Showing posts with label Education. Show all posts
Showing posts with label Education. Show all posts

15 August 2021

ว่าด้วย ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ

เอ็นทรีนี้ดัดแปลงจากโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อปี 2015 ซึ่งอ้างถึงบทความ “ความในใจเด็กสายวิทย์ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาท่องจำ” ที่เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ในโลกสี่เหลี่ยมของเตรียมอุดม เมื่อปี 2013 และเผยแพร่ซ้ำผ่านเพจ กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ในปี 2015

ผมเข้าใจประเด็นที่ผู้เขียนเสนอนะ ที่เขาบอกว่าฉันไม่ค่อยเก่ง จริง ๆ แล้วความหมายคือไม่เก่งเหมือนพวกเด็กโอฯ ที่มองอะไรก็เห็นไปถึงระดับอณูเหมือนนีโอใน The Matrix ส่วนที่เขาจำใจเรียนแบบท่องจำไปนั่นมันก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำนั่นแหละ แต่ที่แตกต่างคือเขาไม่สามารถทำใจหยุดยอมรับที่แค่นั้นได้

ไอ้คำถามอย่าง 1 คูลอมบ์แปลว่าอะไร หรือความหมายของหน่วยมูลฐานและมิติของปริมาณต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเข้าใจฟิสิกส์เป็นอย่างมาก แต่ครูก็ไม่เคยสอนจริง ๆ (ถึงจะอยู่ในภาคผนวกของหนังสือเรียน สสวท.ก็เถอะ) ซึ่งบางคนก็สามารถคิดเข้าใจเองได้ (ตอน ม.5 ผมเคยเถียงกับเพื่อนอยู่ว่าทำไมโมลถึงเป็นหน่วยมูลฐานทั้ง ๆ ที่เป็นปริมาณไร้มิติ) แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่

แล้วการที่ไม่มีใครสอนคอนเซปต์พื้นฐานพวกนี้มันเป็นปัญหาแค่ไหน อย่างที่เห็นจากโพสต์ต้นทาง มันไม่เป็นปัญหาต่อการสามารถคิดวิเคราะห์และทำโจทย์ที่อาศัยหลักการที่สูงขึ้นไปหรอก แต่มันบังคับให้ต้องทำโดยยอมรับบทบัญญัติหลาย ๆ อย่างไปโดยปริยาย หรือก็คือที่ผู้เขียนบ่นว่าต้องเรียนแบบท่องจำ

ซึ่งผู้เขียนเขาทำใจยอมรับตรงนี้ไม่ได้ เขาอยากจะสามารถสร้างมโนภาพถึงองค์ประกอบทุกอย่างขึ้นมา และเข้าใจที่มาที่ไปทุกอย่างของมันตั้งแต่ต้น เขาไม่อยากจำว่ามุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้ 180 องศา แต่เขาต้องการเห็นภาพว่าถ้าวาดเส้นขนานกับฐานของสามเหลี่ยม มุมแย้งของมุมฐานทั้งสองจะประกบกับมุมยอดของสามเหลี่ยมรวมกันได้เป็นมุมตรงพอดี เขาอยากเป็นเหมือนเด็กเก่งระดับเทพทั้งหลายที่ไม่ต้องท่องสูตร เพราะเข้าห้องสอบไปก็สามารถพิสูจน์สูตรเหล่านั้นขึ้นมาได้เองจากความเข้าใจ แต่เขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเห็นเส้นที่ขนานกับฐานของสามเหลี่ยมนั้นได้เอง และอยากให้ครูสอนให้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง

ผมคิดว่าผมเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียนนะ ในวิชาคณิตศาสตร์ ผมมีปัญหากับเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติเป็นอันมาก เพราะคณิตศาสตร์ที่ผมเคยรู้จัก มันต้องเห็นที่มาที่ไปได้ชัดเจนพอที่จะสร้างมโนทัศน์ขึ้นในใจเองได้ เหมือนอย่างที่เราสามารถแรเงาพื้นที่ต่าง ๆ ในเซตที่อินเตอร์เซกกัน หรือนึกภาพลูกเต๋าในเรื่องความน่าจะเป็นได้โดยไม่ต้องยุ่งกับสูตรตัวเลขใด ๆ แต่กับตรีโกณมิติผมไม่สามารถทำได้

