Showing posts with label #Essays. Show all posts
Showing posts with label #Essays. Show all posts

28 October 2020

Thoughts behind the final farewell

View this post on Instagram

Waiting on a final farewell

A post shared by Paul_012 (@paul_012) on

เคยว่าอยากจะเล่าความคิดเบื้องหลังภาพด้านบนนี้มาสักพัก แต่ยังไม่ได้พยายามเรียบเรียงจริง ๆ จัง ๆ สักที วันนี้¹ ครบรอบสามปีแล้ว คงเป็นเวลาที่นานพอที่จะย้อนกลับไปมองในฐานะอดีตได้ (และปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของสังคมในช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็ได้ช่วยให้ก้าวข้ามความลังเลที่จะเล่าเรื่องเหล่านี้ออกมา)

คนที่รู้จักผมอาจแปลกใจกับภาพนี้ที่โพสต์ในอินสตาแกรม อย่างผมเนี่ยนะ จะไปเบียดเสียดฝูงชนปักหลักรอขบวนพระบรมศพทั้งคืน ซึ่งก็ถูกแล้ว ผมไม่ได้ไปรอข้ามคืนหรอก และคงไม่ได้คิดจะไปร่วมพระราชพิธีในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์เลย ถ้าไม่ใช่เพราะที่บ้านรู้จักกับโรงแรมแถวท่าเตียนและสามารถจองห้องเพื่อเป็นใบเบิกทางให้เข้าพื้นที่ได้ ว่ากันตรง ๆ แบบเห็นแก่ตัวเลยก็คือ ผมไม่ได้ตั้งใจไปเพื่อน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยในฐานะประชาชนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เท่ากับที่จะไปเพื่อประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเอง (กับอาจจะได้รูปไปลงวิกิพีเดีย) และไม่ได้คิดที่จะลงทุนแบบที่บรรดาผู้คนที่ฝ่ามาด้วยใจเขาต้องทำเลยด้วยซ้ำ

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดหรอก

ผมเติบโตในระบบโรงเรียนมาในทศวรรษ 1990s โดยเฉพาะในบรรยากาศการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ช่วงนั้นแนวคิดเกี่ยวกับชาติและการปกครองของไทยเริ่มตกผลึกนิ่งแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นที่เคารพนับถือในฐานะผู้ค้ำจุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสื่อรอบตัวต่าง ๆ ก็สะท้อนแนวคิดเหล่านี้ ผมไม่เคยเรียนว่าคนไทยมีหน้าที่รักในหลวง แต่คนไทยรักในหลวงเพราะทรงทุ่มเทอุทิศพระวรกายและพระปรีชาสามารถเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน อันที่จริงเรื่องเล่าเหล่านี้แทบไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่เราสัมผัสและซึมซับมันมาจากการบอกย้ำในโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันแต่งกลอนเทิดพระเกียรติ การบ้านวิชาศิลปะที่ให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ การแปรขบวนรูปตราสัญลักษณ์กาญจนาภิเษกในพิธีปิดกีฬาสาธิตสามัคคี ตลอดจนการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและสดุดีมหาราชาตอนเข้าแถวหน้าเสาธงปีละสองครั้ง

ช่วงเวลานั้น จนถึงการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีในปี 2006 เป็นช่วงที่หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเป็นจุดสูงสุดของฐานะความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล สำหรับผมเองก็เช่นกัน วันที่ 9 มิถุนายนนั้น ผมกับเพื่อน ๆ ไปชมการซ้อมใหญ่ขบวนเรือพระราชพิธี และตอนค่ำก็ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวง ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ ท่ามกลางความวุ่นวายและฝูงชนที่แน่นขนัด นาทีที่ทุกคนเริ่มร้องเพลงพร้อมกันนั้น มันสัมผัสได้ถึงการมีความรู้สึกร่วมกันกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย ณ ที่นั้น (ถึงจริง ๆ แล้วเพลงจะไม่พร้อมเลย เพราะลำโพงอยู่ไกล) มันเป็นความตื้นตันที่เหนือกว่าการร้องหน้าเสาธงที่โรงเรียนทุกครั้ง

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ร้องและรู้สึกอะไรกับเพลงเหล่านั้น

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่หลังจากนั้นความ “อิน” หรือการรู้สึกร่วมเวลาเห็นการเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ สำหรับผมก็ค่อย ๆ ลดหายไป อาจเป็นเพราะบรรยากาศการเมือง ที่นับจากรัฐประหารที่ตามมาไม่นานก็เข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง หรือเพราะทิศทางของการเฉลิมพระเกียรติส่วนมาก ที่แปรเปลี่ยนจากการเชิดชูพระราชกรณียกิจเป็นการสรรเสริญเทิดทูนอย่างออกนอกหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รู้สึกว่าภาพของสถาบันกษัตริย์ที่เห็นมันเริ่มต่างจากสิ่งที่เคยถูกปลูกฝังมามากขึ้นทุกที

หลายคนที่เสื่อมศรัทธากับสถาบันพระมหากษัตริย์ มักพูดถึงโมเมนต์ “ตาสว่าง” นัยว่ามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องฉุดให้เห็นความจริง แต่ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น แม้ความรู้สึกร่วมจะลดลง แต่ในความคิดผมก็ยังพยายามรักษาภาพเดิมที่มีไว้ตลอด และมองเสมอว่าการอ้างตัวโหนสถาบันฯ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ตลอดจนการเหยียบย่ำเสรีภาพต่าง ๆ ตั้งแต่บล็อคยูทิวบ์ บล็อควิกิพีเดีย หรือคดี 112 ต่าง ๆ นั้นเป็นความเลวของคนที่ทำ โดยไม่เกี่ยวกับสถาบันฯ

ที่จริงมันก็อาจเป็นกลไกป้องกัน ที่พยายามหาเหตุผลอ้างให้เรื่องต่าง ๆ สอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากเชื่อ แต่เอาเป็นว่าสำหรับผม ผมไม่เคยมีประสบการณ์ของการตระหนักและเปลี่ยนความคิดอะไรที่ชัดเจน หากแต่ชุดความคิดเดิมมันค่อย ๆ จางไปตามกาลเวลามากกว่า

และเมื่อมุมมองเก่าจางไป ก็เหมือนเราจะเปิดรับมุมมองใหม่ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวคิดที่ผมรับมาแต่เด็ก ว่าทรงเป็นมนุษย์ผู้อุทิศตน ไม่ใช่สมมุติเทพดั่งลัทธิเทวราชาที่ถือกันในสมัยโบราณ แนวคิดหรือข้อเขียนที่วิจารณ์การกระทำในฐานะมนุษย์จึงไม่ได้เป็นเรื่องรับไม่ได้สำหรับผมขนาดนั้น อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสืออะไรมากมาย (อย่าง The King Never Smiles ที่ผมเคยพูดถึงว่ามีบน Google Books นั่นผมก็แค่เห็นผ่าน ๆ ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ) แต่ก็ไม่ได้พยายามปิดหูปิดตา และก็มีงานเขียนภาษาอังกฤษผ่านตาอยู่บ้าง ซึ่งมันก็คงค่อย ๆ สร้างความยอมรับใหม่ในความคิดของเรา อย่างตอนที่ Andrew MacGregor Marshall เขียน #Thaistory จนเป็นกระแสเมื่อปี 2011 ผมนั่งอ่านก็แอบงงนิดนึงว่ามันไม่เห็นจะมีอะไรน่าขัดแย้งขนาดนั้นเลยนี่นา ออกเคารพพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลด้วยซ้ำ และไม่ได้แตะประเด็นร้อนของจริงอย่างเรื่อง 6 ตุลาเลย

แต่ขณะที่ผมไม่ได้ประสบภาวะวิกฤตทางศรัทธาหรือความเชื่อแบบบางคนที่รับอดีตไม่ได้จนต้องไล่ลบโพสต์ “ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙” กันนั้น ก็ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่ได้ทิ้งช่องว่างไว้สำหรับผม หลังเพลงสรรเสริญพระบารมีในปี 2006 นั้น ผมเองยังคงหวังที่จะได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนั้นอีก แต่ก็ไม่มีโอกาสอยู่หลายปี จนอีกทีถึงได้ตระหนักว่ามันไม่อาจกลับมาได้แล้ว แต่แท้จริงสิ่งที่เราโหยหาคือ “อดีต” เมื่อครั้งที่ยังสามารถ “ซาบซึ้ง” กับมันได้ต่างหาก

การไปร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่บอกว่าไปเพื่อประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้นหรอก สำหรับผม มันคือการไปร่วมปิดฉากในเรื่องราวเล่าขานที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาหลายสิบปี

และบางที อาจมีสักช่วง แม้สักเสี้ยววินาทีก็ยังดี ที่เราจะได้ลืมทุกอย่าง และกลับไปรู้สึกและรำลึกถึงสถาบันฯ ในแบบที่เราเคยเมื่อครั้งยังเด็ก โดยไม่ต้องคิดอะไร

ก่อนที่มันจะลอยหายไปกับควันพระเพลิง และกลายเป็นอดีตไปตลอดกาล

* * *

ช่วงหลังสวรรคต ที่เสียงบรรเลงตามห้างร้านกลายเป็นเพลงเทิดพระเกียรติและเพลงพระราชนิพนธ์กันไปหมดนั้น ผมซื้อซีดีเพลงชุด “ต้นไม้ของพ่อ” มา ซึ่งถึงตอนนี้น่าจะได้เปิดเล่นไปแค่ครั้งเดียว

จริง ๆ แล้วผมไม่ได้สนใจเพลงอื่นในอัลบั้มเลยนอกจากเพลงแรกกับเพลงของขวัญจากก้อนดิน และที่อยากได้เก็บไว้ก็ไม่ใช่เพราะความหมายที่เพลงสื่อ

หากแต่เพราะเพลงสองเพลงนี้ เป็นเพลงที่ผมกับเพื่อน ๆ ใช้ร้องประกอบในกิจกรรมละครเทิดพระเกียรติภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนให้ทำเมื่อปี 1999 และช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นความทรงจำที่มีค่าของผม

จากนี้ไป มันก็คงมีค่าให้ผมเก็บไว้เพียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องราวของสถาบันกษัตริย์ คงต้องปล่อยให้เป็นบทบันทึกของหน้าประวัติศาสตร์ ที่จะถูกเขียนขึ้นต่อไป


  1. เมื่อเริ่มเขียน

1 December 2015

HIV Exceptionalism: Still a thing, 30 years on

ในช่วงทศวรรษ 1980 กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรค ต่างเป็นชื่อที่น่ากลัวและนำมาซึ่งความหดหู่และสิ้นหวัง เพราะในสมัยนั้นเรารู้เพียงว่าโรคมฤตยูที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้นำมาซึ่งความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ความกลัวนำไปสู่ความรังเกียจ และการตีตราและกีดกันผู้ติดเชื้อ วงการสาธารณสุขจึงตอบสนองโดยสร้างมาตรฐานที่เคร่งครัดเป็นพิเศษสำหรับการตรวจ การดูแลรักษา และการรักษาความลับของผู้ติดเชื้อเอชไอวีโดยเฉพาะ ทำให้เอชไอวี/เอดส์กลายเป็นโรคที่มีฐานะพิเศษกว่าโรคอื่นใด ๆ ในปัจจุบัน

ฐานะพิเศษนี้ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า HIV exceptionalism เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงการสาธารณสุขมานานแล้ว Ronald Bayer ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้แสดงทรรศนะซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ตั้งแต่ปี 1991 ไว้ว่า HIV exceptionalism กำลังมีแนวโน้มจะลดความสำคัญลง ขณะที่ความรู้และมาตรการการจัดการโรคต่างพัฒนาก้าวหน้าขึ้น¹ แต่แม้จะผ่านมากว่า 20 ปี และวิทยาการได้พัฒนาจนเปลี่ยนโรคมฤตยูในสมัยนั้นให้กลายเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ หลักการของ HIV exceptionalism กลับยังคงเป็นที่ยึดปฏิบัติอยู่ เช่นเดียวกับการตีตราและกีดกัน ที่ยังฝังรากลึกไม่ยอมหายไปแม้ในปัจจุบัน

ทุกวันนี้ การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวียังกำหนดให้ต้องมีกระบวนการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจ และเป็นการตรวจอย่างเดียวที่ต้องให้ผู้ป่วยลงชื่อให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ในบางโรงพยาบาลผลการตรวจไม่สามารถเปิดดูผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้เหมือนการตรวจรายการอื่น แต่ต้องเดินไปรับผลซึ่งพิมพ์เป็นสลิปเอกสารลับโดยเฉพาะ อีกทั้งการให้คำปรึกษาและการจ่ายยา ก็มักมีขั้นตอนเฉพาะแยกต่างหากจากโรคอื่น เพื่อรักษาความลับของผู้ป่วย

ทั้งนี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่าปัญหาการตีตราที่ยังแก้ไม่ได้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ยังต้องคงมาตรการของ HIV exceptionalism ไว้ เพราะตราบใดที่สังคมยังมีความกลัวและรังเกียจผู้ติดเชื้ออย่างไม่สมเหตุสมผล การรักษาความลับของผู้ป่วยก็ยังต้องสำคัญเป็นพิเศษ บริการของคลินิกนิรนามจึงยังคงมีความจำเป็นอยู่นั่นเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง HIV exceptionalism นี้เองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสนับสนุนให้การกีดกันและการเลือกปฏิบัติยังคงดำเนินอยู่ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายสาธารณสุขเพื่อต่อต้านการระบาดของเอชไอวีอีกด้วย เพราะมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะมีขึ้นเพื่อรักษาความลับของผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำถึงการเลือกปฏิบัติ และเป็นการยอมรับโดยนัยว่าการติดเชื้อเอชไอวีนั้นมีความพิเศษ (หรือน่ากลัว) กว่าโรคอื่นทั่วไป ซึ่งสัญญาณแฝงเหล่านี้อาจปลูกฝังความเชื่อในทั้งตัวผู้ป่วย สังคม และแม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์เอง โดยที่ไม่รู้ตัว นอกจากนี้ความยุ่งยากและ “เยอะ” ของมาตรการเหล่านี้ ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการ เพราะยังทำให้รู้สึกว่าการตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ต้องคิดหนักก่อนจะปลงใจ แทนที่จะมองว่าเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้คนได้รู้สถานะการติดเชื้อของตนเองและได้รับการรักษาเพิ่มมากขึ้น

นี่ยังไม่กล่าวถึงผลของ HIV exceptionalism ต่อคุณภาพบริการทางการแพทย์ ในสถานพยาบาลหลายแห่ง การห้ามเปิดเผยสถานะการติดเชื้อของผู้ป่วยไปไกลจนถึงขั้นที่ “เอชไอวี” กลายเป็นคำต้องห้ามที่เอ่ยถึงไม่ได้แม้จะอยู่ลับหลังผู้ป่วยและญาติก็ตาม และต้องเลี่ยงไปใช้รหัสลับต่าง ๆ นานา ไม่ต่างจากที่ตัวละครในเรื่อง Harry Potter ไม่กล้าเอ่ยชื่อ Voldemort ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารเป็นอันมาก (และอาจไม่มีประโยชน์อะไร เพราะบ่อยครั้งที่เคยได้ยินพยาบาลส่งเวรด้วยรหัสลับดังกล่าว ก็เห็นว่ายังใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบเหมือนผู้ป่วยเป็นตัวประหลาดหรือไปทำความผิดอะไรมาอยู่ดี) นอกจากนี้ ในอีกหลายกรณีก็ยังมีความลักลั่นระหว่างหลักการกับการปฏิบัติจริงอยู่มาก ดังเช่นในโรงพยาบาลบางแห่ง ที่แม้การตรวจเอชไอวีตามปกติจะต้องขออนุญาตผู้ป่วยก่อน แต่เวลาตรวจเลือดก่อนผ่าตัดแพทย์ก็จะสั่งให้ตรวจเอชไอวีโดยที่ไม่ได้บอกผู้ป่วยแต่อย่างใด เพื่อพิจารณาใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อ (ซึ่งจริง ๆ แล้วตามหลัก universal precautions ควรจะปฏิบัติในผู้ป่วยทุกรายโดยไม่คำนึงถึงสถานะการติดเชื้อ)

