก) กันดีกว่า...

ไล่ย้อนหลังเป็นเรื่อง ๆ ไปเลยแล้วกัน

Happy New Year 2009!

กะจะตั้งริงโทนเพลงพรปีใหม่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำ... (แต่ก็ดีแล้ว เพราะแทบไม่มีโทรศัพท์เข้าเลย)

26 December 2008

ขอไม่พูดถึงเรื่องสอบ (ไม่เคยพัฒนา)

ด้วยว่าครั้งนี้สอบช่วงเช้า เลยเหลือว่างอีกครึ่งวัน ครั้นจะกลับบ้านเลยก็รู้สึกใช่ที่ชอบกล แต่แล้วก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี

เลยแกร่ว ๆ ดูพวก rotate 4 ถ่ายรูปกันอยู่พักใหญ่ จนกุ้ง-ยุทธนา ชวนเป็นเพื่อนเดินไปเอาเค้กที่สีลม ก็เลยออกมา... แต่ไป ๆ มา ๆ คุณกุ้งเกิดต้องไปตามหากระเป๋าพยาบาลที่ยืมไปเยี่ยมบ้านสัปดาห์ก่อน ก็เลยยังไม่ได้ไปเอาเค้ก ไอ้เราก็... เมื่อกี้คุยเรื่องเห็นป้ายว่า LoFt มาเปิดที่จามจุรีสแควร์ ก็เลย... ไปก็ไปวะ (สอบเสร็จคราวก่อนก็ไปสำรวจจามสแควร์ อะไรมันจะสิ้นคิดขนาดนี้)

ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไป (ช่างไม่คุ้มเสียนี่กระไร แต่มาโผล่ฝั่ง ถ.ราชดำริแล้ว ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนอกจากเดิน) ก็ไปขึ้นลงบันไดเลื่อนสำรวจ ๆ อีกรอบ ก็เจอว่านอกจาก LoFt แล้ว...

Daiso at Chamchuri Square

มี Daiso มาเปิดด้วยแฮะ

(ส่วน LoFt ไม่ยอมให้ถ่ายรูป)

LoFt ก็... ขนาดร้านใหญ่ปานกลางอยู่ สัก 3 unit ได้มั้ง (ตอบละนะ) ส่วน Daiso นี่ เดินเข้าไปนี่ต้องคอยระวังกระเป๋ากลัวจะเกี่ยวอะไรร่วงกราวลงมา

(พูดถึงกระเป๋านี่... วันนี้แบกชีทไปด้วย ก็ไม่ได้เยอะแต่ว่าหิ้วไปหิ้วมาทั้งวัน เลยชักสงสัยว่าพวกผู้หญิงเค้าทนแบกบ้านใส่กระเป๋า Harrods (ปลอม) หิ้วไปมาทุกวันได้ยังไงกัน)

ขึ้นไปศูนย์หนังสือจุฬาฯ เห็น gift set ผ้าขนหนูหรรษา น่ารักดี (แต่ไม่กล้าถ่ายรูป หลังจากเผชิญหน้ากับพนักงาน LoFt มา)

แล้วก็เจอว่าเสื้องานบอลออกแล้ว (อบจ. นี่... แต่ละปีจะทำงานต่อเนื่องกันสักนิดไม่ได้เลยรึไง เว็บเกือบ ๆ จะดีเมื่อไรก็เริ่มใหม่เมื่อนั้น คนจะดูนี่ต้องควานหาใหม่ตลอด) ก็เลยได้จุดหมายไปศาลาพระเกี้ยวต่อ...

เดินต๊อก ๆ ทะลุผ่านซอยข้างคณะบัญชี (หน้าตึกมหิตลาธิเบศร์ ซึ่งตอนแรกชื่อตึกนวัตวิทยาการ) อ๊ะ มีตลาดนัดด้วยแฮะ (เฉียด ๆ เข้าไปดูหน่อย แต่ก็ไม่เคยซื้ออะไร)

เสื้องานบอลปีนี้มีแบบเดียว (ไม่แยกชาย-หญิง) และบอกขนาดเป็นนิ้วครับ

ถูกใจมากมาย... ทำไมไม่ใช้ระบบนี้เป็นมาตรฐานให้หมดนะ จะได้ตัดปัญหาความ [arbitrary] ของขนาดเสื้อที่ช่างเป็นปัญหาตลอดกาลไปได้ซะ

เสื้องานบอล ไซส์ 38

(ตอนที่ไปซื้อนี่ไซส์ 40 กับ 44 หมด ไม่งั้นก็อาจจะพะวงเลือกอยู่อีกนานอยู่ดี)

เรื่องปัญหาขนาดเสื้อนี่เห็นสด ๆ ล่าสุดก็เรื่องเสื้อ extern นี่แหละครับ

แต่อันนี้ปัญหาหลักเกิดจากเสื้อที่ลองกับเสื้อที่ได้จริงขนาดไม่ตรงกันเสียมากกว่า

ขำดี... วันที่ 27 พ.ย. เป็นเทศกาลวิตกจริตหมู่ ไปนั่งยืนดูเพื่อน ๆ ลองเสื้อแล้วลองอีก (เชื่อได้ว่าปุริมลองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากว่า 20 รอบ)