และพอไม่สามารถสร้างมโนทัศน์ได้ ก็เลยทำให้การเรียนเรื่องนั้น ๆ ดิ่งเหวไปเลย เพราะผมไม่สามารถท่องจำสูตรและสมการเหล่านั้นได้โดยปราศจากความเข้าใจ ในกรณีนี้ผู้เขียนข้างต้นยังประสบผลสำเร็จในการทำข้อสอบมากกว่าผม เพราะเขายังสามารถทนเรียนแบบท่องจำได้ ถึงแม้จะขัดใจตัวเองก็ตาม

ปัญหาก็คือเขาฉลาดพอที่จะเห็นว่าทุกอย่างมันควรเชื่อมโยงกันได้ แต่ยังไม่เก่งพอที่จะเห็นภาพความเชื่อมโยงเหล่านั้นได้เอง และแน่นอนว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ได้มุ่งที่จะช่วยเขาในจุดนี้

ทั้งนี้จะขอยังไม่กล่าวถึงประเด็นแหล่งความรู้นอกห้องเรียน เพราะยุคสมัยที่ผ่านไปอาจจะทำให้เปรียบเทียบประสบการณ์กันได้ยากสักหน่อย

* * *

จริง ๆ แล้วผมว่ายังมีอีกคำถามที่สำคัญและน่าคิด ว่าความต้องการของผู้เขียน ที่จะเรียนฟิสิกส์ (ที่จริงก็รวมไปถึง formal sciences ทั้งหลายด้วย) โดยสร้างความเข้าใจทะลุปรุโปร่งในทุกด้าน มันเป็นไปได้จริงหรือเปล่า

สำหรับฟิสิกส์ระดับมัธยมปลาย ซึ่งแทบจะหยุดอยู่แค่ศตวรรษที่ 19 อาจยังไม่เห็นภาพชัดนัก แต่ก็มีอยู่เรื่อย ๆ ที่จะต้องพบเจอกับทฤษฎีบทที่ “เขาพิสูจน์มาแล้ว” แต่วิธีพิสูจน์นั้นต้องใช้ศาสตร์ที่ยังไม่ได้เรียน จึงต้องยอมรับไปก่อนโดยปริยาย แม้กระทั่งในเรขาคณิตระดับประถม เราก็ต้องท่องจำว่าปริมาตรของทรงกรวยเป็น 1/3 ของทรงกระบอก เพราะการพิสูจน์ที่มานั้นต้องใช้แคลคูลัส การท่องจำจากสิ่งที่มีคนคิดไว้ก่อนแล้วจึงแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในบรรดาศาสตร์รูปนัย

กระนั้นแล้ว คนที่ได้ร่ำเรียนจนหมดมวลความรู้ของมนุษยชาติในสาขานั้น ๆ ก็ควรจะสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่ผู้เขียนต้องการหรือเปล่า อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันก็ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่าสมองของมนุษย์จะทรงพลังขนาดนั้น แล้วอย่างไรเสีย ต่อให้อัจฉริยะระดับไหน ก็คงไม่สามารถคิดวิเคราะห์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบได้โดยไม่ต้องแบ่งเป็นขั้นตอนเสียก่อน และในบรรดาขั้นตอนเหล่านั้น สุดท้ายแล้วยังไงมันก็มีสิ่งที่เราต้องจำไปใช้อยู่ดี แม้ว่าจะเคยคิดวิเคราะห์ไว้เองก็ตาม

3 December 2005

Evidence-based thinking | Plagiarism

เมื่อวานนี้ตอนต้นชั่วโมง Ethics อาจารย์สมเกียรติมาพูดเกี่ยวกับการนำเสนองาน มีส่วนหนึ่งที่พูดถึงการเป็น evidence-based

ที่จริง evidence-based medicine ผมเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะปลูกฝังให้นิสิตแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะกว่าที่จะได้เรียนเอาตอนปีสามมันค่อนข้างสายที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและกระบวนการคิด ความจริงที่อาจารย์สมเกียรติพูดมาแล้ว 2-3 ครั้งผมยังคิดว่าไม่ได้นำเสนอในมุมมองที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญเพียงพอ และอาจยังไม่เข้าถึงนิสิตได้จริง ๆ

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็อย่างเรื่องน้ำดื่ม reverse osmosis นั่นแหละครับ...


แต่เรื่องที่อยากจะพูดถึงมานานแล้วเหมือนกัน ที่อาจารย์พูดถึงนิดหนึ่ง คือ plagiarism

pla·gia·rize
v. pla·gia·rized, pla·gia·riz·ing, pla·gia·riz·es
v. tr.
  1. To use and pass off (the ideas or writings of another) as one's own.
  2. To appropriate for use as one's own passages or ideas from (another).
v. intr.
To put forth as original to oneself the ideas or words of another.
Source: The American Heritage® Dictionary of the English Language, Fourth Edition
Copyright © 2000 by Houghton Mifflin Company.
Published by Houghton Mifflin Company. All rights reserved.