ข้อปฏิบัติของ HIV exceptionalism เหล่านี้ จริง ๆ แล้วบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ดี (เช่นการตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ) แต่ก็ไม่ควรถูกจำกัดการปฏิบัติเฉพาะกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี มาตรการบางอย่างอาจไม่จำเป็นแล้วในปัจจุบัน แต่บางอย่างก็อาจยังต้องทำ ตราบที่สังคมโดยรวมยังมีความเชื่อและความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากนายจ้างยังสามารถเอาสถานะการติดเชื้อมาเป็นเหตุผลไม่รับคนเข้าทำงาน การตรวจเอชไอวีก็ไม่อาจเป็นการตรวจคัดกรองทั่วไปได้ ทั้งนี้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานต้องตระหนักถึงความจำเป็นและเห็นเป้าหมายของมาตรการดังกล่าว และเลือกใช้อย่างสมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการส่งเสริมให้ตนเองและคนอื่นมองผู้ติดเชื้อเป็นตัวประหลาดหรืออันตราย เป็นวัฏจักรไม่จบสิ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการตีตราและเลือกปฏิบัติก็ยังคงต้องเป็นการให้ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งนี้การนำเสนอประเด็นดังกล่าวผ่านสื่อ ดังเช่นในซีรีส์ฮอร์โมนส์ตอนที่ผ่านมา² ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่เมื่อพิจารณาว่าทุกวันนี้ยังมีข่าวชาวบ้านขับไล่ผู้ติดเชื้อออกจากหมู่บ้าน หรือผลสำรวจของกรมควบคุมโรคที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างถึง 51.2% บอกว่าไม่ยินดีว่ายน้ำในสระเดียวกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และ 40.9% บอกว่าไม่ยินดีให้ลูกเรียนหนังสือร่วมชั้นกับเด็กที่ติดเชื้อ³ ขณะที่ในทางกลับกันบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มอายุน้อย กลับไม่ตระหนักถึงอันตรายของพฤติกรรมเสี่ยงเช่นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ก็เห็นได้ว่าหนทางในการแก้ปัญหาและสร้างความรู้ความเข้าใจนั้นยังคงอีกยาวไกล

ถ้าฮอร์โมนส์หนึ่งตอนจะเสนอเรื่องความหมายของการติดเชื้อเอชไอวีได้สู่ผู้ชมสักสองล้านคน โจทย์ที่น่าคิดต่อไปคงต้องเป็นว่าเราจะใช้สื่ออะไร หรือทำอย่างไรได้อีก เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้และแง่มุมอื่น ๆ ให้กับคนที่เหลืออีกทั้งประเทศ

เพราะหากยังไม่สามารถทำได้แล้ว การเข้าถึงผู้ติดเชื้ออย่างทั่วถึงก็จะยังคงเป็นไปไม่ได้ และการเอาชนะเอชไอวี/เอดส์ ก็จะเป็นได้เพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ในสังคมไม่อุดมปัญญาเท่านั้นเอง


31 October 2014

Dumb Ways to Die?

ไม่กี่วันวันที่ผ่านมานี้มีข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถยนต์หรือรถบรรทุก อันก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินอยู่หลายเหตุการณ์ ซึ่งก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่พอควร

ในบรรดาเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น หลายเสียงก็กล่าวกันถึงสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าว บ้างก็โทษว่าเป็นเพราะความประมาทของผู้ใช้ถนน บ้างก็โทษว่าเป็นเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยตามที่ควร บ้างก็โทษกันไปมาว่าการดำเนินการนั้นเป็นความรับผิดชอบของใครกันแน่ บ้างก็โทษว่าเพราะสังคมนั่นแหละที่ทำให้ความประมาทนั้นกลายเป็นเรื่องปกติ

อุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเศร้าครับ แต่การเถียงกันโดยมุ่งชี้นิ้วโทษว่าเป็นความผิดของใคร คงไม่ช่วยแก้ไขความสูญเสียเหล่านั้นให้ย้อนคืนไปได้ สิ่งที่เราควรจะทำ คือมองด้วยเหตุผลว่าปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง และจะปรับปรุงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดในอนาคตอีกได้อย่างไร

ซึ่งสำหรับเรื่องความปลอดภัยรถไฟนี้ มีมุมให้มองหลัก ๆ อยู่สองด้านครับ

หากมองถึงปัจจัยจากมนุษย์ ว่าการกระทำของใครบ้างที่เป็นความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับว่าตัวผู้ใช้รถใช้ถนนนั้นเอง ที่มีผลมากที่สุด เพราะด้วยความเฉื่อยของรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่และธรรมชาติของระบบการควบคุม มันไม่มีอะไรให้ผู้ควบคุมรถไฟทำเพื่อแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าเช่นนั้นได้ ผู้ใช้รถใช้ถนนย่อมต้องระวังไม่ให้ตนไปอยู่ในทางของรถไฟที่กำลังแล่นมา ทั้งนี้โดยต้องระวังรถไฟ รักษากฎจราจร และสัญจรโดยไม่ประมาท

แนวคิดที่ว่าการป้องกันอุบัติเหตุรถไฟชนต้องเน้นที่ตัวผู้สัญจรนี้เป็นแนวคิดที่อุตสาหกรรมรถไฟยึดกันอยู่เป็นหลัก วิดีโอ Dumb Ways to Die ข้างต้น ก็เป็นหนึ่งในสื่อโฆษณาที่มุ่งรณรงค์ให้ผู้คนระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้รถไฟ โดยยกตัวอย่างการกระทำที่เห็นได้ชัดเจนว่าอันตราย คือยืนชิดริมขอบชานชาลา ขับรถฝ่าคันกั้น และวิ่งไล่ลูกโป่งข้ามรางโดยไม่มองรถไฟ ใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความประมาทว่าเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ และด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ดึงดูดความสนใจ ก็กลายเป็นโฆษณารณรงค์ที่ประสบผลสำเร็จอย่างสูง และได้รับรางวัลไปมากมาย

แต่อีกนัยหนึ่ง การรณรงค์ในลักษณะนี้ก็มองได้ว่าเป็นการโยนความผิดให้เหยื่อ (blaming the victim) เช่นกัน ใครที่เคยสูญเสียสมาชิกครอบครัวให้อุบัติเหตุรถไฟ คงไม่สบายใจเท่าไรกับโฆษณาชิ้นนี้ ที่เปรียบความตายของญาติเขาเหมือนคนเอาของลับไปเป็นเหยื่อล่อปลาปิรันยา ไม่ใช่เพียงเพราะกล่าวถึงความตายอย่างล้อเล่น แต่ผู้ที่เป็นเหยื่ออุบัติเหตุ คงไม่มีใครที่ตั้งใจเอาตัวเองไปไว้ในสถานการณ์นั้น การโทษว่าเป็นเพราะเขาทำตัวเองก็คงไม่ต่างจากการโทษเรื่องข่มขืนว่าเป็นความผิดของเหยื่อที่แต่งตัวโป๊เท่าไรนัก

ในประเทศตะวันตก ขณะที่อุตสาหกรรมรถไฟมุ่งรณรงค์เน้นเรื่องการเคารพกฎ ระมัดระวัง และไม่ประมาทนั้น ก็มีองค์การและเครือข่ายภาคประชาชนที่เรียกร้องว่าสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุเหล่านั้นไม่ใช่การกระทำของบุคคลใด แต่คือความล้มเหลวของระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุอย่างเพียงพอ แทนที่จะบอกแต่ให้คนยืนห่างขอบชานชาลา (ซึ่งบางครั้งอาจทำไม่ได้เพราะพื้นที่เบียดเสียดกันมาก) ทำไมไม่ทำประตูกั้นไปเสียเลย แทนที่จะคอยเตือนให้ระวังเวลาข้ามทางรถไฟ ทำไม่ไม่ทำสะพานลอยข้ามจะได้ปลอดภัย ในมุมมองนี้ การที่รถยนต์ยังสามารถตัดข้ามทางในขณะที่รถไฟกำลังจะผ่านได้ เกิดจากความผิดพลาดของระบบที่ไม่มีเครื่องกั้น การที่รถไฟยังมีโอกาสชนคนที่เดินอยู่ริมทางได้ เป็นความผิดพลาดของระบบที่ไม่มีรั้วกันคน

มุมมองนี้ หากถืออย่างสุดโต่งก็อาจกล่าวได้ว่าแม้จะมีกฎห้าม มีอุปกรณ์นิรภัย แต่คนยังฝ่าฝืนได้ ก็ต้องถือว่าระบบยังทำได้ไม่ดีพอ เพราะระบบที่ดีจะต้องไม่มีสิ่งจูงใจให้คนฝ่าฝืน ในทางปฏิบัติอาจเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ปล่อยให้คนสามารถฝ่าฝืนกฎที่มีเพื่อความปลอดภัยได้เป็นปกติ หากคนนิยมข้ามทางรถไฟบริเวณที่ไม่ได้กำหนดให้ข้าม แสดงว่าคนมีความจำเป็นต้องข้ามบริเวณนั้น ก็ต้องจัดทำทางข้ามที่ปลอดภัย หากคนเดินฝ่าเครื่องกั้นทางรถไฟได้ แสดงว่าเครื่องกั้นนั้นยังไม่ปลอดภัย ก็ต้องออกแบบใหม่

หากการรณรงค์ว่าตายจากรถไฟชนนั้นโง่ไม่เข้าท่าเป็นการโยนความผิดให้เหยื่อ การเรียกร้องให้มีระบบที่ปลอดภัยทางกายภาพ 100% ก็เป็นการโบ้ยความรับผิดชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกแนวทางใดแนวทางเดียว ด้านหนึ่งจะบอกให้ทุกคนต้องระวังรถไฟตลอดเวลาก็คงพ้นวิสัยที่สังคมมนุษย์จะทำได้ อีกด้านหนึ่งจะสร้างรั้วกั้นเลียบตลอดแนวทางรถไฟทั่วทั้งประเทศก็คงไม่รู้จะหาเงินได้จากไหน แต่ทั้งคู่เป็นปัจจัยที่สังคมจะต้องร่วมกันส่งเสริมเพื่อให้เกิดความปลอดภัย คนก็ต้องไม่ประมาทและเคารพกฎ ส่วนระบบก็ต้องมีอุปกรณ์นิรภัยที่เหมาะสมในที่ที่ควรจะมี

หากหาจุดร่วมระหว่างสองข้อนี้และทำตามได้ ก็คงมีหวังที่เราจะไม่ต้องมาคอยวิพากษ์วิจารณ์ข่าวอุบัติเหตุเหล่านี้กันอีกในอนาคตสักวัน

17 May 2014

Standing in line (2): Order v discipline

บทความที่แล้วเปิดซีรีส์ไปด้วยการบ่นระบบทหาร ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนด้วยเท่าไร ตราบที่ทหารยังอยู่ส่วนทหาร (และไม่คำนึงว่ามีกฎหมายบังคับให้รับราชการทหารอยู่) ความงี่เง่าของระบบเหล่านั้นก็ไม่น่ากระทบอะไรกับประชาชนพลเรือนทั่วไป

แต่เรื่องของเรื่องคือ ระบบเหล่านั้นมันไม่ได้จำกัดขอบเขตตัวเอง วันนี้จะขอพาเข้าประเด็นหลักโดยยกพาดหัวรองจากบทความ The New York Times เมื่อ พ.ค.ที่แล้ว ที่เคยอ้างถึงในเอ็นทรี หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

In Thailand’s Schools, Vestiges of Military Rule

ประเด็นที่อยากจะอภิปรายวันนี้ คือองค์ประกอบของระบบทหารที่เราต่างพบเห็นกันเป็นประจำในพื้นที่สถาบันการศึกษาไทย หรือ “school regimentation” ที่กล่าวถึงในชื่อบทความดังกล่าวนั่นเอง

ผมคงไม่ขอร่วมวิเคราะห์ว่าธรรมเนียมการเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่งเครื่องแบบ ตัดผมสั้น เชื่อฟังคำสั่งครู ฯลฯ ในโรงเรียนนั้นมีที่มาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบทหารในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรหรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าธรรมเนียมเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ยังคงแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน

และด้วยความฝังลึกนี้ ทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมเนียมการปฏิบัติดังกล่าว เราก็มักได้เห็นการอภิปรายถกเถียงเป็นวงกว้าง ทั้งในสื่อมวลชนและชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ และก็ไม่พ้นที่จะต้องได้เห็นข้อสนับสนุนที่ว่าธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ล้วนสำคัญ เพราะเป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยให้เยาวชนได้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต

ที่บทถกเถียงเหล่านี้ไม่เคยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันได้ อาจเพราะความเห็นที่ต่างกันสุดขั้วก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแต่ละฝ่ายยังไม่เข้าใจว่า ระเบียบวินัย ที่ต่างอ้างกันนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เองก็ไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะให้คำจำกัดความไว้ซ้ำซ้อนกันว่า ระเบียบ คือ แบบแผนที่วางไว้เป็นแนวปฏิบัติหรือดำเนินการ ส่วน วินัย คือ ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ, ข้อปฏิบัติ

ผมจึงขอเสนอคำจำกัดความใหม่ สำหรับอธิบายแนวคิดของผมต่อประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยผมจะกำหนดให้ ระเบียบ (order) หมายถึงการปฏิบัติอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ส่วน วินัย (discipline) หมายถึงการควบคุมตนตามกาลเทศะอย่างสมควร

บอกแค่นี้อาจจะยังเห็นไม่ชัดเจนว่าแล้วตกลงมันต่างกันยังไง ลองดูตัวอย่างครับ ยกประเด็นต้นเรื่องเลยคือการเข้าแถว สมมุติว่าครูสั่งให้นักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งนักเรียนก็ยืนตรงได้ไม่ยุกยิก เข้าแถวเรียบร้อยเป็นแนวตรงทั้งแถวตอนแถวหน้ากระดาน อันนี้คือที่ผมเรียกว่ามีระเบียบ แต่หากนักเรียนเข้าแถวได้อย่างนั้นเฉพาะเวลาที่มีครูยืนคุมอยู่ ก็ไม่เรียกว่ามีวินัย เทียบกับการเข้าแถวต่อคิวรับถาดอาหารกลางวัน ถ้านักเรียนต่อคิวกันเป็นแถวโดยไม่ต้องคอยสั่ง ไม่มีคนแซงคิวแม้จะไม่มีครูคอยยืนคุม นั่นคือที่ผมเรียกว่ามีวินัย แม้อาจจะไม่ได้มีระเบียบ คือนักเรียนไม่ยืนตรง แถวเบี้ยวไปมาก็ตาม

ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะพอเดาได้ว่าแนวคิดที่ผมจะเสนอคืออะไร ครับ เมื่อกำหนดความหมายแยกกันให้ชัดเจนแล้ว ผมเชื่อว่า วินัย คือสิ่งที่สำคัญต่อปกติสุขของสังคมมากกว่า เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่มีใครมาคอยคุมให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์และมารยาทของสังคมอยู่ตลอดเวลา คงไม่มีประโยชน์ที่ทุกคนจะสามารถเข้าแถวเคารพธงชาติได้ตรงเป๊ะทุกวันเช้าเย็น ถ้าเวลาขึ้นรถเมล์เราจะกลับยืนออเบียดเสียดแย่งกันแซงขึ้นรถตรงหน้าประตูจนผู้โดยสารบนรถลงไม่ได้ และก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะกำหนดฝั่งขวาหรือซ้ายของบันไดเลื่อนให้ยืนหรือเดิน หากกำหนดไปแล้วคนจะไม่ปฏิบัติตาม

ไม่ใช่ว่าระเบียบไม่สำคัญ เพราะเมื่อมีวินัยในการปฏิบัติอะไรแล้วก็ย่อมต้องอาศัยระเบียบช่วยกำหนดให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามมา ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับส่วนหนึ่งในคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่อ้างไว้ในบทความที่แล้ว ที่ใช้วงโยธวาทิตเป็นสัญลักษณ์แทนความงี่เง่าของระบบทหาร เพราะการควบคุมร่างกายให้ผสานเข้ากับจังหวะดนตรีนั้นก็ต้องอาศัยทั้งระเบียบและวินัยร่วมกันในระดับสูง ไม่ต่างจากที่สมาชิกวงออร์เคสตราต้องมีทั้งระเบียบและวินัยในการเล่นจึงจะบรรเลงดนตรีออกมาได้พร้อมเพรียงโดยไม่ผิดเพี้ยน