(ที่จริงผู้เขียนก็ไม่ได้น้อยหน้าเท่าไร... หลังจากสั่งไปแล้วโดน psycho ก็ไปวิ่งเต้นขอแก้ เสร็จแล้วก็แก้กลับอีก)

แต่เอาเถอะ ประเด็นก็คือถ้าบอกขนาดเสื้อเป็นตัวเลขตั้งแต่ต้น ก็ไม่ต้องมาตั้งชื่อขนาดให้ผิดไปจากความเป็นจริงเพื่อเพิ่มความมั่นใจของผู้ซื้อให้วุ่นวายอีก (ทำไมเสื้อผู้หญิงถึงมี SSS ถึง M ขณะที่เสื้อผู้ชายมีขนาด S ถึง XXL? เพราะผู้หญิงอยากได้ชื่อว่าตัวเล็กส่วนผู้ชายไม่อยากหรือเปล่า)

...

ได้เสื้อแล้วก็ขึ้นรถป๊อพไปสยาม... (ไม่มีทางอื่นไป เพราะไม่มีแผนไปหอกลางหรือรร.เตรียมฯ และไม่อยากเดิน)

แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้ากลับ เพราะมาสยามแล้วก็ต้องแวะ Kinokuniya/Asia Books พอเป็นพิธีก่อน

และก็เผื่อว่าในฐานะที่เพิ่งสอบเสร็จ อาจจะได้บังเอิญเจอใครด้วย (เรื่องของเรื่องคืออยากอวดเสื้อ)

ขึ้นไป Kino... ติดใจ A History of Thailand (Chris Baker & Pasuk Phongpaichit) ก็เลยเดินไปสำรวจราคา Asia Books (ตาม routine) ปรากฏว่าไม่มีของ แต่ที่สยามดิสฯ มี ก็เลยเดินต๊อก ๆ ไปสยามดิส (แต่ดันเสร่อไม่รู้ว่าเค้ามีงาน Asia Books Carnival ที่ Living Mall ชั้น 3)

ที่ Asia Books สยามดิสฯ ก็เจอผลของปรากฏการณ์กระแสคลื่นซัดถล่มของ Twilight... อะไรมันจะปานนั้น

Twilight series out-of-stock notice at Asia Books

(ป้ายบอกให้ลงชื่อจองหนังสือ)

ได้หนังสือแล้วแต่ยังไม่เห็นเจอใครเลย... (ยังไม่ได้อวดเสื้อ) ก็เลยขึ้นไปสำรวจหน้าโรงหนังดีกว่า (กะว่าเจอชัวร์ ไม่เจอก็จะกลับมาโพสท์บล็อกว่าแปลกที่ไม่เจอใครละ) แล้วก็เจอจริง ๆ: เจอเบิร์ด-นรเชษฐ์ กับเค้ก-กฤษณะ ก็หายประสาทกับเสื้อสักที

ว่าไปแล้ววันนี้ราวกับโรงเรียนครึ่ง กทม. สอบเสร็จพร้อมกันโดยแอบนัดหมายเล็ก ๆ... ทั้งห้าง (โดยเฉพาะโรงหนัง) มีแต่เด็กนักเรียนเต็มไปหมด

เดินไปเดินมาเย็นละ... กลับบ้านได้สักที

จบวัน จบปี (ถ้าสอบไม่ตกน่ะนะ) เตรียมเป็น extern โง่ต่อไป - -'

12 December 2008

สืบเนื่องจากกระทู้นี้ที่บอร์ด DekTriam.net...

(เป็นกระทู้ล็อกเฉพาะสมาชิก... คาดว่าผู้ที่หลงเข้ามาอ่านบล็อกจะมีอยู่ท่านเดียวมั้งที่เป็นสมาชิกบอร์ด ยังไงคนอื่นสงสัยเรื่องเนื้อหาติดต่อหลังไมค์ละกันครับ)

ก็เป็นกระทู้กระแสอีกกระทู้นึง เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้... แต่ประเด็นที่สงสัยมากคือเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของชาวบอร์ด

เพราะตัวเองอ่านดูแล้วก็รู้สึกอยู่ว่าประชดได้สะใจ+ขำดี และออกชัดเจนมาก แต่คนตอบกระทู้จำนวนมากกลับไม่คิดอย่างนั้น ก็เลยสงสัยว่าสมัยที่อายุเท่านั้นความคิดเรายังตามไม่ทันกันขนาดนั้นเชียวเหรอ หรือว่ามันเป็นความแตกต่างของบุคคลมากกว่า?

(ผู้อ่านบล็อกที่กล่าวถึงเห็นแล้วก็ช่วย comment ด้วยนะครับ)

6 December 2008

เห็นนี่ที่ตลาดมวกเหล็ก...

Game cartridges

ผู้อ่านบางคนอาจจะเกิดไม่ทัน... มันคือตลับเกม (เครื่อง Famicom?) ครับ...