- Provided by Reference.com

ประเด็นที่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้จริง ๆ ก็มีอยู่ไม่มาก (คือตรงที่ว่าเวลาที่หาข้อมูลมาแล้วต้องสรุปความเรียบเรียงให้เหมาะสม ไม่ใช่ copy มาทั้งดุ้นโดยบางทีก็ยังไม่ได้อ่าน) แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามความสำคัญไปมากในสังคมการศึกษาของเราในปัจจุบัน

เวลาที่ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ บางครั้งผมเองก็ค่อนข้างอึดอัดใจที่เพื่อนทำงานโดย copy มาจากแหล่งบนอินเทอร์เน็ตทั้งดุ้นแบบที่อยากจะหา reference แล้ว Google หาเอาได้เลยว่ามาจากที่ไหน ผมคงว่าเพื่อนที่ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่คงต้องโทษระบบการศึกษาและลักษณะสังคมของเราที่ไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาเท่าที่ควร และไม่ได้สอนให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการทำงานเช่นนี้ (เวลาทำรายงาน เราพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งแล้วทำความเข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ แล้วเรียบเรียงด้วยถ้อยคำของเราเอง หรือ copy ข้อมูลมาแปะให้รายงานหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่ากัน?)

ผมก็เคยทำแบบข้อต้นบ่อย ๆ แต่พอได้อ่านบทความโดย Paul D. Rosevear ถึงเริ่มตระหนักได้ว่านิสัยการทำงานอย่างที่เราทำกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเพื่อทำให้งานนั้นเสร็จ ๆ ไปหรือเพราะไม่รู้ว่าวิธีที่เหมาะสมเป็นอย่างไร เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาจากความผิดพลาดของระบบการศึกษาที่มองข้ามแก่นของกระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ไป

อย่างไรก็ตาม เฉพาะตัวเอง ถ้ารู้แล้ว เราคงไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต่อ เพียงเพราะมันง่ายกว่า... ใช่ไหม?







- From For Better or for Worse by Lynn Johnston.

11 May 2005

อุปาทวจักร ของมหาวิทยาลัย

เรื่องนี้คุยกับนอยเมื่อวันก่อน... เป็นบทสนทนาสั้น ๆ แต่ขอเอาใจความมาลงอีกรอบ...

ก็... ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับการเอ็นทรานซ์ก็มาจากทัศนคติของสังคมต่อมหาวิทยาลัยเอกชน คือใคร ๆ ก็มองว่ามหาลัยเอกชนมันชั้นต่ำ... ก็เลยทำให้คนที่มีความสามารถมุ่งแต่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ พอเป็นอย่างนี้ ทรัพยากรบุคคลที่เหลือให้ ม.เอกชน ก็คือคนที่เอ็นท์ไม่ติด... ก็เลยยิ่งส่งเสริมทัศนคติของสังคมที่ว่ามหา'ลัยเอกชนมันชั้นต่ำ...

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้บทบาทของมหาวิทยาลัยเอกชนในการรองรับจำนวนผู้ที่เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาล้มเหลว... และก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่เรียนไม่พออย่างที่กล่าวก่อนหน้านี้ได้สักที...

PS สิ่งที่น่าแปลกในเรื่องนี้ คือ ทำไมมุมมองต่อสถาบันการศึกษาของ รัฐบาล/เอกชน ในระดับ โรงเรียน/มหาวิทยาลัย ถึงตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง...

29 April 2005

การเข้ามหา'ลัย...

เมื่อกี้ดูถึงลูกถึงคนเมื่อวาน...

ยังไงก็คงหาข้อยุติที่จะนำการศึกษาของเราไปสู่ความเจริญไม่ได้ (ในเร็ว ๆ นี้) สินะ...

เฮ้อ...

แต่ที่ พญ.กมลพรรณแกล้งว่านี่ถูกนะ... ถ้าต้องการให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกัน ทำไมไม่จับฉลากให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการคัดเลือกบ้าบอนี่

ที่จริงก็คงรู้กันอยู่... ก็ประเด็นคือที่เรียนมันไม่พอกับความต้องการ!!!

แล้วสาเหตุ (รองลงมา) ที่ต้องคัดเลือกคืออะไร? ก็มหาวิทยาลัยต้องการนักเรียนที่มีคุณภาพสูงที่สุด ที่น่าจะให้ผลประโยชน์ต่อตัวนักเรียนเอง มหาวิทยาลัย และประเทศชาติสูงที่สุด หลังจากที่จบออกมาแล้ว...