แต่การบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ (regimentation) ที่ปฏิบัติกันในโรงเรียนนั้น แม้จะสร้างสภาพที่มีระเบียบได้แต่ก็แค่ชั่วคราว และที่สำคัญ ไม่น่าจะช่วยปลูกฝังวินัยได้แต่อย่างไร เพราะอาศัยแต่การเฝ้าควบคุม (และอาจจะกดขี่) อยู่ตลอดเวลา สภาพบีบบังคับเช่นนี้ ถึงแม้ในเบื้องต้นอาจจะสามารถขู่ให้ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจเกรงกลัวและไม่กล้าละเมิดระเบียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่ในเบื้องลึกแล้วกลับเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกต่อต้าน ที่จะส่งผลในทิศทางตรงข้ามเมื่อมันมากจนทนไม่ไหว หรือเมื่อแรงบีบบังคับนั้นอ่อนลง

การปลูกฝังระเบียบและวินัยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระและมีความสามารถที่จะทำความรู้ความเข้าใจกับโลกรอบตัวได้ ครูจะตรวจผมตรวจเครื่องแบบนักเรียน จะยืนเฝ้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติเป็นสิบปี หากทำไปเพียงด้วยสภาพบังคับที่ไม่มีเหตุผล ก็คงไม่เหลืออะไรหลังจากที่นักเรียนเรียนจบพ้นเงื้อมมือครูไปแล้ว แต่การสอนให้นักเรียนรู้จักคิดถึงสังคมและคนรอบข้าง ให้เห็นและเข้าใจว่าการเข้าคิวจะช่วยให้ตนเองและเพื่อนทุกคนได้ทานอาหารกลางวันโดยเรียบร้อยตามความประสงค์ นั่นต่างหาก คือสิ่งที่โรงเรียนควรทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัย

10 April 2014

Standing in line (1): On orders and the military

This topic brings me to that worst outcrop of the herd nature, the military system, which I abhor. That a man can take pleasure in marching in formation to the strains of a band is enough to make me despise him. He has only been given his big brain by mistake; a backbone was all he needed. This plague-spot of civilization ought to be abolished with all possible speed. Heroism by order, senseless violence, and all the pestilent nonsense that goes by the name of patriotism—how I hate them!
– Albert Einstein

ตั้งใจจะเล่าถึงแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับระบบกฎเกณฑ์ระเบียบต่าง ๆ ในสังคมมาพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้เขียนลงบล็อกสักที วันนี้เนื่องในโอกาสเทศกาลเกณฑ์ทหาร และดราม่าณเดชน์เป็นหืดที่เพิ่งผ่านไป ก็ขอเริ่มต้นซีรีส์บทความสี่ตอนนี้ด้วยเรื่องทหาร ๆ หน่อยแล้วกัน

คำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ยกไว้ข้างต้น อันที่จริงก็สะท้อนแนวคิดของผมเกี่ยวกับระบบทหารได้ค่อนข้างดี หรือกล่าวสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ ผมเกลียดระบบทหารครับ

ที่จริงเหตุผลทั่วไปที่คนจะเกลียดการทหารนั้นก็ง่าย ๆ ไม่น่าต้องอธิบายอะไรมากมาย คือทหารเป็นสถาบันที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองธรรมชาติความป่าเถื่อนของมนุษย์ ที่รังแต่จะฆ่าฟันทำลายกันเวลามีความขัดแย้ง ถึงแม้ทุกวันนี้มนุษย์จะยังหนีไม่พ้นความป่าเถื่อนดังกล่าว แต่การดำเนินวิถีแห่งความรุนแรงนี้ย่อมได้กลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับผู้ที่แสวงหาความเจริญในสังคมปัจจุบันที่พัฒนามามากแล้ว

และถึงแม้ในปัจจุบันทหารจะมีบทบาทที่สำคัญนอกเหนือจากการสู้รบ คือเป็นกองกำลังอเนกประสงค์ โดยเฉพาะในการบรรเทาสาธารณภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ จำนวนมากเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการทหารและการสงคราม ผมก็คิดว่าน่าเสียดาย หากมนุษย์เราจะจำกัดพัฒนาการของตัวเองให้อยู่แต่บนพื้นฐานของความรุนแรง

แต่ความรุนแรงนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมว่าเกลียดระบบทหารหรอกครับ อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองถือแนวความคิดนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่พอจะนึกออกว่าตอน ป.5 ไปเข้าค่ายลูกเสือที่โรงเรียนการบิน กองทัพอากาศ (อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม) แล้วครูฝึกบอกกฎในการอยู่ค่าย 3 ข้อ คือ

  1. ครูฝึกถูกเสมอ
  2. เหมือนกับข้อ 1
  3. หากคิดว่าครูฝึกผิด ให้ย้อนกลับไปดูข้อ 1 และข้อ 2

ถึงเขาจะตั้งใจพูดเป็นมุกตลกที่พอขำได้เล็กน้อย แต่ผมก็จำได้ว่ารู้สึก "อะไรวะ" กับ "กฎ" ดังกล่าวมาก คือ ถูกคือถูก ผิดก็คือผิด จะกำหนดให้คนพูดผิดเป็นถูกได้ได้ยังไง

และจะบังคับให้คนสักแต่ทำตามคำสั่งโดยไม่ใช้สมองคิดว่าคำสั่งนั้นมันควรไม่ควรได้ยังไง

ครับ ปัญหาที่ผมมีกับระบบทหาร ก็เหมือนที่ไอน์สไตน์กล่าว มนุษย์มีวิวัฒนาการมา มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง จะมาบังคับให้ทำตามคำสั่งโดยไม่สนเหตุผลความเหมาะสมถูกผิดอะไรทั้งสิ้นมันใช้ได้ที่ไหน แล้วยิ่งวัฒนธรรมอำนาจนิยมนี้ถูกผสมกับอิทธิพลของพื้นฐานความป่าเถื่อน เกิดเป็นความหยาบคายในวาจาและกิริยาทุกชั่วขณะ ผมก็ยิ่งรับไม่ได้ครับ

ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้วิจารณ์ลอย ๆ โดยที่ไม่เคยสัมผัสเองนะครับ ผมก็เหมือนเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ที่เข้ารับการฝึกวิชาทหาร (รด.) ถึงชั้นปีที่สาม และผมยินดีที่จะบอกว่าผมไม่ประทับใจกับระบบการฝึกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่อ่านหนังสือคู่มือ นศท.ที่แจกมาชั้นปีละเล่ม แต่ผมอ่านครับ ถึงแม้จะไม่ครบทุกบท แต่ก็มากพอที่จะเห็นว่าเนื้อหาที่เป็นสาระมันมีอยู่ ผมรู้จากที่อ่าน ว่าการยืนตรงที่ถูกต้องนั้นปลายเท้าต้องห่างกันเท่าไร รู้ว่าการทำขวาหันจะต้องยกปลายเท้าขวาและส้นเท้าซ้ายในจังหวะไหน รู้ว่าการทำความเคารพโอกาสไหนต้องใช้วิธีใดบ้าง

แต่ในความเป็นจริง ครูฝึกกลับแทบจะไม่เคยบอกหรืออธิบายหลักการใด ๆ นั้นเลย

ในความเป็นจริง เราได้เห็นแต่ครูฝึกตะโกนออกคำสั่ง สั่งแล้วสั่งอีก สลับกับลงโทษที่ทำไม่ถูกใจ โดยที่คนถูกสั่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่สั่งจริง ๆ แล้วมันต้องทำยังไงกันแน่ ได้แต่ทำตามกันมั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แบบลองผิดลองถูก จนกว่าครูฝึกจะพอใจ

ทั้ง ๆ ที่หากอธิบายดี ๆ ให้เข้าใจกันแต่แรก ฝึกทำแค่ไม่กี่ครั้งก็น่าจะได้แล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญาพอที่จะคิดเป็น แต่ทหารกลับห้ามไม่ให้ใช้สติปัญญานั้น และอาศัยแต่การกดดันด้วยความรุนแรงทางวาจาแทน

มันสูญเปล่าไหมล่ะครับ

และยิ่งมองภาพรวมของการฝึกวิชาทหารแล้ว ผมก็ยิ่งว่ามันสูญเปล่ามากมายจริง ๆ

ผมไม่เคยออกความเห็นเวลาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าควรยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือไม่ เพราะถึงแม้ผมจะเกลียดระบบทหาร และกังขาในความลักลั่นของกฎหมายที่กำหนดว่าผู้ชายมีหน้าที่รับราชการทหาร ขณะที่รัฐธรรมนูญระบุว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ผมก็เข้าใจว่าในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ อย่างไรเสียระบบทหารก็จะยังคงมีอยู่ และยังไม่เห็นภาพว่าระบบการเกณฑ์ทหารจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นอย่างไรได้บ้าง ขณะที่อีกหลายประเทศทั่วโลกก็ยังใช้กัน

แต่ประเด็นการปรับเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารนี้สัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างกำลังสำรอง ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือความไร้ประสิทธิผลของการฝึกวิชาทหาร พูดตรง ๆ คือการเรียน รด.นี่มันปาหี่สุด ๆ นอกจากการได้สัมผัสระบบทหารว่าเป็นอย่างไรแล้ว ผมไม่เห็นว่าการฝึก 240 ชั่วโมงกับไปเขาชนไก่อีก 5 วันนี่มันจะได้ช่วยให้ นศท.สามารถเป็นทหารได้จริงขึ้นมาตรงไหนเลย

ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมยังรู้สึกว่าสำหรับ นศท.จำนวนมาก การฝึกส่วนใหญ่นั้นเหมือนการเล่นเกมอะไรสักอย่าง (ปนกับฝึกความอดทนและเลอะเทอะอีกบ้าง) มากกว่าจะเป็นการฝึกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่จะเกิดสงคราม

ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าน่าเสียดายอะไรหรอกครับ (เพราะถ้าจะให้ฝึกจริงจังแล้วจะต้องโหดขนาดไหน ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน) เพียงแต่คิดว่า ถ้าจะให้ตัดหัวเกรียนสามปีแล้วได้แค่นี้ (อย่าว่าแต่พร้อมเป็นทหารเลย แค่เข้าแถวอย่างมีระเบียบวินัยก็ยังไม่เห็นจะทำกันได้) ก็อย่ามีเสียเลย แล้วเอางบประมาณไปทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์กว่านี้น่าจะดีกว่า

22 March 2014

Bangkok's taxi problem: Are mobile apps the solution?

It is a perennial topic of grievance for the citizens of Bangkok, and the set-up is all-too-familiar. It is the evening rush hour, and you are trying to find your way among the throngs of commuters travelling in this city of 10 million. It might be the lack of public transport leading where you need to go, you might be unfamiliar with the neighbourhood, or just are in a hurry. But you decide to take a taxi. After several brightly coloured cars pass by, all with passengers, you successfully flag down one with red lights behind the windscreen indicating a vacancy. But when the driver hears where you're headed, he simply shakes his head, refusing to go. You sigh in frustration, but know it's useless to argue, and so try to patiently wait for another cab to come by. The same exchange is repeated a few more times. When one driver finally agrees, you end up gratefully thanking him for upholding his end of the bargain, something which should have gone without saying in the first place.

Such scenes take place daily throughout the city, probably in the thousands. Everyone seems to have been the victim of such refusals. Online communities are rife with criticism and complaints. Discussions regularly pop up on popular discussion forums. Twitter is abound with one-liners featuring fanciful revenge scenarios against passenger-denying cabbies and their lame excuses. The press has periodically picked up on all this anger. All to no avail.

It's not that the authorities are unwilling to accept the problem or that they haven't tried to better enforce the law (denying passengers is illegal, according to the Motor Vehicle Act, B.E. 2522). Rather, there hasn't been much choice in terms of actions that could directly benefit either passenger or driver. Take the Department of Land Transport's hotline, tel. 1584. The complaint-lodging system has existed for years, but with few people bothering to actually report the transgressions they witnessed. Awareness campaigns have done little to promote its use. This is probably because any action taken against the reported drivers remain invisible to passengers, most of whom have little faith in the system to begin with. For them, given the lack of assurance that their feedback produces results, the cost of their phone call is unjustifiable. The system is also prone to abuse. With no evidence required, false complaints can easily be submitted, though moving to better secure the system would further reduce its use.

Other initiatives have also arisen in attempts to fill this void. There are mobile apps that streamline the complaint-lodging process and websites that aggregate openly accessible feedback for individual taxis. However, such attempts haven't proven helpful, either. For user feedback to be of any use, it must be able to directly influence the future selection of cabs by other passengers, thereby rewarding good drivers and punishing bad ones. But there is a disconnect between the availability of feedback and the way we actually pick taxis, which is essentially a lotto, depending on who happens to drive by at that moment.

This is where mobile taxi-hailing apps come in.

The spotlight has been on hired-transport apps this past month. The international expansion of Uber and the regulatory backlash against it, as well as the scuffle between competing taxi apps and authorities in Beijing and Shanghai, show how big a role these apps will have to play in shaking up the workings of this relatively stagnant market. While Uber, a quasi-luxury service that connects passengers and drivers for rides, launched with fanfare in Bangkok earlier this month, two other regular-taxi apps have been operating since late last year, and are growing. Easy Taxi is based in Brazil and operates in 26 countries, while GrabTaxi is local and covers several cities in Southeast Asia. Both of them are currently focused on streamlining the cab-hailing process, providing real-time updates and contact info. But there is still also much potential for expansion in other areas.

These apps currently rely on driver and vehicle screening to achieve a certain standard. This effectively creates a small pool of quality taxis to offer passengers, which works, to a degree. As adoption rates grow, such assurance of quality will become increasingly difficult, and it will be essential to employ some form of user-generated feedback. These apps are in the perfect position to bridge the aforementioned gap between feedback and future rides. Whereas passengers have neither choice nor information when flagging down a taxi on the street, hailing through an app can provide them with both, potentially allowing them to avoid poorly rated drivers. Earlier digital taxi-hailing initiatives such as Governor Apirak's "smart taxi stands" failed in part due to both passengers and drivers not honouring calls. Feedback systems, combined with the increased accountability of hailing through apps, could help address this.

The greatest potential benefit of mobile-hailing apps, however, lie in how they can improve the efficiency of the market. By providing information and conveniently connecting passengers to taxis, they can help reduce the huge transaction costs normally involved, not least by cutting the time cabdrivers would otherwise spend roaming the streets with empty cars. One can easily imagine these benefits mounting as popularity of these apps increase and their underlying systems become more sophisticated. Providing passengers with the nearest cab is a start. Implementing a feedback system is but a step further. A well designed system might soon be able to match passengers and drivers in a way that maximises all parties' interests, e.g. identifying the driver most willing to go to a passenger's destination. This may even eliminate the root causes that created the problem in the first place.

There are many more ways mobile taxi-hailing apps could transform the market. However, not everybody today owns a smartphone. Considerations still need to be given to fairly balancing the provision of services among app-users and those who would rather opt to flag down a cab the traditional way. As seen from the cases in China and elsewhere, drastic changes to the system are likely to be at odds with regulations designed for an earlier era. Eventually, formal changes will be needed. But there is still much room for growth today.

And I am hopeful.

5 November 2013

ขีดเขียนยามดึก (ว่าด้วยกระแสร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ)

นอนไม่หลับ...