ไม่ได้เก่าแก่มากมายด้วย เห็นตราประทับเจ้าพนักงานบอกว่าปี 2546

ใครยังมีเครื่องอยู่บ้างไหมเนี่ย... เหอะ ๆ

1 December 2008

วันนี้วันเอดส์โลกครับ

ปีนี้เพื่อน ๆ คุ้นเคยกับริบบิ้นแดงกันแล้ว... คำถามจะเป็นว่าวันไหนแทน

พอดีบ่ายวันนี้เป็น SDL (ที่จริงควรไปช่วยรับเสด็จ แต่ไม่มีเสื้อแขนยาว) ช่วงกลางวันก็เลยแวะไปดูงานเทียนส่องใจที่ลานอาสากาชาด

เพิ่งรู้ว่า NGOs ที่ทำงานเกี่ยวกับ HIV/AIDS มีเยอะขนาดนี้...

ซุ้มเยอะแยะมากมาย แล้วที่ต่างก็มีกันหมดก็คือโบรชัวร์แจกจำนวนมาก... แต่เห็นอันนี้แล้วเตะตาที่สุด

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ในกลุ่มชายรักชาย

เค้าเจาะจงกลุ่มเป้าหมายกันขนาดนั้นเชียว~

(เป็นโบรชัวร์ของคลินิกสุขภาพชาย ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ครับ)

Motor Expo: What the..?

ผมเคยบ่นเรื่องความตอแหลของสังคมเรื่องโลกร้อนไปแล้ว...

แต่ผมไม่อยากจะเชื่อครับว่าความตอแหลที่ว่านั้นมันจะมากได้เพียงนี้

Motor Expo 2008 ticket

ไม่อยากจะเชื่อครับ

ผมไม่แน่ใจว่าคนคิดใช้ความหน้าด้านหรือความอยู่ในกะลาทำออกมา แต่มันเป็นไปแล้วจริง ๆ

ทุกคนคงทราบกันอยู่แล้วว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงของยานพาหนะเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของภาวะโลกร้อน แต่ทำไมงานที่มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้ยานพาหนะดังกล่าวโดยตรงถึงกล้าเอาปัญหาโลกร้อนมาขายได้?

ผมพยายามคิดว่าคงจะพอให้อภัยได้บ้างถ้าในงานมีการนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปลดปล่อย CO₂ เป็นจุดเด่น แต่จากการประชาสัมพันธ์ที่เห็น ข่าวที่ออกมา และการสอบถามดู ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ถ้าไม่เรียกว่าตอแหล ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วครับ

Update: เรื่องโฆษณา

ใน On ads, rhythm and the BTS ผมลืมพูดถึงโฆษณาที่ผมรำคาญอีกชุดครับ...

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=CKqi2IZ4RRI">Link</a><a href="http://www.youtube.com/watch?v=0RhBtCyN_ew">Link</a>

ผมไม่คิดว่าเมืองไทยประกันชีวิตจะได้ประโยชน์จากโฆษณาที่เปรียบเทียบลูกค้ากับคนที่เต้นแร้งเต้นกาบ้า ๆ บอ ๆ กลางถนน หรือคนแก่หูตึง/ความจำเสื่อม/หื่น ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพแง่ลบทั้งสิ้น ในโฆษณาอันหลัง แม้ว่าโฆษณาจะต้องการสร้างภาพพนักงานให้บริการตอบคำถามได้ทันใจ แต่สารที่ผมได้รับคือภาพความสาระแนและความรู้สึก [patronizing] ที่ไม่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้อยากใช้บริการเลย

แต่พูดถึงโฆษณาประกัน ก็มีอันนี้ที่ถูกใจอยู่ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=WvjAE5qkvZg">Link</a>

โฆษณาประกันชีวิต My Lite ของ Ayudhya Allianz C.P. ครับ ผมรู้สึกว่าองค์ประกอบของโฆษณาช่าง [comic] มาก และได้จังหวะลงตัวพอดี จนเวลาเห็นบนรถไฟฟ้าก็อดยิ้มไม่ได้ และมักจะแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ทีเดียวครับ (จังหวะที่เศษเค้กหล่น - ไม่แน่ใจว่าผมเป็นอยู่คนเดียวหรือเปล่านะ)

โฆษณาอีกอันที่ไม่ชอบครับ: Federbräu

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=ndYn6nqUn3A">Link</a>

ดูแล้วไม่รู้สึกว่าตัวละครผู้ชายจะเป็นคนดีตรงไหนเลยครับ นอกจากจะเก๊กจนน่าถีบแล้ว ยังแสดงท่าทีจ้องจะกินผู้หญิง หลอกลวง ไม่จริงใจ ฯลฯ ถามจริง ๆ เถอะว่าคนที่เจตนาดีจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตะโกนเรียกตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นคนลืมพาสปอร์ตไว้แล้ว?

แต่เอาเถอะครับ ล้างด้วยโฆษณา ปตท. (เติมความผูกพัน) ดีกว่า (feel good จนเกือบจะเอียน)

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=iHdCAw3QDhk">Link</a>

Edit:

มีอีกเรื่องที่ลืมพูดถึงครับ: ถูกใจฉายาแพะการเมือง ที่สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทยตั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมากมายครับ ตรงใจสุด ๆ - ผมเองยังพูดอยู่หลายครั้งว่าความผิดอย่างเดียวของตำรวจในเหตุการณ์วันที่ 7 คือ [incompetence] เท่านั้นเอง

Last edited 16:28, 4 January 2009

Copyright of posted media are owned by their respective owners.