จริง ๆ แล้วตรงนี้ก็ไม่มีอะไรบอกเลย ว่าการคัดเลือกโดยการสอบเอ็นทรานซ์เป็นวิธีที่ให้ผลดีตรงไหน...

แต่การใช้ระบบ admission ที่จะสนองจุดประสงค์ตรงนี้ ก็ไม่ใช่การใช้คะแนนเก็บจากเวลาเรียน ฯลฯ เฉย ๆ... ถ้าอย่างนั้นมันจะต่างจากเดิมตรงไหน นอกจากจะทำให้วุ่นขึ้น แล้วยังเสียความยุติธรรมและความโปร่งใสไปอีก (ก็นักเรียนไม่ได้สอบในห้องเรียนเพื่อเก็บคะแนนอยู่แล้วรึ?) ไหนล่ะ การดูผลงานจาก portfolio ไหนล่ะ การสัมภาษณ์เพื่อวัดไหวพริบ ความพร้อมที่จะเข้าเรียน...

ก็มันมีไม่ได้ เพราะโครงสร้างสังคมเรามันยังไม่พร้อมที่จะทำ...

แล้วเหตุผลหลัก ที่บอกว่าที่นั่งเรียนไม่พอ ยิ่งทำให้ต้องการกระบวนการที่โปร่งใส มีหลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรม ตายตัว...

ซึ่งนั่นก็คือการสอบเอ็นทรานซ์~!

การเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้คะแนนในชั้นเรียน ฯลฯ ตอนนี้ก็เพียงแค่จะเพิ่มความวุ่นวายเข้าไปอีก เพราะไหนจะขัดแย้งกับการต้องการจัด element ในการเรียนที่ customized สำหรับนักเรียนแต่ละคน แต่ละท้องถิ่น ไหนจะมีปัญหากับความเหลื่อมล้ำในการให้คะแนนพวกนี้อีก...

เอาไว้ให้โรงเรียนให้การศึกษาที่มีคุณภาพทั่วถึง เอาไว้ให้มหาวิทยาลัยสามารถรองรับนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียนได้เพียงพอ เอาให้สังคมมองเปลี่ยนมุมมองที่ว่าการได้เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิตนักเรียนเสียก่อน...

ถึงจะแก้ระบบได้อย่างประสบความสำเร็จ!

สรุปอีกที:
  1. การสอบเอ็นทรานซ์น่ะ ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันบั่นทอนชีวิตนักเรียน... แต่การเปลี่ยนมาใช้คะแนนเรียนเนี่ย มันไม่เห็นจะช่วยตรงไหน
  2. ปัญหาอันดับแรกคือที่นั่งเรียนมันไม่พอกับความต้องการ
  3. และอันดับสองคือทัศนคติของสังคมต่อการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
  4. ปัญหาหลักสองข้อนี้ ทำให้ต้องการระบบที่โปร่งใส เป็นกลาง เป็นรูปธรรม ซึ่งก็คือการสอบเอ็นทรานซ์
อีกเรื่อง...
ไม่มีที่ไหนในโลกที่เจริญแล้วที่เขาคิดจะเปลี่ยนระบบไปมาตามใจชอบโดยไม่บอกล่วงหน้าก่อนที่เด็กจะขึ้น ม.ปลาย หรอก!!!

23 April 2005

Admission... เฮ่อ...

ที่สุด GPA 40% ก็ไปไม่รอด...

เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่น่าแปลกใจว่าทำไมคนเราถึงจะไม่สามารถประจักษ์เห็นถึงความจริงที่ว่ามันไม่ยุติธรรมสักที...

ก็ไม่มีอะไรใหม่จะพูดหรอก... อะไร ๆ ก็ยังเหมือนเดิม... การสอบ entrance ทำลายคุณภาพชีวิตเด็ก แต่ admission ก็ยังหาความยุติธรรมไม่ได้...

ก็ในเมื่อเด็กยังต้องแย่งกันเรียนแล้วมันจะหาข้อยุติกับปัญหานี้ได้อย่างไรกัน?

ถ้าโรงเรียนทั่วประเทศสามารถให้การศึกษาที่ดีได้ทั่วถึง ถ้าทั้งประเทศมีมหาวิทยาลัยที่สามารถรองรับนักเรียนได้เพียงพอกับความต้องการ (หรือถ้านักเรียนที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยไม่เกินจำนวนที่รับได้) นั่นไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่าหรือ?

คนทั้งประเทศไทยยังรอการปฏิรูปการศึกษาอยู่...