เปิดแหล่งข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็มีแต่เรื่องร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็แล้วขอพ่นทิ้งหน่อยละกัน

เมื่อเย็นนี้เห็นทวีตที่ติดใจอยู่หลัก ๆ สองอัน

หนึ่งคือ

สองคือ

นั่นล่ะครับ ที่ว่าเซ็งกระแสป้ายดำในเฟซบุ๊ก จะว่าเพราะแอบขัดใจที่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ทั้งหลายก็เกิดตื่นตัวทางการเมืองกันขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็ส่วนหนึ่ง เพราะรำคาญที่รูปมันดูเหมือนกันไปหมดก็ส่วนหนึ่ง แต่หลัก ๆ แล้วคือ

ครับ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่มีความเห็น และการโพสต์ลงบล็อกนี่ก็ไม่ขัดกับแนวทางการใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวแต่อย่างใด

ว่าด้วยนิรโทษกรรม

สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ารู้จักคำ นิรโทษกรรม ในแง่ลบ ในนัยที่ว่าเป็นการล้างความผิด ล้มกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารังเกียจ และไม่เข้าใจว่าสังคมจะมีกระบวนการเช่นนี้ไปทำไม

ต่อมาเมื่อได้ยินชื่อ Amnesty International แปลเป็นภาษาไทยว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล จึงแปลกใจและสงสัย ว่าทำไม NGO ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งน่าจะไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้คนที่เข่นฆ่าประชาชน ถึงตั้งชื่อเช่นนั้น¹

เมื่อโตขึ้นอีกถึงเข้าใจว่าความยุติธรรมเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ถูก-ผิดมักขึ้นกับมุมมอง และกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกที่ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมือง คำ amnesty ในชื่อของ AI นั้นมุ่งหมายถึงการยกเลิกความผิดให้นักโทษทางการเมือง ไม่ใช่ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจทางการเมือง แต่สองอย่างนี้ก็ไม่ได้แยกจากกันง่ายเสมอไป

ดูง่าย ๆ จากเหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยใกล้ตัวไปก็ดูอียิปต์ ถามว่า Mohamed Morsi ที่เพิ่งขึ้นศาลไปเมื่อวานเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน หรือเป็นนักโทษทางการเมืองที่เป็นเหยื่อของรัฐประหาร คำตอบที่ได้คงแตกต่างกันไปแล้วแต่จะถามใคร

ในสังคมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่น้อยที่สุดที่มีอยู่ เรายอมรับว่าการเมืองไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จึงต้องอาศัยทำให้คนส่วนมากพอใจโดยไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของส่วนน้อย แต่เรากลับไม่ค่อยมองเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมก็เป็นดอกผลของกระบวนการทางการเมืองเดียวกันนี้ ซึ่งย่อมโอนอ่อนเอนเอียงไปได้ตามกาลเวลา

เราจึงมักไม่เข้าใจแก่นของนิรโทษกรรม ว่าควรมีไว้แก้ไขข้อผิดพลาด สมานช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างเสรีภาพทางการเมืองกับความเอนเอียงของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพียงสิ่งชั่วร้ายที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือตนเอง

ว่าด้วยกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ

ขอยอมรับว่าหกปีกว่าหลังจากเขียนเอ็นทรีนี้ ผมก็ยังไม่หายรู้สึกระอิดระอากับการเมือง และยังคงไม่รู้สึกอยากมีส่วนร่วมใด ๆ กับมัน (มากไปกว่านั่งบ่นอยู่ตรงนี้) กระนั้นผมก็คิดว่าการไม่เลือกลงไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายใด ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เห็นแนวคิดและการกระทำของแต่ละฝ่ายผ่านเลนส์ที่ไม่ถูกเจือสีได้ดี

หลาย ๆ ท่าน (รวมถึงตัวผมเอง) ได้กล่าว (เชิงกึ่งขบขัน) ไปแล้ว ว่าร่าง พรบ.ฉบับนี้ ดูจะสร้างความสมานฉันท์ระหว่างแต่ละขั้วการเมืองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการร่วมกันออกมาต่อต้าน แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายต่อต้านนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนโกงชาติ ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนสั่งฆ่าประชาชน

ผมเองไม่เห็นด้วยกับคำดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย

ผมไม่ได้บอกว่าทักษิณไม่ได้โกงชาติ แม้ผมจะไม่เชื่อว่าการตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวจะเป็นอิสระจากการเมือง ผมก็ไม่กังขาสักนิดครับว่าเขาโกง ไม่ต่างจากที่ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็โกงชาติอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะโดยการยื่นภาษีไม่ตรงประเภทตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากร การใช้เส้นสายเวลาติดต่อราชการ หรือกระทั่งการข้ามถนนนอกเขตทางข้าม

ทักษิณโกงแน่ครับ แต่การโกงนั้นไม่ใช่เหตุให้ยอมรับรัฐประหาร และศาลยุคตุลาการภิวัตน์ที่ตัดสินมากี่คดีก็มีแต่ทักษิณกับพวกที่ผิด (ไม่ว่าจะคดีอาญาหรือคดีการเมือง) ย่อมสมควรถูกกังขาในความเป็นกลาง กระนั้นการบอกยกเลิกความผิดนี้โดยปริยายก็ไม่สมควรเช่นกัน ผมไม่ได้ติดตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ฟังดูเผิน ๆ แนวคิดเรื่องการยกเลิกคำตัดสินที่ถูกกังขาเพื่อกลับมาเข้ากระบวนการใหม่ที่เที่ยงตรง ก็เหมือนจะเข้าท่าดี หากแต่ก็ไม่เห็นว่าจะทำจริงได้อย่างไร

ผมเองไม่ได้ชอบทักษิณ แต่ผมก็เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ผมไม่เชื่อว่าหากศาลเดียวกันนั้นตัดสินให้ทักษิณพ้นผิด หรือให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมีความผิด บรรดาคนที่เรียกร้องให้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมอยู่นี้ จะยังกล่าวกันเช่นเดิม

สำหรับฝ่ายคนที่ไม่ยอมให้อภัยฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน ขอเถอะครับ กับไอ้คำ ฆาตกร เนี่ย จะเวอร์กันไปถึงไหน

ถามว่า พ.ค.'53 มีผู้บริสุทธิ์ตายด้วยน้ำมือทหารไหม ผมไม่กังขาครับว่ามี หากเช่นนั้นแล้วทหารปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดไหม ไม่ต้องสงสัยครับว่าผิด ถามว่าผู้นำที่ตัดสินใจให้ใช้กำลังทางทหารควรจะรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม ผมบอกเลยว่าควร แต่ถามว่านั่นแปลว่าเขาเป็นฆาตกร ที่สั่งฆ่าประชาชนด้วยเจตนาอันโหดเหี้ยมเพื่อหมายจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ช่างคิดไปได้นะครับ...

อภิสิทธิ์ (กับสุเทพ) ทำผิดแน่ครับ แต่ผิดที่ไว้ใจผิดว่าทหารจะไม่ทำอันตรายผู้บริสุทธิ์ (โดยไม่ได้ตระหนักว่าหน้าที่ของทหารคือรบกับศัตรู ไม่ใช่สลายการชุมนุม) ไม่ใช่สั่งฆ่าประชาชน ถามว่าเขาควรต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เห็นว่าแก่นของกรณีนี้จะแตกต่างจากการสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวเมื่อ ต.ค.'51 เท่าใดนัก เหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคือความไม่สามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เจตนาฆ่า การเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียเป็นสิ่งที่สมควร แต่ตราบใดที่ยังตะโกนแต่คำว่าฆาตกรกันอยู่นั้น ผมก็เห็นแต่คนที่เอาศพของผู้เสียชีวิตมากองเป็นเวทีให้ตนเองเหยียบยืนเท่านั้นเอง

แล้วตกลงคิดอย่างไรกับกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ โดยรวม?

อันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับหลักการลบล้างความผิดทั้งหมดทั้งมวล ก็คงไม่ถึงขนาดที่เห็นว่าต้องแสดงออกผ่านการเอาป้ายดำเป็นรูปโปรไฟล์เต็มไปหมดแบบนี้

ส่วนหนึ่งคงเพราะว่าที่ผ่านมาผมเสื่อมศรัทธากับกระบวนการยุติธรรมไปมากแล้ว และไม่อยากหวังลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไปว่าจะมีโอกาสเห็นการดำเนินคดีที่เป็นกลางได้จริง (ดูตัวอย่างจากการทำคดีของ DSI ที่เปลี่ยนทิศทางไปมาตามสายลมการเมืองที่พัดผ่าน) ลึก ๆ แล้วก็เลยยังแอบคิดอยู่ว่าหากร่าง พรบ.นี้ผ่านได้ อย่างน้อยก็จะได้เลิกกันเสียทีกับกระบวนการยุติธรรมปาหี่นี่ นัยว่าถ้าจะมีแต่กระบวนการยุติธรรมที่ลำเอียงเช่นนี้แล้ว ออกกฎยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเลยเสียอาจจะดีกว่า

และอย่างไรเสีย แค่นี้ร่าง พรบ.ฯ ก็ได้ช่วยให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้มีโอกาสทบทวนแนวคิดกันยกใหญ่แล้ว หากทักษิณกลับมา เราอาจจะได้เห็นการแตกหักกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างจริงจังเสียที²

ซึ่งผมยังคงรออยู่ เผื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดมีกลุ่มการเมืองเสรีนิยมที่ผมจะสามารถสนับสนุนได้โดยบริสุทธิ์ใจบ้างสักวัน


  1. อีกชื่อที่สงสัยมาแต่เด็กคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ทำไมหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนจะตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย ๆ กันไม่ได้หรือไง
  2. ดู Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.

30 June 2013

หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

ช่วงที่ผ่านมาเรื่องทรงผมกับเครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนจะเกิดเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบนะครับ ตั้งแต่เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงนโยบายเรื่องทรงผมของนักเรียนมา ซึ่งก็มีเหตุให้เกิดความลักลั่นในการนำไปปฏิบัติกันอยู่ให้เห็น ตลอดจนการนำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนมาประกอบโครงเรื่องในละครโทรทัศน์¹ ในเวลาใกล้เคียงกับที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนทั้งต่างประเทศ² และในประเทศ³

ผมเองได้เห็นการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์หลายรอบ แต่ละรอบก็เห็นประเด็นเดิม ๆ มิได้แตกต่างกันเท่าไร จนระอาที่จะร่วมคิดหรือติดตาม เพราะมองว่ายังไงก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลง (อีกอย่างตัวเองก็เลยวัยที่จะเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว และวงการศึกษาไทยก็มีปัญหาที่สำคัญกว่านี้อีกมาก) จึงแปลกใจพอควรครับ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ออกมากำหนดแนวนโยบายเรื่องทรงผมที่ชัดเจนแบบนี้

แต่ขอกล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบก่อนดีกว่าครับ

ให้เวลา 30 วินาที ลองนึกชื่อภาพยนตร์ที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีกากีสักเรื่องนะครับ

นึกออกไหมครับ ผมนึกออกหนึ่งเรื่องคือ ปัญญา เรณู

อาจจะมีเรื่องอื่นอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชนชั้นกลางในเมืองใหญ่เช่นกัน

ที่ในเนื้อความเขียนว่าเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่นั้นไม่จริงหรอกครับ อย่างเครื่องแบบนักเรียนชายนี่ยังมีสีกางเกงที่ถูกใช้เป็น stereotype บ่งระดับชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ส่วนของนักเรียนหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแบบเสื้อ แบบกระโปรง แล้วยังอุปกรณ์ประกอบอีกเต็มไปหมด

หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับค่านิยมของสังคมที่สะท้อนออกมาในภาพยนตร์ ซึ่งมองว่าชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินคือโรงเรียนเอกชน สีกากีคือโรงเรียนวัด/โรงเรียนรัฐบาล (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ส่วนสีดำก็มีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมือง นอกจากนี้ยังมีสีหายาก ลายสก็อตต่าง ๆ ตามแต่โรงเรียนจะรังสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างเป็น "เอกลักษณ์" ขึ้นมา (ส่วนสีกรมท่าคนไม่ค่อยรู้จัก ที่จริงสังเกตได้ว่าสัมพันธ์กับโรงเรียนในวัง ทั้งจิตรลดา วชิราวุธ ราชวินิต ฯลฯ แอบสงสัยว่าสาธิตเกษตรจะตั้งใจเลือกมาด้วยเหตุนี้ (ไม่ก็ให้เข้ากับสีม่วง))

แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่มี stereotype ที่ได้จากรูปแบบหรือสีของชุดนักเรียน ค่านิยมของสถานศึกษาแต่ละที่ก็สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจอยู่แล้ว

ลองนึกถึงภาพยนตร์อีกรอบครับ คราวนี้เอาที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน มีสักเรื่องไหมที่ตัวละครจะใส่กางเกงยาวเกินสองคืบ

อันนี้อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง (แล้วแต่คืบใคร) แต่ลักษณะการแต่งกายดังกล่าวก็สะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของนักเรียนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะเหล่าโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดมาได้ยังไง แต่ก็รู้สึกทึ่งกับการยึดมั่นในค่านิยมดังกล่าวของบรรดานักเรียนเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กอัสสัมชัญ ซึ่งเพื่อนที่เป็นศิษย์เก่าเคยบรรยายว่ากางเกงนักเรียนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน

ส่วนชุดนักเรียนหญิงก็มีปรากฏการณ์แบบเดียวกัน ดูอย่างสาธิตเกษตรที่นอกจากกระโปรงจะเป็นสีม่วงเด่นขนาดนั้นแล้วยังนิยมใส่กันยาวแทบกรอมข้อเท้าแบบที่ว่าอยากนั่งขัดสมาธิตรงไหนก็ลงไปนั่งได้เลย

ค่านิยมเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นครับว่าถึงจะมีการกำหนดเครื่องแบบจากเบื้องบนลงมา (หรือต่อให้ไม่มีก็ตาม?) อย่างไรเสียก็จะยังมี "เครื่องแบบ" แห่งค่านิยมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเติบโตแพร่กระจายได้เองในสังคมดำเนินควบคู่ไปด้วยอยู่นั่นเอง

ผมขอไม่ทบทวนข้อถกเถียงทั้งหมดในเรื่องที่ว่าเราควรมีเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาต่อไปหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามดู ก็ไม่เคยเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายไหนจะมีความถูกต้องสัมบูรณ์เหนือกว่า ผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่ว่าสังคมไทยนั้นนิยมเครื่องแบบ (มาก) เพราะมันตอบสนองความคาดหวังของสังคมทั้งในแง่ที่เป็นสังคมอำนาจนิยมมาแต่เดิม และที่เครื่องแบบนั้นเป็นเครื่องแสดงระดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจน แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์ในเชิงปทัฏฐาน (normative) แต่อย่างใด หากมองในแง่เสรีภาพ ที่สุดขั้วของการมีเสรีภาพในการเลือกแต่งกายเต็มที่ คือจะให้นุ่งผ้าเตี่ยวหรือแก้ผ้าไปเรียนได้นั้น ก็คงไม่เป็นที่ยอมรับตามค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม สุดท้ายมันก็นำไปสู่คำถามพื้นฐานว่าสังคมจะต้องการให้ขีดเส้นตรงไหน ซึ่งเว้นเสียแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม ก็คงลงเอยที่การรักษาสถานะเดิม (status quo) อยู่ดี

ผมเองยอมรับครับว่าในฐานะนักเรียน ก็คงเลือกที่จะรักษาสถานะเดิมนั้น ไม่ใช่เพราะชื่นชมกับเครื่องแบบอะไรนักหนา แต่เพราะเท่าที่อยู่ในสังคมมา ก็เห็นสังคมที่มีเครื่องแบบอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับมัน ในทางกลับกัน คนที่เห็นสังคมที่ไม่มีเครื่องแบบมาก่อนก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยความคุ้นเคยว่าสังคมแบบนั้นมันไม่ได้มีปัญหาสำหรับเขา การเถียงกันบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวว่าอย่างไหนตรงกับธรรมชาติพื้นฐานของสังคมมนุษย์มากกว่ากันนั้นคงไม่เกิดประโยชน์

ในขณะเดียวกัน ความคุ้นเคยนั้นเองก็อาจจะทำให้หลายคนสร้างความคิดเชื่อมโยงเครื่องแบบกับประสบการณ์ในวัยเรียนที่ตนประทับใจได้โดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ GTH (หรือค่ายไหน ๆ ก็ตามแต่) ใช้เครื่องแบบเป็นจุดขายภาพยนตร์ (รวมถึงละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงข้างต้น) ได้อยู่เรื่อย ๆ และก็อาจส่งผลป้อนกลับ (feedback) ให้มีความพยายามรักษาสถานะเดิมนั้นมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