23 October 2008

กระทรวงทำลายล้างเทคโนโลยีและปิดกั้นการสื่อสาร

ที่สุดก็อด quote th.uncyc ไม่ไหว

แต่ข่าวที่ออกมานี่ ("นายกฯ จี้ไอซีทีจัดการเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูง" สำนักข่าวไทย 2008-10-22) นี่มันช่างเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนจริง ๆ...

ว่าทั้งกระทรวงมีหน้าที่อยู่แค่นี้เอง


(กลับไปปั่น EBM ต่อ...)

16 October 2008

เอาอีกแล้ว... Mandate for the Internet Censorship Task force

Blognone (PaePae): ไอซีทีบล็อกบทความ "Bhumibol Adulyadej" บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ?

FACT นี่ก็ไม่ไหว... ไม่ทันข่าวอะไรกับเค้าบ้างเลย

ใครที่ไม่ได้ใช้เน็ต true หรือ จุฬาฯ หรือนนทรี ฯลฯ อาจมีปัญหาในการเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าว

แล้วไอ้หน้าปัญญาอ่อน นี่จะมีไว้ทำไม? มีหน้าจะเซ็นเซอร์ก็ redirect เข้าดวงตาพญามาร (ทำใจลิงก์ไป th.uncyc ไม่ได้) ให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ

ประเทศนี้...

เลิก ๆ ๆ

เลิก true

เลิกเน็ตจุฬาฯ (ยังรอว่าเมื่อไรจะเจอหน่วยงานอื่นของจุฬาฯ ทำงานห่วยกว่าสำนักไอที (ความจริงก็เวอร์ไป หลายหน่วยงานก็ห่วยพอกันทั้งนั้น))

เลิกประเทศไทย ไม่ไหวมั้ง ทำไจไปก่อนเหอะ

แม่ง...

(บรรทัดข้างบนมีความจำเป็นต้องไม่แก้เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ของผู้เขียน)

อย่าให้ต้องเขียนเรื่องหมิ่นฯ นะ...

เรื่องกระทรวงที่ริอาจคิดอยากจะสร้าง Great Firewall แต่ทำได้เผาเค้กวันเกิด (ทำใจ quote th.uncyc ไม่ได้อีกเหมือนกัน) นี่อีก...

ห่วยฉิบ

เอาเถอะ ผมจะช่วยบอกให้: พวกคุณลืมบล็อค The King Never Smiles ที่ Google Books น่ะ

เอาสิ ผมให้ลิงก์ตรงเลย แน่จริงก็บล็อคบล็อกผมสิ

จะได้รู้ว่าไม่มีอะไรสร้างสรรค์ทำแล้วจริง ๆ

เสียเวลาคนต้องอ่านหนังสือสอบ...


  • Wikipedia (วิกิพีเดีย) is a multilingual, Web-based, free content encyclopedia project (แปล: โครงการสารานุกรมออนไลน์หลายภาษาที่ไม่จำกัดสิทธิในการใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือแก้ไข) และเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการเข้าชมมากเป็นอันดับ 7 (สถิติจาก Alexa) ทั่วโลก
  • หนึ่งในเสาหลักห้าประการของวิกิพีเดียคือ "neutral point of view" หรือมุมมองที่เป็นกลาง และมีนโยบายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับ Biographies of living persons ซึ่งหมายความว่าการโจมตี ให้ร้าย หรือกล่าวถึงบุคคลในทางที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นประมาทนั้น จะทำไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับเด็ดขาด
  • ลักษณะเด่นของวิกิพีเดียคือผู้อ่านทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงทำลายล้าง... (oops) MICT) สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่ามีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ซึ่งการดูแลให้เนื้อหาของวิกิพีเดียมีความเป็นกลางข้างต้น ก็ขึ้นกับทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่ MICT) ที่มีสิทธิ์ร่วมแก้ไข
  • บทความ Bhumibol Adulyadej ได้รับเลือกเป็น featured article หรือบทความคัดสรร บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ หมายความว่าได้ผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาจากประชาคมแล้วแล้วว่าเป็นบทความคุณภาพที่มีความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง ซึ่งถึงจะพูดตรง ๆ ตามความเห็นของผมว่าหลังจากที่ได้รับเลือกแล้วหลายส่วนของบทความก็ลงเหวมาเรื่อย ๆ ก็ยังยากที่จะเข้าใจว่า...
  • ทำไม MICT ถึงเลือกที่จะปิดกั้นสายตาคนไทยไม่ให้สามารถเข้าไปแก้ไขสิ่งที่เป็นเท็จหรือไม่เหมาะสม (ถ้ามี) แต่กลับทิ้งไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้ โดยไม่คิดที่จะปรับปรุง? (หรือว่าจะเป็นเพราะความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ MICT (และคนไทย??? ← เอาอะไรมาบังคับความคิดของคนไทยทั้งประเทศ?) ต้องการ?)
  • ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ MICT จงใจบล็อคเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งน่าสนใจทีเดียวเมื่อพิจารณาข่าว เด็กฮิตท่องเน็ตดู"คลิปหลุด" - 86% เล่นเกม - แค่ 14% ศึกษา ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวานนี้ และรายงานการแถลงข่าวของปลัดกระทรวงศึกษาธิการตอนหนึ่งว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่เด็กและเยาวชนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เพราะสื่อการเรียนรู้ในอินเตอร์เน็ตมีไม่เพียงพอ และไม่มีทางเลือกที่หลากหลาย

เฮ้อ...ประเทศไทย

28 September 2008

ประเทศไทย~

ผมเพิ่งสังเกตอะไรบางอย่างจาก Google Maps...