ที่จริงการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียนนี่คิดดูก็มีส่วนแปลกนะครับ เรามักจะเห็นว่าเครื่องแบบอื่น ๆ มักเป็นเครื่องสะท้อนอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป ต้องมีสิทธิพิเศษถึงจะได้ใส่ จะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เครื่องแบบนักเรียนนี้ทุกคนต้องใส่หมด (ขอไม่พูดถึงการศึกษานอกระบบซึ่งเป็นส่วนน้อย) มันก็เลยมีส่วนเป็นเครื่องบังคับความเท่าเทียมในสังคมอย่างหนึ่ง (วาทกรรมที่ว่านักเรียนควรภูมิใจที่ได้แต่งเครื่องแบบจึงดูแปร่งๆ เพราะเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกชนชั้นผ่านการสะท้อนชื่อเสียงเรียงนามของโรงเรียนที่คนคนนั้นได้เรียนอยู่ดี ในประเด็นความเท่าเทียมจึงตีความได้ยากว่าควรมองเครื่องแบบนักเรียนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่

แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือความแตกต่างระหว่างประเด็นเครื่องแบบนักเรียนกับประเด็นทรงผม ทั้ง ๆ ที่ก็กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันในระดับหนึ่ง (ทรงผมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ) แต่กลับเชื่อได้ (ทึกทักเอาเอง) ว่านักเรียนที่สนับสนุนหรือเฉย ๆ กับเครื่องแบบจำนวนมาก คงไม่สนับสนุนการตัดผมเกรียน/ติ่งหูด้วยเป็นแน่

เพราะการบังคับทรงผมมันรุกล้ำต่อร่างกาย ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนกว่าเครื่องแต่งกายมากหรือเปล่า นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ผมนึกออก เพราะชุดนักเรียน พอเลิกเรียน วันหยุด ก็ถอดชุดเปลี่ยนได้ แต่ผมเกรียน/ติ่งหู ไม่ใช่อย่างนั้น

อันที่จริงผมก็คงวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่ประถมถึง ม.ต้นก็เรียนโรงเรียนสาธิต ไม่เคยถูกบังคับเรื่องทรงผมแบบนี้ จะมามีช่วงที่ต้องรันทดกับหัวเกรียนก็ตอน ม.ปลาย ที่ฝึก นศท.นั่นแหละ (แต่นั่นก็เถียงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อว่าสมัครใจ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดว่าคนที่ถูกบังคับตัดทรงนักเรียนตั้งแต่ ป.1 จะเกิดความผูกพัน ภาคภูมิใจกับสภาพหัวเกรียนได้แบบเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน (ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเห็นนักแสดงหนัง GTH ในสภาพหัวเกรียนด้วยแล้วหรอกมั้ง)

นั่นยิ่งทำให้ผมฉงนกับเหล่าบรรดาผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ออกมาดราม่าต่อต้านการยกเลิกผมทรงนักเรียนกันอย่างรุนแรง ว่าเออ มันมีคนที่รักและผูกพันกับทรงหัวเกรียน/ติ่งหูกันขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย จะว่าเขาเห็นมันมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์แบบการไว้ผมจุกที่จะต้องรอจนก้าวพ้นวัยเด็กในพิธีโกนจุก ในสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าใช่ ยิ่งในฐานะนักเรียนเก่าสาธิต ที่ไว้ผมรองทรงได้มาตั้งแต่ ป.1 เลยยิ่งงงกับตรรกวิบัติของพวกเขาที่ว่า ตัดผมแค่นี้ทำกันไม่ได้ โตไปจะมีระเบียบวินัยอยู่ในสังคมได้ยังไง ยิ่งขึ้นไปอีก

พูดถึงความยาวของกางเกง ในคู่มือนักเรียนที่เตรียมฯ กำหนดเรื่องกางเกงไว้ละเอียดมากว่า "ใช้ผ้าเทโรหรือผ้าเสิร์จสีดำ (ห้ามใช้ผ้าเวสปอยส์) มีจีบข้างหน้าด้านละ ๒ จีบ ผ่าตรงส่วนหน้าติดซิป (ห้ามใช้กระดุม) มีกระเป๋าด้านข้าง ๒ ข้าง ปากกระเป๋าตัดตรง ไม่มีกระเป๋าหลัง มีหูไว้ร้อยเข็มขัดกางเกง เมื่อใส่แล้วต้องมีความยาวเหนือลูกสะบ้าเข่าไม่เกิน ๕ ซม. และความกว้างของปลายขากางเกง เมื่อดึงออกมาจากขาต้องห่างไม่น้อยกว่า ๗ ซม. แต่ไม่เกิน ๑๒ ซม."

เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ตรวจเครื่องแบบแล้วเอาไม้บรรทัดมาวัดความกว้างของขากางเกงนะครับ

แต่มารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วยังมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งระบุไว้ว่า "กางเกง แบบไทย ขาสั้นเพียงเหนือเข่า พ้นกลางลูกสะบ้า ประมาณ ๕ ซม. เมื่อยืนตรง..." ถ้านับตามศักดิ์ของกฎหมายแล้ว (และถ้าระเบียบกระทรวงดังกล่าวยังไม่ถูกยกเลิก) ก็ต้องยึดตามเนื้อความในระเบียบกระทรวงฯ ถึงจะถูก

ซึ่งแปลว่าที่เราใส่กางเกงชายขาเสมอเข่านั้นผิดกฎหมายนะ ต้องสั้นขึ้นอีก 5 ซม.ถึงจะถูก~

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของการมีเครื่องแบบแหละครับ อะไรที่ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรตายตัว พอสังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ก็ยากที่จะเปลี่ยนตามได้ทัน เครื่องแบบต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นจึงเป็นเครื่องสะท้อนแฟชั่นย้อนยุคได้เป็นอย่างดี

เรื่องนี้ก็เป็นการถกเถียงบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวแบบเดียวกับกรณีเครื่องแบบ แต่ผมเชื่อ (ทึกทักเอาเองอีกแล้ว) ว่าขณะที่อาจจะเห็นนักเรียนปัจจุบันสนับสนุนเครื่องแบบได้ไม่ยาก ในบรรดาคนที่สนับสนุนทรงหัวเกรียน/ติ่งหูอยู่นี้ ส่วนมากคงจะเป็นบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ตนเคยผ่านมาเป็นสิ่งที่จะต้องบังคับให้ชนรุ่นหลังผ่านตามไปเช่นกัน มากกว่า

ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการเชื่อเช่นนั้นจะผิดเสมอไป คนที่ตอนเด็กถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก พอโตขึ้นและตระหนักได้ถึงความสำคัญของอาหารทั้งห้าหมู่ ก็คงจะบังคับให้ลูกของตนกินผักเช่นเดียวกัน แต่ถ้าครูจะใช้ไม้เรียววางอำนาจว่าตนอยู่เหนือนักเรียน เพียงเพราะจำได้ว่าสมัยตนเป็นนักเรียนเคยถูกกดขี่มาอย่างนั้น โดยไม่ได้ใส่ใจในเหตุผล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีการศึกษาพึงกระทำ

จึงต้องพิจารณาว่าที่มาที่ไปของผมทรงนักเรียนที่มีมานานนั้นคืออะไร และยังสมเหตุสมผลอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า ไม่แน่ หากพบว่าการให้ตัดผมเกรียนครั้งแรกนั้นเกิดจากเหาระบาดครั้งใหญ่จะเงิบได้ตาม ๆ กันไป ส่วนใครที่จะอ้างว่าเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสำคัญของโรงเรียนที่มีมาช้านาน ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ที่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ (ส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจว่าทำไม) ก็คงต้องบอกว่าอยากบังคับก็บังคับไป เพราะยังไงนักเรียน (โดยผู้ปกครอง) ก็ต้องสมัครใจไปเข้า แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ เทียบเหตุผลดูแล้วก็คงไม่ควร

แต่อย่างไรเสีย จะเลิกผมทรงนักเรียน ก็ไม่ได้แปลว่าเลิกบังคับทรงผม ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับการกำหนดให้ตัดรองทรง (สูง?) ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มี แต่สังคมจะต้องการให้ผู้ชายไว้ผมยาวหรือทำผมโมฮอว์กไปโรงเรียนได้หรือเปล่านั้น ก็คงเป็นประเด็นที่จะโผล่ขึ้นมาให้ถกเถียงกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน ที่ตราบใดที่สังคมยังมองว่าไม่ได้เดือดร้อน ทุกอย่างก็ย่อมจะคงอยู่ตามสถานะเดิมต่อไป


  1. ดู HORMONES วัยว้าวุ่น EP.1 เทสโทสเทอโรน (Testosterone) 25 พ.ค.56
  2. ดู Thai Students Find Government Ally in Push to Relax School Regimentation จาก The New York Times
  3. ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบนักเรียนโดยตรง แต่ highly recommended: วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ - 26 มิ.ย.56 (HD)
  4. ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะเป็นผลงานที่น่าจดจำที่สุดของคุณพงศ์เทพในฐานะ รมว.ศธ.หรือเปล่า (ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงยังน่าจดจำกว่า รมว.ศธ.อีกหลายท่าน) ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปว่าการใช้คอมพิวเตอร์กระดานชนวนสุดท้ายแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร

17 December 2012

ด้วยผลแห่งการแสดงคารวะนี้...

...ขอให้ข้าพเจ้าเป็นคนดียิ่งขึ้นทุกวันทุกประการเป็นลำดับไป

ข้อความดังกล่าวคือวรรคสุดท้ายของบทสวดมนต์ประจำวันของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ

ความจริงบทสวดมนต์สาธิตเกษตร มีลักษณะเฉพาะอยู่หลายประการที่ไม่ตรงตามคำบูชาพระรัตนตรัยที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งถ้าจำไม่ผิดก็เคยเป็นเหตุให้เกิดความสับสน/แปลกใจเมื่อมีการจัดกิจกรรมกับนักเรียนต่างโรงเรียนมาไม่น้อย

ประการหนึ่งคือการสวด นโม สามจบก่อนขึ้นบท อรหํ สมฺมาฯ

อีกประการหนึ่งคือการมีบทสวดไหว้บิดามารดาและครูอาจารย์ตามหลังบทบูชาพระรัตนตรัย

อีกประการหนึ่งคือการกราบสามครั้งท้ายบทสวดมนต์

และอีกประการหนึ่งคือการมีบทสวดภาษาไทยประกอบคำบูชาพระรัตนตรัยแต่ละวรรค ซึ่งไม่ใช่บทคำแปลที่พบโดยทั่วไป ("พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง...") หากแต่เรียบเรียงให้สั้นลงและ (ขอเดาว่าน่าจะ) เข้าใจง่ายขึ้นสำหรับนักเรียน ป.1 ดังเช่นข้อความภาษาไทยของวรรคบูชาพระพุทธ ที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ผู้ได้ตรัสรู้ถูกต้องดีแล้ว"

อันที่จริงผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโรงเรียนอื่น ๆ สอนบทสวดมนต์ให้กับนักเรียน ป.1 กันว่าอย่างไร แต่ผมคิดว่าตัวเองตอน ป.1 ก็คงบอกได้ว่าการมีคำอธิบายภาษาไทยให้รู้ว่าตัวเองกำลังสวดอะไรอยู่นั้น ทำให้การสวดมนต์มีความหมายขึ้นมาก (และก็จำได้ว่าไม่ชอบใจมาแต่เด็กที่ไม่มีใครบอกว่าบท นโม ตสฺส นั้นหมายถึงอะไร) ถึงแม้คำอธิบายดังกล่าวจะไม่ใช่คำแปลตามความหมายโดยตรง แต่ผมคิดว่ามันก็สรุปความและอธิบายเจตนารมณ์ของการให้สวดมนต์ได้ในระดับหนึ่ง

แต่ก็อีกหลายปีครับ กว่าจะได้ตระหนักว่าเราสวดมนต์ระลึกถึงพระรัตนตรัย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติและเตือนตนเองให้ยึดแนวทางคำสอนและตัวอย่างที่ดีงามเหล่านั้นเป็นหลักในการปฏิบัติตนและดำเนินชีวิต

แตกต่างจากการสวดมนต์ของศาสนาเทวนิยม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารกับพระเป็นเจ้าเป็นหลัก ทั้งเพื่อสักการะบูชา อ้อนวอนร้องขอ และอื่น ๆ

จึงดูน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ความวรรคท้ายที่ผมอ้างถึงในชื่อบทความนี้ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะอีกประการของบทสวดมนต์สาธิตเกษตร กลับสื่อความเป็นการขอให้ได้ผลตอบแทนโดยตรงจากการสวดมนต์ ซึ่งดูขัดกับแนวคิดว่าการเป็นคนดีนั้นอยู่ที่กรรมที่ตนกระทำในทุกเวลาของชีวิต หาใช่มาจากเพียงการสวดมนต์ไม่

ที่จริงแล้วการบอกว่าน่าแปลกใจนั้นอาจจะไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะถึงแม้ว่าผมจะกังขาความเหมาะสมของข้อความดังกล่าว แต่มันก็สะท้อนวิถีของพุทธศาสนาในสังคมและวัฒนธรรมไทย ที่ได้ผ่านการดัดแปลง ปรับเปลี่ยน และผสมผสาน ให้เข้ากับพื้นฐานความเชื่อของคนในสังคมมาช้านาน

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับคนจำนวนมากแล้ว บทสวดมนต์ ซึ่งเดิมนั้นคงสำคัญที่เป็นเครื่องมือช่วยในการเจริญสติและบำเพ็ญวิปัสสนา ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นเครื่องมือในการอ้อนวอนขอร้องลาภยศและความสำเร็จกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลาย ที่อาจจะบอกได้ยากว่ามีในคำสอนของศาสนาพุทธหรือไม่

ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นที่ดูน่าสนใจทีเดียวในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ คำถามหนึ่งที่ถูกถามบ่อย ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนาคือควรนับเป็นศาสนาหรือเปล่า เพราะนิยามคำว่าศาสนา (religion) ตามแนวคิดตะวันตกส่วนใหญ่จะกล่าวถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่มีในคำสอนของศาสนาพุทธ

แต่กระนั้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมากที่สุดในโลก ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามนิยามดังกล่าวนั้นก็มีให้เห็นได้อยู่ทั่วไป และได้หลอมรวมกับพุทธศาสนาจนน่าจะแยกจากกันได้ยาก

จึงน่าคิดว่า ต่อให้ศาสนาพุทธตามคำสอนจะไม่เข้าเกณฑ์นิยามคำว่าศาสนาตามแนวคิดตะวันตก แต่ศาสนาตามนิยามนั้นก็มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยจากการผสมผสานศาสนาพุทธกับความเชื่อพื้นบ้านต่าง ๆ

ถ้าอย่างนั้น จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธ (ที่อาจจะไม่นับว่าเป็นศาสนา) จะตั้งอยู่โดด ๆ ในสังคมขนาดใหญ่ได้หรือเปล่า หรือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อย่างไรเสียก็ต้องสร้างความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ?

และเราจะบอกได้อย่างไร ว่าที่สวดมนต์แต่ละวัน เราสวดเพื่อเตือนสติตนตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา

หรือสวดเพื่อขอผลตอบแทนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นที่ศาสนาอื่น ๆ ต่างกระทำ?


Edited 2013-03-11: ผู้ได้ตรัสรู้

1 December 2012

Thailand: Getting to zero?

"Getting to Zero" is the United Nations' continuing theme for this year's World AIDS Day. It refers to zero new HIV infections, zero deaths from AIDS-related illness and zero discrimination.

I don't know exactly how achievable the declared targets and commitments are in Thailand. I certainly would like to hope they are, but although access to treatment and mother-to-child transmission prevention has seen much success in recent years and likely continues to improve, the country's approach is still, or has become, lagging in many important areas.

Much has been said of Thailand's success in combatting the first wave of the HIV epidemic. Education campaigns during the early 1990s effectively raised awareness of the disease and its risk factors, resulting in significant positive behavioural changes in the population. Condom use by sex workers became almost uniform. New infections dropped from almost 143,000 in 1991 to 29,000 in 2000.

This success, however, has seemingly led to complacence, if not by the government then in visible continued education efforts reaching the public. As the population has aged, today's youth have grown up without a media telling them of the dangers of unprotected sex. Indeed, with advances in anti-retroviral treatment, HIV today seems to have become just another disease to some. Combined with increasing trends in adolescent sexual activity, the youth sense of invulnerability and an unimproved sex education—Thailand's having the second-highest adolescent pregnancy rate was widely reported earlier this year—these factors could spell a resurgence of the epidemic in the subgroup, if not a recipe for disaster.

That resurgence has yet to occur. And I still hope that the combined magnitude of the HIV risk and unwanted pregnancy issues will have pressured society and the government to reconsider their stances on sex and education before then. An overhaul of current attitudes—the unmentionability of premarital sex in particular—is critical, though insistence on the part of various international and non-governmental organisations have so far resulted in little visible change.

Yet sexual transmission of HIV isn't the only remaining major issue. Though various campaigns and government efforts have been made, stigmatisation and discrimination is ever still present in Thai society. Limited public education has allowed misconceptions about the disease to continue, especially since what little many people know about AIDS came from the death scares of the 1990s. Although the issue seems most serious in rural areas, where in some places individuals remain shunned by entire communities and children barred from attending school, the extent of human rights violations is much farther. It is still the norm for workplaces to discriminate—illegally—against people living with HIV, whether they be manual labour or white-collar workers. And in a culture where status and labels guide social interaction, being HIV-positive often results in quick, condescending judgment. This is the case even in the medical setting, where many healthcare providers abandon professionalism and treat such patients with seeming contempt, all the worse if they also happen to fall into a stereotypical at-risk or low-socioeconomic group.

Clearly, lack of education isn't the only factor perpetuating such stigma and discrimination; social values and cultural norms also contribute. Apart from being a rights issue in itself, such discrimination also forms a barrier to accessing preventive measures and treatment. If left unchecked, this could develop into a vicious cycle in which some isolated groups become increasingly cut off.

Successive governments have reaffirmed their commitment to HIV/AIDS prevention, and cooperation with NGOs and other civil and private parties remains strong. However, society as a whole must also be willing to change certain attitudes. Whereas the 1990s' campaigns dared to defy taboos and brought sex to public attention, similar actions are needed now. The same campaigns from the past will do little to stop the increasing youth risk or achieve non-discrimination, unless the underlying social and cultural issues are confronted and dealt with.

And therein lies the real challenge.

1 October 2011

ขออนุญาตบ่น เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก

เนื้อความในเอ็นทรีนี้ ได้เคยโพสท์ในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ยังไงขอโพสท์ซ้ำไว้อีกทีนะครับ


วันนี้ (28 กันยายน) เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลกครับ

การดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้านี่น่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาอันดับต้น ๆ อย่างหนึ่งของบุคลากรทางสาธารณสุขทั่วประเทศก็ว่าได้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะอย่างที่ทราบกัน ว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง เป็นแล้วตายสถานเดียว ไม่สามารถรักษาได้

ทั้งนี้ใน พ.ศ. 2553 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้าถึง 15 ราย (ยังดีกว่า พ.ศ. 2552 มี 24 ราย ส่วน พ.ศ. 2551 มี 16 ราย) ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า จะเป็นเพราะไม่ตระหนักถึงอันตรายและไม่ได้ไปรับบริการทางสาธารณสุข แต่ความจริงแล้วทุกวันนี้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศก็ยังมีปัญหาให้การดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้าได้ต่ำกว่ามาตรฐาน

เพราะในปัจจุบัน มาตรฐานทางการแพทย์โดยคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก กำหนดว่าผู้ที่ถูกสัตว์ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วนผิวหนังจนมีเลือดออก หรือเลียปากเลียตา จำเป็นต้องได้รับการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยการฉีดวัคซีนและอิมมูโนโกลบุลิน (เซรุ่ม) ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทันที ทุกกรณี (เพราะการป้องกันด้วยวัคซีนอย่างเดียว อาจไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เร็วพอที่จะป้องกันโรคได้)

แต่ทุกวันนี้โรงพยาบาลชุมชน สถานพยาบาลขนาดเล็กทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ไม่มีอิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่ในคลังยาโรงพยาบาลด้วยซ้ำครับ แปลว่าคนไข้ที่ถูกสุนัขกัดมาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ อาจต้องเอาใบส่งตัวเดินทางไปอีกหลายสิบกิโลเมตร เพื่อรับการฉีดอิมมูโนโกลบุลิน

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า มักประสบภาวะขาดแคลนอยู่เรื้อรัง บางครั้งทั้งจังหวัดไม่มียาจะฉีดให้ สุดท้ายผู้ป่วยก็ได้รับการป้องกันแค่วัคซีน แล้วก็ต้องลุ้นเอาไม่ให้สุนัขเป็นโรคพิษสุนัขบ้า หรือไม่ก็ขอให้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ทันก่อนที่เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง

ซึ่งหากจะมองว่านี่เป็นความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขในการจัดหายาที่มีความจำเป็น ก็คงมีส่วนถูก แต่ก็คงจะเป็นการมองปัญหาที่ปลายเหตุเกินไปอยู่ เพราะคนถูกสุนัขกัดกันทุกวี่ทุกวันขนาดนี้ (ยกตัวอย่างสถิติผู้ป่วยที่มารับบริการห้องฉุกเฉิน รพ.จุฬาลงกรณ์ เดือน ส.ค. 2553 มาด้วยเหตุสุนัขกัดมากเป็นอันดับ 3 ถึง 80 ราย รองจากตกที่สูง/หกล้ม และอุบัติเหตุจักรยานยนต์) การจะทุ่มทุนเลี้ยงม้าเพื่อเจาะเลือดมาปั่นเซรุ่มให้ทันตามจำนวนผู้ป่วยที่ถูกสุนัขกัด สุดท้ายก็คงกลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ความจริงแล้วการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคนที่ได้ผล ต้องมาจากการควบคุมโรคในสัตว์ที่เป็นพาหะ ซึ่งในกรณีสุนัข ก็คือการจัดให้สุนัขทุกตัวได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะการถูกกัดโดยสัตว์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (สุนัขได้รับวัคซีนครบต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี ตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน โดยเลี้ยงอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีอาการผิดปกติ และสามารถสังเกตอาการได้) ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรืออิมมูโนโกลบุลินป้องกันพิษสุนัขบ้า

แต่จากประสบการณ์ของตนเองที่จบออกมาปฏิบัติงานได้ปีกว่า ดูแลผู้ป่วยถูกสุนัขกัดไปก็น่าจะร่วมร้อยราย ต้องบอกว่ายังไม่เคยพบสักรายที่ยืนยันได้ว่าสุนัขที่กัดมีความเสี่ยงต่ำ

ทั้ง ๆ ที่พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 ก็กำหนดให้ผู้เลี้ยงสุนัขมีหน้าที่ต้องพาสุนัขไปฉีดวัคซีน หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาทแท้ ๆ

คงเป็นเพราะแนวทางการป้องกันโรคโดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าของสุนัขนี่มันเอาอย่างมาจากกลุ่มประเทศตะวันตก จึงไม่สามารถนำมาใช้ในบ้านเราได้ผลมั้งครับ

ผมเองก็คงคุ้นเคยกับระบบของต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จากที่เห็นในภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Lady and the Tramp (ทรามวัยกับไอ้ตูบ) และที่อื่น ๆ ว่าสุนัขจะต้องมีเจ้าของ จดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราว และมีเครื่องหมายแสดง เพื่อมีผู้รับผิดชอบทั้งต่อตัวสุนัขเองและต่อสังคมเวลาสุนัขไปทำอะไรเข้า

แต่สำหรับเมืองไทยเรา คงคาดหวังอย่างนั้นไม่ได้ ในเมื่อค่านิยมของสังคมเรานั้นบอกว่าต้องมีน้ำใจ มีเมตตาต่อสัตว์ และเชื่อว่าการให้อาหารสัตว์จรจัดเป็นการทำบุญทำกุศล ขณะที่ไม่ประสงค์จะรับผิดชอบในด้านอื่น ๆ เพราะไม่ต้องการเป็นเจ้าของชีวิต

ผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่า แต่ถ้าใช่ ผมก็คงไม่เข้าใจว่าถ้ามีเมตตาต่อสัตว์แล้ว การมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์จะด้อยความสำคัญกว่าได้อย่างไร

เพราะเห็นคนจำนวนมากเหลือเกิน ที่ให้อาหารสุนัขข้างถนนด้วยความปิติยินดี แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างเฉยชาเวลาที่สุนัขไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น (จะกัดเขาหรือขี้หน้าบ้านเขาก็ตามแต่) ไม่ต้องพูดถึงพาไปฉีดวัคซีน หรือทำหมันเพื่อควบคุมประชากร

ซึ่งเท่าที่สังเกต ก็ไม่น่าเกี่ยวกับระดับเศรษฐฐานะหรือการศึกษาด้วย เพราะในหมู่คนรู้จักในกลุ่มชนชั้นกลางค่อนไปทางระดับบน ต่างก็มีปัญหากับเพื่อนบ้านด้วยเรื่องการให้อาหารสุนัขกันทั้งนั้น บางคนเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดี ๆ ในบ้าน ให้การดูแลอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็ให้อาหารสุนัขข้างถนนหน้าปากซอยโดยไม่สนว่าจะไปกัดใครหรือเปล่า ก็ไม่เข้าใจ

เอาง่าย ๆ จากเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนจำนวนมากแสดงความเดือดร้อนกันมากมายกับการจับสุนัขจรจัดไปขายเป็นอาหาร และก็ได้มีการแสดงน้ำใจโดยการบริจาคเงินช่วยเหลืออย่างมหาศาล แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าในหมู่ผู้ที่บริจาคเงินไปมากมายนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเต็มใจช่วยเหลือให้สุนัขเหล่านั้นได้มีที่อยู่ดี ๆ อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่บริจาคหรือได้ให้อาหารก็พอใจ แล้วสุดท้ายก็ปล่อยให้สุนัขเหล่านั้นกลายเป็นภาระของหน่วยงานที่ต้องรับไปเลี้ยง ของพระที่ต้องคอยกวาดขี้หมาบนลานวัด ของระบบสาธารณสุขที่ต้องแบกรับค่ายาค่ารักษาพยาบาล (ซึ่งก็มาจากภาษีของประชาชน) และของคนอื่น ๆ ในสังคมต่อไป


ป.ล. ในประเด็นค่ายา ลองพิจารณาว่าอิมมูโนโกลบุลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าขนิดที่ได้จากม้าซึ่งผลิตโดยสภากาชาดไทย มีราคาอ้างอิงจัดซื้อปกติ (โดยศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข) อยู่ที่ค่ามัธยฐานหลอดละ 720 บาท ในคนน้ำหนัก 50 กก. จะต้องได้รับยา 2,000 หน่วยสากล หรือ 2 หลอด เฉพาะค่าอิมมูโนโกลบุลินที่ต้องเสียไปกับการถูกสุนัขกัด 1 ครั้ง ก็เกือบ 1,500 บาทแล้ว ยิ่งถ้าเป็นชนิดที่ได้จากมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในกรณีที่แพ้อิมมูโนโกลบุลินจากม้า (หรือในประเทศที่พัฒนาแล้วใช้เป็นมาตรฐาน เพราะเลิกใช้แบบที่ได้จากม้าแล้ว) ราคาอ้างอิงเฉลี่ยอยู่ที่หลอดละ 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งคนน้ำหนัก 50 กก. จะต้องได้รับ 1,000 หน่วยสากลหรือมากกว่า 3 หลอด หรือคิดเป็นเงินร่วมหมื่นบาท ยังไม่นับค่าบริการทางการแพทย์และยาอื่น ๆ

ที่อิมมูโนโกลบุลินชนิดที่ได้จากม้าขาดแคลน ส่วนหนึ่งก็เพราะบริษัทยาต่างประเทศส่วนใหญ่เลิกผลิตแล้ว จึงทำให้มีภาวะขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งสภากาชาดไทยไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ ถ้าลองคิดดูว่าจะใช้อิมมูโนโกลบุลินจากมนุษย์เหมือนมาตรฐานของต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพ้ยา ก็คงต้องใช้ต้นทุนรักษาสุนัขกัดครั้งละเป็นหมื่น เดือนหนึ่งใน รพ.จุฬาฯ แห่งเดียวมีผู้ป่วย 80 ราย ก็คงไม่ต้องคิดนะครับว่าถ้านับผู้ป่วยทั้งประเทศ รัฐจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย ยังไงก็คงต้องใช้อิมมูโนโกลบุลินจากม้าที่ราคาถูกแต่หาซื้อไม่ได้ต่อไป

19 June 2011

Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.

Note: Pure opinion, strictly unresearched.

So by the fourth of July we should see if Pheu Thai [sic] does score a landslide majority in the upcoming general elections. It should also be interesting to see where those disillusioned with Abhisit take their votes (though I doubt they'd make a real impact). What really matters, though, is what happens next: How long until the PAD (so-called People's Alliance for Democracy) stage their next protest? Will they regain any of the supporters they lost, the anti-Thaksin sentiment which originally formed their core agenda having been overtaken by zealous ultranationalism, and their leadership having confirmed the irony of their chosen name by directly opposing the electoral system? What about the Red Shirts? How will their movement hold out in the long term, given their hodgepodge membership of Thaksin-lovers, intellectuals and fanatics? How will the Pheu Thai, if elected, set about bringing Thaksin home, and when?

It probably is really too early to be asking these questions, given that we're still two weeks ahead of election day, but the composition of the Red Shirt movement is something worth discussing nevertheless.

Main question: How did leftists come to be part of the Red Shirts anyway, let alone assuming major roles in their leadership?

Actually, any presence at all of the left in the politics of Thailand is something, although not new, rarely heard of. Anti-absolutist sentiment leading up to the 1932 revolution achieved civilian government, but that didn't last long against competing military powers. While the post-World War II era saw the spread of Marxist ideologies and the toppling of military government in the 1973 uprising, the social polarity that followed, marked by the 1976 massacre, drove the left out of mainstream politics for good, and the movement waned as the Communist Party dissolved. Although talk of social and political reform followed 1992's Black May and the military withdrew from politics, no strong left movement emerged, even with the 1997 constitution.

I earlier observed that the problem with calling the PAD "right-wing" is that it incorrectly implies the opposite for their rivals. Now despite all the left-wing presence and grassroots participation among the Red Shirts, this plainly is not the case. At its core the Red Shirts (UDD if you will) was, and is, a pro-Thaksin movement, and Thaksin is about as right-wing one can get without being downright fascist. The populist social welfare policies that earned his followers' devotion conveniently served to firmly cement his power. The system's checks and balances were ultimately undermined, civil rights and government accountability thrown into the wind. It is therefore rather amazing that several "October persons" (a term referring to members of the 1973 and 1976 movements) have aligned themselves with his supporters.

Amazing though perhaps understandable. Against the military which ousted Thaksin, this alliance could be seen as a united struggle against a common foe, and Thaksin does have the legitimate claim of popular support through elections. Also important, though unspoken (or rather, unspeakable), is the shared republican agenda formally denied but not-so-secretly known to be harboured by Thaksin, which also serves as a rallying flag for the self-proclaimed royalist PAD, and the antagonism helps keep the alliance alive. (Now how Thaksin managed to undermine generations-old royalist propaganda is rather perplexing.) Abhisit's handling of the May 2010 military crackdown further prompted sympathisers to the Red Shirts' cause, and since no one is currently blocking the streets of Bangkok, the anger of undecided middle-class Bangkokians seems to have eased somewhat.

Once Thaksin is back in the spotlight, though, the movement's integrity might start shaking. It is unlikely that the left-wing intellectuals among the Red Shirts would continue supporting Thaksin if he resumes his pursuit of autocratic power, and how long his rural supporters will continue supporting him is also open to question. One thing the combined Red Shirt movement has achieved, however, is the mobilization of the rural population, having made them realise that their voices do matter, that they do have a say in the country's politics. This alone is unprecedented; during the 1973 uprising it was the students who campaigned in the name of the people. Now the people are beginning to do so themselves. For now they may still be driven by a leadership that is not of their own, but once they gain momentum, they will be a force to be reckoned with.

And we shall see on whose side they are.