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นพรมแดนประเทศได้ชัดเจนผ่านดาวเทียม!

พระเจ้าช่วย ตายละ... นึกถึงการ์ตูนมหาสนุกสักเรื่องที่เคยอ่านเมื่อนานมากมาแล้ว ที่เกี่ยวกับเจ้าหญิง (ทำนองนี้) ที่จะหนีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาประเทศไทย แล้วบอกว่ารู้ว่ามาถึงประเทศไทยแล้ว เพราะภูเขาลูกต่อไปไม่มีต้นไม้

ไม่นึกว่าจะจริงขนาดนี้

26 September 2008

On ads, rhythm and the BTS

ครับ หัวข้อนี้ที่จริงค้างมาเดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เขียนสักที จนชักน่ากลัวว่าจะเริ่มล้าสมัย ยังไงอาจจะต้องจินตนาการย้อนไปนิด คงไม่เป็นไรนะครับ

อยากจะพูดถึงเรื่องโฆษณา...

ปัจจุบันนี้ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสติดตามสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เท่าไรครับ (ห่างเหินกับกล่องสี่เหลี่ยมนั้นมากขึ้นทุกที)

ภาพยนตร์โฆษณาที่มีโอกาสได้เห็นส่วนใหญ่ก็จะเหลือแต่ที่ฉายบนสถานี/รถไฟฟ้า BTS เสียเท่านั้น

เพราะขนาดเพลง "เรื่องจริง" ของบอย(ด์) ที่ช่วงตอนอยู่ดมยา (วิสัญญี - ประมาณต้นเดือน ก.ค.) นับว่าได้ยินจากวิทยุในห้องผ่าตัดแทบจะทุกวัน วันละหลายครั้ง จนเกือบจะเอียน (แข่งกับ "เพื่อน" ที่ร้องใหม่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รัก สาม เศร้า) ผมยังเพิ่งจะทราบว่าเป็นเพลงประกอบโฆษณา Canon ก็ตอนที่เห็นอยู่ในอัลบั้ม Songs from Different Scenes #5 นี่เอง

ซึ่งเรื่อง SFDS นั่นก็ไม่ได้รู้มาจากไหน ก็โฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้านั่นแหละครับ

ความจริงเรื่องโฆษณาบนรถไฟฟ้า ชมรมหรี่เสียงกรุงเทพคงไม่เห็นด้วยเท่าไร

ซึ่งเรื่องเสียงดังนี่ผมก็เห็นด้วยอยู่เหมือนกันนะครับ แต่พูดไปก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าตัวกลายเป็น [hypocrisy] หรือเปล่า เพราะผมก็อาศัยโฆษณาเหล่านั้นเพื่อความบันเทิงเหมือนกัน (แต่ก็สังเกตอยู่ว่าระดับความดังมันฟังดูไม่ค่อยจะเสมอต้นเสมอปลายเอาเท่าไร)

เอาเถอะนะครับ ยังไงก็อยากจะขอพูดถึงโฆษณาที่เห็นช่วงที่ผ่านมา (บวกกับอีกเดือนเศษ) สักหน่อย

ผมชอบโฆษณา "50 ปี การไฟฟ้านครหลวง" ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MjCsCZb2VdE">Link</a>

ด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักการสร้างสรรค์สื่อโฆษณาแต่อย่างใด ก็จะไม่ขอวิจารณ์รายละเอียดนะครับ

นอกจากนี้ก็มีโฆษณาของธนาคารกสิกรไทย ที่ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายหรอกครับ เพียงผมรู้สึกว่าสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้คนดูจำได้ดีมาก (แต่จะกลายเป็นจำโฆษณาได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์หรือเปล่านี่ไม่ทราบนะครับ) ขนาดที่ผมเห็น trailer โฆษณาตัวอย่างภาพยนตร์ของจริงบางอันแล้วยังนึกว่าตอนจบจะเป็นโฆษณาธนาคารกสิกรไทย แต่ไม่ใช่เสียนี่

ส่วนโฆษณาที่น่ารำคาญที่สุด (ซึ่งจากการ google ดูคร่าว ๆ ผมว่ามีคนเห็นด้วยกับผมไม่น้อย) ก็คงไม่พ้นโฆษณาชุด "นามาฉะ นะมาชะ กรีนลาเต้" ครับ (อันนี้ไม่ต้องใช้ความรู้ด้านการสร้างสรรค์สื่อในการวิจารณ์)

ความน่ารำคาญนี่ไม่เกี่ยวกับข้อที่น่าสงสัยว่าทำไมถึงสะกดชื่อผลิตภัณฑ์แบบนั้น (เข้าใจว่าคงไม่เขียนตามเสียงอ่านว่า นามาฉะ แต่ทำไมถึงสะกดว่า นะมาชะ แทนที่จะเป็น นะมะชะ ถ้าจะถอดคำตามภาษาต้นแบบ?)

แต่นอกจากความน่ารำคาญโดยพื้นฐานที่ใครเห็นก็คงรู้สึกได้ (การทำหน้าบู้บี้แล้วพูดอะไรไม่รู้เรื่อง) ความไร้เหตุผลของแนวคิดของตัวโฆษณานี่ ผมว่าเกือบจะแย่กว่าด้วยซ้ำ

เพราะความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว Namacha คือชื่อผลิตภัณฑ์ green แปลว่าเขียว latte แปลว่ากาแฟใส่นม

รวมกันก็เป็น นามาฉะ กาแฟเขียว ไม่เห็นมีอะไรน่างงตรงไหนแม้แต่น้อย (นอกจากชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าอันนั้นเป็นปัญหาก็ไปเกิดใหม่เถอะ)

จะมา ชานามา เขียวแฟกา มาชานา แฟกาเขียว ฯลฯ ทำบ้าอะไร เพื่อ?

เลิกฉายไปนี่โล่งใจเวลาขึ้นรถไฟฟ้าขึ้นเยอะครับ (ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครคิดจะอัพโหลด)

ส่วนโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งที่ผมรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ คือโฆษณา "ทิปโก้ คูลฟิต" ชิ้นนี้ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=L8Tcge79cJE">Link</a>

ไม่แน่ใจว่าคนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมจะขออธิบายความรำคาญของผมดังนี้ครับ

ขอถอดจังหวะเพลงในโฆษณาให้ดูดังนี้ (โน้ตบรรทัดล่างไว้ให้เทียบนับจังหวะ)

อาจจะดูยุ่งเหยิงไปหน่อย แต่ประเด็นคือ สังเกตเนื้อหาของเพลงส่วนที่คล้ายกัน เช่น ช้อบชอบ ว่าตรงกับจังหวะที่ 7, 12, 20, 25 ตามลำดับ

ปัญหาก็คือไม่มีค่า a ใดที่ทำให้ (xia) มีค่าหารร่วมมากเป็นจำนวนเต็มที่มากกว่าหนึ่ง สำหรับ i∈{1,2,3,4} เมื่อ x คือหมายเลขจังหวะข้างต้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพยายามแบ่งห้องให้กับโน้ตเพลงข้างต้นแล้ว จะพบว่ามันแบ่งไม่ลงตัว

ต้องมีห้องประหลาดที่มีจังหวะเกินมา ถึงจะทำให้เพลงลงพอดีห้องได้

ความจริงผมเองก็ไม่เคยได้เรียนทฤษฎีดนตรีมาแต่อย่างใด และก็ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน This Is Your Brain on Music โดย Daniel J. Levitin (วันก่อนเห็น The World In Six Songs โดยผู้แต่งคนเดียวกันเพิ่งวางแผงที่ Kinokuniya) ก็ไม่ทราบว่าความเข้าใจของผมเหล่านี้จะถูกต้องแค่ไหน

แต่การที่องค์ประกอบของเพลงเพลงหนึ่งจะหารลงตัวได้นั้น ผมว่าสำคัญมากต่อความน่าพึงประสงค์ของเสียงที่จะเกิดขึ้นมา

ลองเปรียบเทียบ ช้อบชอบ ข้างต้น กับในเพลงนี้ของยุ้ย ญาติเยอะ ที่ถึงแม้ชื่อเพลงจะสะกดไม่เป็นภาษา แต่อย่างน้อยองค์ประกอบของเพลงก็หารลงตัว (สังเกตท่อนสร้อย ตั้งแต่ประมาณวินาทีที่ 60)

<a href="http://www.imeem.com/itums/music/qG9ObC1P/yui/">Link</a>

ฟังดูรื่นหูกว่าใช่ไหมครับ

อีกตัวอย่างหนึ่ง (ที่อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไร แต่หาเรื่องโพสท์) คือ Potter Puppet Pals in "The Mysterious Ticking Noise" ที่ชนะเลิศ YouTube Awards 2007 ประเภท comedy ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Tx1XIm6q4r4">Link</a>

...

ความจริงแล้วโฆษณาทิปโก้ข้างต้น อย่างน้อยโครงสร้างของสามห้องแรกกับสามห้องหลังก็ตรงกัน อาจจะถือว่ายอมรับได้ในระดับหนึ่ง (หรือยอมรับได้? อย่างที่บอก ว่าไม่มีความรู้)

เพราะยังไงก็คงไม่กวนโสตประสาทได้เท่าริงโทนของ PCT รุ่นหนึ่ง ที่ฟังแล้วอยากจะตามไปฆ่าเสียบประจานทำร้ายคนแต่ง เพราะเอาทำนอง theme ของ the Pink Panther มาใส่จังหวะเกินเข้าไปจนฟังไม่ได้ดังนี้ครับ

[ภาพประกอบจะตามมาภายหลัง]

ความจริงแล้วน่าสงสัยนะครับ ว่าความสามารถในการรับรู้ความลงตัวของจังหวะเพลงที่ว่ามานี้ อาจจะมีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องอยู่ด้วย (นึกถึงข่าว Perfect Pitch May Be Genetic ที่เคยเห็นใน WebMD)

เพราะไม่อย่างนั้นจะมีคนแต่งริงโทนดังกล่าวออกมา หรือเจ้าของโทรศัพท์ที่ผมเคยได้ยินจะทนใช้อยู่ทุกวันได้อย่างไร

...