9 August 2008

เกมเจ้าปัญหา

ESRB M rating symbol
Half-Life: Counter-Strike ได้รับเรต M จาก ESRB เหมาะกับผู้เล่นที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป¹

ถ้าใครไม่ทราบ ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำพูดฮิตติดปากของผมเองตั้งแต่ตอน ม.3 และนับได้ว่าเป็นประโยคแจ้งเกิดของผมที่ รร.เตรียมฯ²

ถ้ายังจำกันได้ ช่วงประมาณปี 2000 นั้นเองที่เรากำลังเพิ่งจะรู้จักสถานบริการเกมคอมพิวเตอร์ที่เริ่มแพร่หลายในขณะนั้น และก็เป็นประกายกำเนิดกระแสความนิยมในกิจกรรมหลังเลิกเรียนนี้ที่ยังฮิตกันอยู่ถึงปัจจุบัน

ความจริงแล้วสมัยนั้นผมก็ไม่เคยได้เรียบเรียงความคิดจริงจังอะไรกับเรื่องนี้หรอกครับ นับว่าเป็นช่วงที่ยังคิดอะไรค่อนข้าง [concrete] ด้วยซ้ำ ทำนอง "เค้ากำหนดไว้ก็ควรจะทำตามสิ"

แต่เอาเข้า จนถึงปัจจุบันผมก็ยังเล่น Counter-Strike ไม่เป็น (เช่นเดียวกับ Ragnarok Online และ DotA) และก็ยังไม่เคยเข้าไปใช้บริการร้านเกมคอมพิวเตอร์สักครั้ง

ตอนที่เห็นเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงรูปแบบการใช้บริการร้านเกมแบบกินอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืนครั้งแรก (ช่วงปี 2001) ก็ทำให้ผมตกใจ/สะเทือนใจไปเหมือนกันครับ

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีปัญหาติดเกม (อื่น) ของผมเองนะครับ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง

ถ้าลองมองย้อนกลับไป ก็คงจะพอเห็นได้ว่าประเด็นที่เอ่ยไว้ข้างต้น เรื่องเด็กเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน เรื่องการควบคุมเรตเกม มันค่อย ๆ มีเรื่องราวข่าวที่สะท้อนออกมา ให้ภาครัฐต้องค่อย ๆ ตามไปควบคุมที่ปลายเหตุ ซึ่งก็อาจจะทำให้ผมตอน ม.3 พอใจขึ้นมาบ้าง

แต่มันจะช่วยทำให้อะไรดีขึ้นได้?

ในประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (ซึ่งผมเพิ่งจะรู้เรื่องภายหลังเมื่อไม่กี่วันมานี้) ผมติดตามดูแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเลยสักนิด (และอดถอนหายใจไม่ได้)

ที่ปฏิกิริยาแรกของสังคมไทยคือการ [ban] เกมเจ้าปัญหา

ผมยอมรับว่าไม่เคยเห็นหรือสัมผัสเกม Grand Theft Auto ภาคใด ๆ เอง แต่จากที่ติดตามข่าวสารต่าง ๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ก็พอจะสรุปอารมณ์ของเกมได้คำเดียวว่า [sick] และคงไม่เสียดายถ้าเกมนี้จะไม่มีอยู่อีก

แต่มาตรการที่ภาครัฐออกมาเพื่อพยายามแก้ปัญหาแต่ละอย่าง ผมไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้นอกจากเป็นการไกล่เกลี่ยอารมณ์ของสังคมที่ตอบสนองต่อข่าวที่เกิดขึ้นให้เรื่องมันเงียบ ๆ ไปในแต่ละครั้ง จะห้ามจำหน่าย แล้วจำนวนผู้ใช้อย่างถูกกฎหมายแต่แรกมีสักเท่าไรเชียว จะควบคุมเรตเกม ใครจะเป็นคนลงไปดูแลในระดับไหนได้ จะ [curfew] ร้านเกม แล้วเด็กจะกลับไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแทนอย่างนั้นหรือ

ถึงกระนั้น ผมก็สงสัยอยู่ว่า สถาบันครอบครัว ที่หลายคนให้เป็นคำตอบ จะเป็นคำตอบที่ล้าสมัยไปแล้วหรือยัง เพราะภาพสังคมที่เห็นทุกวันนี้ น้อยนักที่จะเห็นครอบครัวเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งพอที่จะค้ำจุนสังคมได้ต่อไป

เราจะต้องเริ่มกันตั้งแต่ต้น โดยสร้างสถาบันครอบครัวขึ้นมาใหม่อย่างนั้นเลยหรือ

เรื่องราวเหล่านี้ คงมีผู้ที่วิเคราะห์ได้ดีกว่าผมกล่าวถึงแล้วบ้างในช่วงที่ผ่านมา และคงมีอีกในอนาคตที่จะถึง ผมก็จะยังไม่ขอพยายามหาคำตอบของคำถามที่น่าปวดหัวนี้ต่อ

แต่ผมก็หวังอย่างยิ่งว่าสังคมจะพบคำตอบในเร็ว ๆ นี้ เพราะผมยังจำได้ ถึงภาพที่เห็นเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว

ที่ขณะไปเที่ยวกับกลุ่มลูกพี่ลูกน้อง และได้ผ่านหน้าร้านเกมในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่งในหมู่ญาติก็หันมาถามเชิงหยอกล้อกับผมว่า

"ไหนตอนนั้นพอบอกว่า Counter นี่ต้องอายุเท่าไรถึงจะเล่นได้นะ"

เพราะภาพที่เห็นตรงนั้น คือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง³ ที่ดูยังไงก็อายุไม่น่าจะเกินประถมต้น นั่งเล่นเกมนี้อยู่อย่างจริงจัง

(เรื่องเกมกับวุฒิภาวะนี้ยังมีอะไรให้กล่าวถึงอีกมาก แต่ภาพที่เห็นนั้น ยังไงก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกเอาเสียจริง ๆ)


  1. The ESRB "M" rating icon is a registered trademark of the Entertainment Software Association, and is proprietary to the ESRB. Its use here to illustrate the above quote is not in anyway endorsed by the ESRB, nor does it suggest ESRB's acknowledgement of this blog, or vice versa.
  2. ตอนปฐมนิเทศนักเรียน ม.4 ปีการศึกษา 2544 ผมทำให้พี่เอ็กซ์ (วิทย์คอม 9) อึ้งกับประโยคนี้ในฐานย่อยเรียนเราเด่น ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในฐานสมรรถภาพทางการปรับตัว โดยรูปแบบกิจกรรมคือให้ออกแบบตารางเรียนในฝัน และตัวอย่างที่พี่ทำไว้มีชั่วโมงเล่น Counter อยู่ จึงได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ในวันต่อมาผมก็ถูกเพื่อน ๆ ในกลุ่มคะยั้นคะยอให้นำคำพูดนี้ไปแสดงในละครนำเสนอของกลุ่มในหอประชุม ทุกคนในรุ่นจึงได้รู้จักประโยคนี้ด้วยเหตุนี้เอง
  3. ที่จริงน่าจะเล่นกันอยู่หลายคน แต่ในภาพที่ติดตาอยู่นั้นผมจำได้แค่คนเดียว

Last edited: 2008-08-18 23:57

26 June 2008

ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์...

...คือสามสิ่งที่ส่งเสริมความแตกแยกของคนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

พูดถึงความแตกแยก ผมว่ามันเป็นธรรมชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งของสังคมมนุษย์ครับ

สิ่งมีชีวิตเราวิวัฒนาการมาบนหลัก survival of the fittest อย่างไร ก็ยังเห็นเงาสะท้อนของหลักที่ว่าแทรกซึมอยู่ภายใต้ความเป็นไปต่าง ๆ ของเราในปัจจุบันได้อย่างนั้น

ถึงแม้ว่าในกระบวนการสรรค์สร้างวัฒนธรรม มนุษย์จะได้พัฒนารูปแบบของสังคมเพื่อจำกัดผลกระทบของความแตกแยกไว้บ้าง ความแตกแยกเองก็ยังเป็น [defining element] หนึ่งที่แทรกอยู่ในทุกระดับของสังคม

การเมืองเอง มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อกดความแตกแยกในสังคมเอาไว้ ให้อยู่ในระดับต่ำพอที่จะให้สังคมดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และพัฒนาโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นได้* แต่นั่นก็หมายความว่าความแตกแยกยังเป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกกดเอาไว้อยู่ในหัวใจของการเมืองนั่นเอง

ประชาธิปไตยซึ่งอาศัยการเลือกตั้ง เป็นระบบที่สะท้อนความแตกแยกที่อยู่ในหัวใจของการเมืองได้อย่างชัดเจน... ยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ: ในระดับสูงสุดแล้ว การเมืองกำหนดกติกาไว้ว่าใครที่ชนะการเลือกตั้งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งทุกคนในประเทศต้องยอมรับ แต่ภายใต้นั้นก็คือความแตกแยกระหว่าง Democrats และ Republicans ซึ่งตบตีกันได้ตลอดปีตลอดกาล ถ้าย้อนลึกลงไปถึงการเลือกผู้แทนพรรคฯ ก็เห็นว่าในพรรคเดียวกันเอง ก็ยังตบตีกันเลือดสาดไม่น้อยกว่าในระดับประเทศ และก็เป็นเช่นนี้ย้อนลงไปถึงหน่วยย่อยที่สุดของสังคม

ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าการเลือกตั้งทำให้เกิดความแตกแยก อย่างที่สภาวการณ์ชวนให้เข้าใจ เพียงแต่มันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความแตกแยกที่ซ่อนอยู่ภายในเท่านั้นเอง ก็นับได้ว่าเป็นเรื่อง [ironic] ไม่น้อย เพราะการเมืองนั่นแหละ ที่กดความแตกแยกนั้นเอาไว้ไม่ให้เห็นตั้งแต่แรก

ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ก็เป็นหัวใจหลักของการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันทำหน้าที่เป็นกรอบกำหนดขอบเขตของความสามัคคี ที่การเมืองจะต้องสร้างขึ้นมา เราจึงมักเห็น ได้ยิน และถูกส่งเสริมให้เชื่อในสังคมที่มีความปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในกรอบของชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี้

หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่ง ว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องกำหนดขอบเขตของความแตกแยก ที่จะ [project] ออกไปยังสังคมอื่นนอกเหนือจากของตน

จึงไม่น่าแปลกใจว่าชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์นี่เอง ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบั่นทอนและบ่อนทำลายความรัก ความเข้าใจ และความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นได้บนโลกนี้ (ยังไม่นับว่าถ้ามีชีวิตนอกโลกอีก เรื่องราวอาจจะซับซ้อนยิ่งขึ้น)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้คำจำกัดความคำ สามัคคี ไว้ว่า

สามัคคี น. ความพร้อมเพรียงกัน, ความปรองดองกัน. ว. ที่พร้อมเพรียงกันทำ, ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำ, เช่น กฐินสามัคคี ผ้าป่าสามัคคี. (ป.; ส. สามคฺรี)

สังเกตนะครับ ว่าไม่มีอะไรที่พูดถึงการเกลียดคนอื่นเลยสักนิด

ความสามัคคีที่เราถูกปลูกฝัง ถูกโฆษณาชวนเชื่อกันมา ที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ รังแต่จะเป็นความสามัคคีจอมปลอมที่อ้างขึ้นเพื่อให้ร่วมกันเกลียดคนอื่น ให้ร่วมกันสู้รบกับศัตรู โดยที่มิได้คำนึงถึงความสามัคคีที่แท้จริง ที่จะช่วยให้เราสามารถสรรค์สร้างความเจริญของสังคมมนุษย์ร่วมกันโดยพร้อมเพรียงและปรองดอง ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน เชื้อชาติหรือศาสนาอะไร

มนุษย์เราเดินทางออกห่างจากพื้นฐานเดิมของธรรมชาติมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังพยายามต่อสู้กับศัตรูต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอก โดยไม่เห็นถึงศัตรูที่แท้จริงที่อยู่ภายใน...

เมื่อไรนะ เราถึงจะหันมาพูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ได้เสียที

See also: Imagine


*ทีแรกอยากจะพูดถึง enthalpy ของสังคม แต่ความรู้ thermodynamics อันน้อยนิดมันหายไปไหนหมดแล้วไม่ทราบได้

23 December 2007

Democracy: What does it mean to you?

เอาล่ะครับ... ก็เป็นฤกษ์อันเหมาะสมที่จะบ่นเรื่องการเมืองการปกครองอีกสักครั้ง... (ที่จริงแอบแก้วันที่ post ให้ย้อนหลังไปเล็กน้อย)

ความจริงจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะผมก็ยังเอือมระอาและไม่อยากสนใจการเมือง อย่างที่เคยบอกใน My (long-belated) take on politics อยู่นั่นแหละครับ

เรื่องที่ดูน่าคุยกว่าหน่อยน่าจะเป็นรัฐศาสตร์มากกว่า...

อืมม... แต่ถึงผมจะบ่นว่าเบื่อ เกลียด ไม่อยากยุ่งกับการเมืองยังไง วันนี้ผมก็ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนะครับ (แล้วก็ไม่ได้กาช่องงดออกเสียง) (ถึงแม้จะลืมไปเลือกสมาชิกสภาเทศบาลก็ตาม)

แต่ว่าที่ไปเลือกนั้น จะว่าทำด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยอันแรงกล้าใด ๆ นั้น หามิได้แล้วล่ะครับ

ตอนนี้ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับผม เป็นเพียงหน้าที่ที่ยอมทำในฐานะที่อยู่ในสังคมที่เชื่อและยึดมันเป็นหลักในการปกครองเท่านั้นเอง

ประเด็นนี้ ส่วนใหญ่ก็พูดถึงแล้วใน post ที่อ้างถึงข้างต้น... จะพยายามไม่พูดซ้ำแล้วกัน...


เรามาดูคำถามประจำวันนี้ที่ผมอยากจะตั้งกันดีกว่าครับ

สำหรับคุณ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

ผมเข้าใจว่าสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย และสำหรับหลาย ๆ ฝ่ายในประเทศตอนนี้ ประชาธิปไตยหมายถึงการเลือกตั้ง เพื่อแสดงเสียงข้างมากของประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาล

แต่จากมุมมองที่เป็นสากลกว่านี้หน่อย ประชาธิปไตย คงหมายถึงการรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ

สำหรับชาวตะวันตกจำนวนมาก เสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น เป็นแกนหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย ที่จะขาดไม่ได้

ในขณะที่ ณ ที่อื่นในโลก มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะบ่อนทำลายประชาธิปไตยในแบบที่ถือกันอยู่

สำหรับบางคนในอิรัก ประชาธิปไตยอาจเป็นคำคำหนึ่งที่มีใครก็ไม่รู้พยายามยัดเยียดให้ พร้อม ๆ กับทำให้ชีวิตของเขาพังทลายไป

แต่ก็น่าเชื่อว่า สำหรับอีกหลายคน การได้มาซึ่งประชาธิปไตย หมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริง ๆ


สำหรับผมตอนนี้ คำว่าประชาธิปไตย เหมือนเป็นแฟชั่นที่ใคร ๆ ต่างก็พยายามจะอ้างถึง โดยที่ลึก ๆ แล้ว จะมีสักกี่คนที่เข้าใจหลักการและความหมายที่แท้จริง ก็ไม่ทราบ

ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ ว่าตกลงประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นควรจะหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้อยากจะพูดถึงคำตอบแรกที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งของ กกต.ผ่านทางโทรทัศน์ พอได้ยินท่อนสุดท้ายในเพลงประกอบที่ว่า "เข้าคูหากากบาทสร้างประชาธิปไตย" ผมก็อดสงสัยไม่ได้ครับ ว่ากากบาทมันมีความวิเศษอะไรที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาได้

แต่นอกจากประเด็นที่ว่าข้อความดังกล่าวอาจจะส่งเสริมให้คนมองประชาธิปไตยผิวเผินแค่การเลือกตั้งนั้น ก็คงเถียงไม่ได้หรอกครับ เพราะการเลือกตั้งมันก็เป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยที่เราถือกันอยู่จริง ๆ

และก็คงเป็นอย่างที่พี่ก้อนอ้างถึงคำกล่าวว่า การโหวต ก็เหมือนเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นนั่นแหละครับ

ผมแค่ไม่อยากให้มันจำเป็นอย่างที่ว่า

เพราะหลักการยึดเสียงข้างมาก นอกจากจะดูขัดกับหลักความเท่าเทียมของบุคคล อย่างที่ผมกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองความสัมพันธ์แบบ lose-win อย่างชัดเจน

Lose-win ก็คือ ไม่เธอก็ฉันคนใดคนหนึ่งจะต้องแพ้ อีกคนถึงจะชนะได้

ไม่เป็นการคิดแบบ win-win ที่จะเป็นการหาทางออกที่ดีที่สุดที่จะเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

การหาคำตอบด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างเดียว จึงสื่อให้เห็นถึงความไม่สามารถที่จะสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้

และถึงแม้ว่าความไม่สามารถสื่อสารกันนั้น จะเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่โตในสังคมที่เราอาศัยอยู่ และคงจะทำให้ voting เป็น necessary evil จริง ๆ นั้น

อย่างน้อย... อย่างน้อยในชีวิตประจำวัน... ถ้าเราต่างพยายามเริ่มด้วยการ พูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ก็น่าจะทำให้เกิดอะไรดี ๆ ขึ้นได้?