ก่อนจะจบ ขอย้อนกลับมาเรื่องโฆษณาอีกครั้งดีกว่าครับ

คือจะขอแปะภาพยนตร์โฆษณาที่ผมยังคงชอบเป็นอันดับต้น ๆ ชิ้นนี้

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=6UOEw88MQFU">Link</a>
Sharing โดย TA Orange ครับ

ซึ่งพูดถึง TA Orange แล้ว ก็โยงกลับมาหารถไฟฟ้า BTS ได้อีก...

คงจะจำได้นะครับ ว่าโฆษณาเปิดตัวของ Orange เป็นโฆษณาชุดแรกที่มีการโฆษณาบนรถไฟฟ้าแบบเต็มขบวนทั้งด้านในและด้านนอก ด้วยสโลแกน "The future's bright, the future's Orange." (ซึ่งปัจจุบันนี้ Orange ก็เลิกใช้ไปแล้ว)

ผมเองยังว่าเป็นโฆษณาที่เปิดตัวได้อย่างสวยงามโดยแท้ และหลาย ๆ คนก็คงจะยังจำภาพยนตร์โฆษณาที่กวาดรางวัล TACT Awards ปี 2002 ไปได้ถึง 5 รางวัลนั้นได้เป็นอย่างดี

ก็จะขอส่งท้ายเอ็นทรีนี้ด้วย Get Closer ครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=luD8ibJFevA">Link</a>

*Note: Copyright of posted media are owned by their respective owners.

6 September 2008

Recycle? How?

เห็นสองสามวันมานี้ชอบมีส่วนร่วม ชอบแถลงการณ์กันจริง ทีแรกก็คิด ๆ อยู่ ว่าจะแต่งแถลงการณ์ส่วนตัวโพสท์ในนี้ ไม่ให้คนเข้าใจผิดว่ามีส่วนร่วมกับแถลงการณ์อื่นด้วย เอาให้มีข้อเรียกร้องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแก้ไขชื่อเป็น "พันธมิตรประชาชนเพื่อต่อต้านประชาธิปไตย" หรือไม่ก็ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบไทย ๆ" เพื่อความเข้าใจตรงกันในการถกเถียงปัญหา ให้รู้ชัด ๆ ว่าใครต้องการอะไรกันแน่ แล้วก็บอกแถมด้วยว่าผู้แถลงการณ์ "เคารพและให้ความสำคัญในสิทธิของบุคคลที่จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน" แต่เสียบเข้าไปหน่อยว่า "การเรียกร้องเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองนั้นไม่ควรทำโดยนำ 'ผลประโยชน์' ของประชาชนซึ่งอาจมิได้มีอุดมการณ์ร่วมด้วยมาเป็นข้ออ้าง" และ "การทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนวิธีอื่น ๆ อันไม่อาจนับได้ว่าอารยชนพึงยอมรับนั้น นับเป็นการกระทำที่น่าตำหนิ"...

แต่คิด ๆ ดูแล้ว ทำไปก็คงเปลืองสมอง เปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ ไม่จรรโลงใจหรือก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา ก็เลย... ช่างมันเถอะ

มาพูดถึงเรื่องที่ค้างคากันมาหลายสัปดาห์แล้วดีกว่าครับ...

วันก่อน ขณะกำลังเดินไปทางศาลาพระเกี้ยวผ่านคณะรัฐศาสตร์ ผมก็ได้พบเห็นภาพหนึ่งที่ติดตาผมอย่างมากครับ

อ่า... ครับ น่าเสียดายที่ผมถ่ายภาพนั้นเก็บไว้ไม่ทัน จึงมีแต่ภาพที่ตัดต่อห่วย ๆ นี้มาให้ดู

แต่ผมว่าภาพนี้ก็สื่อความหมายที่ผมเห็นตอนนั้นได้ดีทีเดียว

ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะเห็นเหมือนกับที่ผมเห็นหรือเปล่า แต่สำหรับผม ภาพนี้มันช่าง ironic อย่างหาที่เปรียบได้ยากจริง ๆ ครับ

ถังขยะ recycle รุ่นเก่า (จำนวนเทียบเท่า) สามใบ ที่ป้ายฉลากเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว และใช้รหัสสีที่คงไม่มีใครจำได้¹ ถูกวางเรียงกันอยู่อย่างไม่มีใครใส่ใจเท่าไร ชิ้นส่วนหัว-หางสลับกันปนเปไปหมด ต่อให้ใครที่จำได้ว่าแต่ละสีนั้นหมายถึงอะไร ก็คงไม่มีปัญญาเลือกทิ้งได้ถูก และถึงกระนั้น ก็คงไม่เกิดผลอันใด เพราะเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ของมัน เหลือเป็นได้เพียงถังขยะธรรมดา ๆ สามใบ ที่จะทิ้งอะไรก็ได้เท่านั้น (ขอให้ทิ้งลงถังก็บุญแล้ว)

แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะมีวิธีแยกขยะที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าการทิ้งขยะแยกถังอยู่แล้ว นั่นก็คือหญิงสาวคนนี้ที่เดินเก็บขวดพลาสติกตามถังขยะอยู่นี่เองครับ

แน่นอนว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างไรเสียคงต้องมีคนอื่นที่คอยเก็บกระป๋อง เก็บขวดแก้ว เก็บอะไรต่อมิอะไรที่พอจะเอาไปทำความสะอาดเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ อีกเป็นแน่แท้

เขาเหล่านี้เอง ที่เป็นส่วนหนึ่ง (ร่วมกับเหล่ากองทัพซาเล้ง และอื่น ๆ) เบื้องหลังกระบวนการ recycle ของประเทศนี้ ที่เป็นส่วนเติมเต็มช่องที่เหลือว่างอยู่จากความขาดระเบียบวินัย ความรู้ และความตระหนักของประชาชน ที่ทำให้เราไม่ต้องคอยแยกขยะอย่างยุ่งยากแบบในคู่มือ 14 หน้าของเมือง Yokohama

ผมยังเคยพูดอยู่บ่อย ๆ ครับ ว่าการขาดแนวทางการแยกขยะที่มีประสิทธิภาพของประเทศไทย มีส่วนในการสร้างงาน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

แน่นอนว่ามันคงไม่สมบูรณ์แบบ และคงมีประสิทธิภาพเทียบกับแบบ Yokohama ไม่ได้ แต่คงไม่มีใครเถียงมั้งครับ ว่ามันก็ดูจะลงตัวที่สุดแล้ว สำหรับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน

เพราะขนาดผมเอง ที่พยายามแกะกล่องนมเปล่าล้างเพื่อเอาไปชั่งกิโลขาย ก็ยังไม่เคยมีปัญญาเก็บได้ถึงขีดเลยครับ


  1. ไม่แน่ใจว่าถังขยะเหล่านี้ใช้สีแบบเดียวกับถังขยะที่เห็นโผล่ขึ้นมาที่สาธิตเกษตรสมัยประมาณ ป.4 (?) หรือเปล่า (ปัจจุบันก็อาจจะยังอยู่? (ในสภาพที่อาจไม่ต่างจากในภาพด้านบน)) จำได้ว่าชุดนั้นจะเป็น สีแดง: กระดาษ, สีน้ำเงิน: แก้ว พลาสติก โลหะ, สีเขียว: อื่น ๆ, ซึ่งแม้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมจะมักหงุดหงิดที่ไม่มีใครแยกขยะทิ้งตามที่ถังกำหนดไว้ แต่ลองมองย้อนกลับไป ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรครับ

31 August 2008

For Better or For Worse

ครับ... ก็จบบริบูรณ์ไปแล้วนะครับ สำหรับ For Better or For Worse โดย Lynn Johnston ซึ่งดำเนินเรื่องให้ผู้อ่านชาวแคนาดาและทั่วโลกได้ติดตามกันมายาวนานถึง 29 ปี

บางคนอาจพอคุ้นเคยกับชื่อการ์ตูนช่อง [comic strip] การ์ตูนหนังสือพิมพ์รายวัน comic strip นี้บ้าง ซึ่งผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว (และนับว่าเป็น comic strip เดียวที่ผมติดตามต่อเนื่องอย่างจริงจัง)

For Better or For Worse กล่าวถึงเรื่องราวของครอบครัว Patterson ครอบครัวชาวแคนาดาทั่วไปครอบครัวหนึ่ง และเล่าเรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัวทั้งสี่รุ่น โดยพาให้ผู้อ่านได้ติดตามการเติบโตและความเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาเสมือนจริง และพาให้สัมผัสเกือบทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ ปัญหาในที่ทำงาน การหย่าร้าง ชีวิตวัยเรียน ปัญหาสุขภาพ วิกฤตวัยกลางคน ศีลธรรม ความตาย หรือแม้กระทั่งความเป็นเกย์ (ซึ่งในปี 1993 ได้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินเรื่องของ For Better or For Worse จะจบเพียงเท่านี้ Johnston จะยังคงเขียนการ์ตูนนี้อยู่อีกระยะหนึ่ง โดยเรื่องราวจะย้อนกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น และมีการสอดแทรกการ์ตูนที่เขียนขึ้นใหม่สลับไปกับของเดิม

For Better or For Worse ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กว่า 2,000 ฉบับ ใน 20 ประเทศทั่วโลก และมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ 8 ภาษา Lynn Johnston เป็นนักการ์ตูนหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล Reuben Awards ในปี 1985 ได้รับการเสนอชื่อรอบสุดท้ายเพื่อรับรางวัล Pulitzer ในปี 1993 และมีเกียรติประวัติระดับประเทศอีกหลายรายการ

และแน่นอน ว่าติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/For_Better_or_For_Worse


หมายเหตุ: ความจริงมี back(b)log ที่ mind map ไว้กะจะเขียนอีกหลายเรื่อง แต่ขอดองไว้ และยกพื้นที่ให้กับเรื่องราวปัจจุบันก่อนแล้วกัน

Last edited: 2008-09-08 03:34