แล้วสำหรับคุณล่ะครับ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

2 September 2007

On the YouTube issue

คราวก่อนบอกว่าอีกนานแค่ไหนไม่ทราบ ต้องคอยลุ้นต่อไป ปรากฏว่าไม่ค่อยเห็นจะมีใครหลงเข้ามาอ่านหรือช่วยลุ้น แต่เอาเถอะครับ ถือว่าสถานการณ์ได้โอกาสประจวบเหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้แล้วกัน

อย่างที่หลาย ๆ ท่านอาจจะทราบ ว่าทาง MICT (เผลอจะคิดบ่อย ๆ ว่าย่อมาจาก Mandate for the Internet Censorship Taskforce) เลิกบล็อค YouTube แล้วตั้งแต่เมื่อวานซืน หลังจากที่ Google ตกลงเซ็นเซอร์คลิปวิดีโอบางเรื่อง ไม่ให้ผู้เข้าชมจากประเทศไทยสามารถรับชมได้

มองในแง่หนึ่ง ก็น่าจะเป็น [compromise] ที่แก้ปัญหาเบื้องหน้าได้ดีในระดับหนึ่งครับ เพราะอย่างที่ผมเคยแสดงความเห็นกับเพื่อน ๆ บางคน ว่าประเด็นปัญหานี้มันเกิดขึ้นมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม

กล่าวคือ เมื่อเนื้อหาบางอย่างเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ได้ในทั้งสองวัฒนธรรมที่กล่าวถึง ก็ไม่เกิดปัญหา จึงไม่มีใครมีปัญหากับคลิปแมวร้องเพลง และก็ไม่มีใครมีปัญหากับคลิปโป๊ที่ไม่มีอยู่บน YouTube

แต่เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์ไปเหยียบเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมเข้า จึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ที่ทำให้ [integrity] ของอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องถูกลิดรอนเพื่อรักษา [cultural identity] ของแต่ละฝั่งบนเส้นนั้นไว้

ซึ่งเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ว่าในกรณีดังกล่าว ก็คือ free speech vs respect for the King อย่างที่หลาย ๆ คนคงทราบ

มองตรงนี้ วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร...

ตราบที่ยอมรับได้ว่า หลักพื้นฐานของประชาธิปไตยบางข้อนั้นเข้าไม่ได้กับวัฒนธรรมไทย และรัฐจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อรักษาวัฒนธรรมนั้นไว้เหนือหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยดังกล่าว

แต่เงื่อนไขนี้ เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผมไม่ยินดีที่จะยอมรับเท่าไรครับ

สมัยที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เมื่อผมได้เปิดอ่านดูก็แปลกใจอยู่ครับ เพราะไม่เคยทราบว่าการที่ "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" นั้นเป็นเรื่องที่ต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อาจเพราะตอนนั้น ผมยังไม่ได้เข้าใจถึงลักษณะของระบอบการปกครองที่ต้องมีการ [adapt and modify] ให้เข้าได้กับวัฒนธรรมของประเทศต่าง ๆ ที่รับเอาระบอบการปกครองนั้นไปใช้ และการที่ว่าพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายนั้นก็มีเงื่อนไขรายละเอียดที่จำเพาะอยู่มาก

แต่ผมก็ยังอยากจะถามครับ ว่าจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องรักษาวัฒนธรรมเดิม ๆ นั้นไว้เหนือสิ่งอื่นใด ที่จะต้องกำหนดเอาไว้ในบทบัญญัติสูงสุดของประเทศ

ในเมื่อคนไทยทุกคนรักในหลวงอยู่แล้ว ทำไมถึงจะต้องกำหนดบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักพื้นฐานที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งของประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยล่ะครับ

ทุกวันนี้บทบัญญัติที่มีไว้เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าสิ่งอื่นใดครับ (อันที่จริงแล้วอาจจะรองจาก "ความมั่นคงของประเทศ" อยู่พอสมควร)

และหากคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง บทบัญญัตินั้นจะไปบังคับเขาได้ที่ไหนเล่าครับ

ทำไมล่ะครับ ถึงจะต้องปิดกั้นไม่ให้ผู้คนได้เห็นความเห็นของคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ที่ไม่ได้รักในหลวง ในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าคนไทยเราเทิดทูนพระมหากษัตริย์ขนาดไหน

หรือว่าคิดว่าคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง?

หรือว่าคิดว่าคนไทยจะโง่พอที่จะทำให้วิดีโอคลิปคลิปหนึ่งทำให้จิตวิญญาณของความเป็นไทยนั้นบอบช้ำไปได้?


................


ผมไม่เคยพูดครับว่าวัฒนธรรมไทยที่มีอยู่นั้นคร่ำครึล้าสมัย ควรที่จะเลิก ๆ ไปได้แล้ว

แต่กระแสโลกาภิวัตน์นั้น กำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม และคงยากครับ ที่จะหลีกเลี่ยง หรือตั้งกำแพงกีดขวางไว้ได้

ตอนนี้เราก็คงได้แต่เฝ้ามองครับ ว่าอะไรจะพังไปก่อนกัน

บนทั้งสองฝั่งของเส้นบาง ๆ ของสงครามความแตกต่างทางวัฒนธรรม

19 August 2007

My (long-belated) take on politics

เคยพูดไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับมุมมองทางการเมืองของผมมาหลายครั้ง หลายปี แต่ก็ไม่ได้ทำสักที จนมุมมองที่ว่านั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว...

เอาเถอะ มาเริ่มด้วยเรื่องราวของวันนี้ก่อนแล้วกันครับ...

ด้วยความที่ดักดานอยู่บนวอร์ดมาหลายเพลา ก็แทบจะไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองหรือแม้กระทั่งรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติแต่อย่างใด (ถึงจะอยู่แค่ศัลย์-สูติก็เถอะ) ผมจึงรู้สึกว่ายังมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจไม่เพียงพอ

สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปลงคะแนนมันซะเลย

เพราะรู้สึกว่าการให้ประชาชนไปลงมติรับ/ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับคุมถังชนนี่มันดูน่าขันอยู่ เหมือนจะต้องการให้การลงประชามติเป็นการสร้างคำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาได้ แล้วคนจัดก็ไม่ใช่ใครนอกจากกลุ่มบุคคลที่เอารถถังแล่นเข้าเมืองหลวงแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปเมื่อไม่นานมานี้

ถึงการไปลงคะแนน ไม่รับ จะเป็นการแสดงออกถึงทัศนคตินี้ได้ในบางส่วน แต่ผมก็รู้สึกว่ายังนับเป็นการมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างภาพประชาธิปไตยนี้อยู่ดี กอปรกับการที่ยังมองการณ์ในภาพรวมได้ไม่ดีนัก และความค่อนข้างเบื่อและเอือมระอาเต็มที จึงนำไปสู่การตัดสินใจดังกล่าว


ดูจะขัดกับแนวคิดความมีส่วนร่วมของประชาชนที่ผมเองก็เคยพูดถึงหรือเปล่าครับ

อย่างที่เคยเล่าให้บางคนฟังในช่วงที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วครับ ว่าประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่

เพราะหลักการบางอย่างที่ผมเคยมั่นใจอยู่เดิม เช่น Democracy ≠ Majoritarianism (ประชาธิปไตยไม่ใช่การให้อำนาจเหนือกว่าแก่คนส่วนใหญ่) เมื่อคิดดูแล้ว มันทำให้เกิดความขัดแย้งบางอย่าง

หลักการที่สำคัญของประชาธิปไตยอย่างหนึ่งคือ majority rule ควบคู่กับ minority rights หรือการปกครองโดยเสียงข้างมาก โดยในขณะเดียวกันต้องมีการรับรองสิทธิของประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ซึ่งหลักการให้อำนาจตัดสินใจแก่เสียงส่วนมากนั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนมากกว่า 1 คนไม่สามารถมีความเห็นพ้องต้องกันได้ตลอดเวลา

แต่ขณะเดียวกัน เสาหลักของประชาธิปไตยข้อนี้เอง ก็ขัดกับอุดมการณ์สูงสุดที่ให้ความเท่าเทียมแก่บุคคล

เพราะถึงแม้จะมีการรับรองสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน ก็เท่ากับว่ายอมรับว่ารัฐบาล (คือเสียงข้างมาก) สามารถให้ผลประโยชน์ หรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ในส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่รับรองไว้โดยหลักการของประชาธิปไตยนี้ได้ โดยไม่เท่าเทียมกัน

ที่สุดแล้วผมจึงต้องสรุปว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่อุดมการณ์ที่สามารถมีได้อย่างสมเหตุสมผลในโลกอุดมคติ

(ลองเทียบกับหลักเผด็จการ ซึ่งถึงแม้จะยอมรับได้ยากในเชิง [normative] แต่ก็ [perfectly logical] เพราะไม่มีอะไรขัดแย้งกับผู้นำคนเดียวนั้นได้)

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะผมเองก็พูดอยู่เสมอว่าโลกไม่ใช่ตาชั่ง และไม่มีความยุติธรรมบนโลกนี้ ประชาธิปไตยก็เป็นเพียงแต่ระบอบการปกครองที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกปัจจุบัน ไม่เคยมีใครบอกว่าจะหาที่ติไม่ได้

แต่พอมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ดูซับซ้อนขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่ทราบว่าจะเชื่ออะไร จะยึดอะไรเป็นหลักในการตัดสินใจอีกต่อไป...


อันที่จริง เรื่องที่ว่าเคยบอกว่าจะพูดถึงมาเป็นปีแล้ว คือข้อติที่ว่า "เยาวชนสมัยนี้ไม่มีความกระตือรือร้น ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง" ซึ่งได้ยินมาเป็นสิบปีแล้ว และปัจจุบันนี้ก็ยังได้ยินอยู่

ผมไม่ทราบเกี่ยวกับสภาพสังคมหรอกครับ ผมไม่ทราบว่าข้อความข้างต้นนั้นจริงแค่ไหน แต่สำหรับตัวผมเอง ผมมีความเชื่อสูงสุดเกี่ยวกับการเมืองว่า

การเมืองเป็นเรื่องสกปรก

และไม่มีทางที่ใครที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจะผ่านพ้นออกมาได้โดยไม่แปดเปื้อน แค่นี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผมไม่อยากจะสนใจหรือมีส่วนร่วมในสถานการณ์ความเป็นไปทางการเมือง (นอกจากแสดงความเห็นส่วนตัวเงียบ ๆ ไปวัน ๆ) ได้เหลือเฟือแล้วครับ

ใช่ครับ... ขัดกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างที่ Pericles กล่าวถึงการปกครองของนครรัฐเอเธนส์ไว้ว่า

We alone regard a man who takes no interest in public affairs not as harmless, but as a useless character.

แต่ ณ ปัจจุบัน ผมเองค่อนข้างจะพอใจที่จะเป็นคนไร้ประโยชน์ และไม่เป็นอันตราย ไม่ใช่ต่อสังคม แต่ต่อตัวเองครับ อาจจะเพราะสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าต้องดิ้นรนต่อสู้ และมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้ แต่หน้าที่ที่จะทำให้ตนเองมีประโยชน์ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น สำหรับผมตอนนี้ มันยังไม่คุ้มกับความเสี่ยง และความสกปรก ที่จะติดตัวมา

และผมยังเชื่อครับว่า การเมืองเป็นคำสาปของมนุษยชาติ

เพราะถึงแม้ผมจะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรกเพียงใด เป็นสิ่งบั่นทอนความเจริญเพียงใด มันก็เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในสันดานของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มมีวัฒนธรรม และไม่มีทางที่จะหลีกหนีไปได้ ตามที่ Aristotle เคยกล่าวว่า

Man is by nature a political animal.

วันหลัง (อีกนานแค่ไหนไม่ทราบ) อาจจะเขียนเรื่อง The YouTube issue ต่อ ต้องคอยลุ้นต่อไป...

29 March 2007

กระจกประตู

ผมเคยสงสัยอยู่ไม่น้อยครั้ง ว่าทำไมหลายคนถึงนิยมเอามือผลักประตูกระจกตรงที่เป็นกระจก แทนที่จะจับตรงราวจับของประตู

เพราะผลตามมาที่เห็นเด่นชัดอย่างหนึ่งก็คือ รอยมือที่ประทับอยู่บนกระจกนั่นเอง (เพื่อน ๆ กลุ่มสุขศึกษาตอน ม.6 อาจจะจำกันได้)

แต่อันที่จริงแล้วอย่าว่ากระนั้นเลย ผมเองถึงจะไม่ชอบรอยมือบนกระจกก็ไม่ค่อยจะได้ผลักตรงราวจับหรอกครับ จะดันตรงขอบประตูที่เป็นอะลูมิเนียมเสียมากกว่า

ที่มาพูดถึงก็เพราะวันนี้ผมเห็นแม่บ้านเช็ดกระจกประตูที่ห้องสมุด แล้วนึกอะไรขึ้นมาบางอย่าง

คือสังเกตว่าเวลาเช็ดประตู เราก็เช็ดแต่กระจก ส่วนอื่นจะได้เช็ดก็นาน ๆ ครั้ง

เหตุผลก็คงเพราะว่ากระจกมันเป็นรอยแล้วเห็นว่าไม่สวยงามนั่นแหละครับ

ซึ่งมันก็เป็นผลตามมาจากการเอามือผลักตรงกระจกอย่างที่ว่า

แล้วตกลงทำไมเราถึงไม่นิยมจับตรงราวจับกัน?

เพราะว่าเราไม่ชอบใช้อะไรตามที่ออกแบบมาหรือเปล่า? หรือว่าจะเป็นเพราะเราไม่อยากสัมผัสขี้มือคนอื่นที่จับราวจับนั้นมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน โดยที่ราวจับนั้นก็ (แทบจะ) ไม่เคยเช็ดเลย?

อืม พยายามหลีกเลี่ยงดีกว่า ผลักตรงกระจกเนี่ยแหละ สะอาดกว่า ยังไงก็มีคนเช็ดอยู่ทุกวัน...

เห็นอะไรไหมครับ

เหมือนอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่เราคอยแต่จะแก้ไขผลจากสิ่งที่ทำไว้ไม่ถูก แล้วการทำอย่างนั้นก็กลับกลายเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมผิด ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ

ขณะที่คนที่จับตรงราวจับ ก็ได้สัมผัสแต่ขี้มือเก่า ๆ ของคนอื่นต่อไป

เพราะทำอะไรตามกติกาแล้วมันไม่ทิ้งความไม่น่าดูเอาไว้ให้เห็น ให้เช็ด ให้สังคมช่วยรับผิดชอบ


อืมม... ความจริงผมอาจจะคิดลึกไปก็ได้ แต่ถึงคนที่ผลักตรงกระจกจะทำด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าพื้นที่มันเยอะกว่า มันก็ยังสะท้อนให้เห็นอยู่ดี ว่าเราไม่เช็ดประตูส่วนที่มีไว้จับ จะได้เช็ดกันก็แต่ส่วนที่ถ้าทำตามกติกาแล้วไม่ควรจะต้องเช็ด (บ่อย ๆ) เลยตั้งแต่แรกแล้ว