Showing posts with label School. Show all posts
Showing posts with label School. Show all posts

2 December 2020

ปัญหาของการบังคับเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ

ผมเคยกล่าวถึงประเด็นการบังคับเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือมาบ้างแล้ว และเคยได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเสนอให้กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไททาง Facebook Messenger แต่เหมือนว่าเขาจะไม่สะดวกเลยมิได้ตอบกลับ แต่ไหน ๆ แล้ว ขอเอามาแปะไว้ตรงนี้อีกที่หนึ่งแล้วกัน เผื่อใครสนใจ


สวัสดีครับ

ผมเห็นว่าที่ผ่านมา ELSiam ได้เสนอปัญหาเกี่ยวกับกิจกรรมลูกเสือฯ มาเป็นระยะ ๆ จึงอยากเสนอประเด็นที่อาจสนใจใช้เป็นแนวทางในการรณรงค์อีกอย่างหนึ่ง คือความสมัครใจในการเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ

ผมไม่แน่ใจว่า ELSiam เคยรณรงค์เรื่องนี้มาแล้วแค่ไหนบ้างนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าน่าแปลกใจเกี่ยวกับการลูกเสือในประเทศไทย คือการเป็นกิจกรรมภาคบังคับ ที่นักเรียนทุกคน “ต้อง” เข้าร่วมโดยปริยาย ซึ่งแตกต่างเป็นอันมากจากในประเทศต้นกำเนิด ที่เน้นความสมัครใจเข้าร่วมเป็นแก่นสำคัญอย่างหนึ่งของกิจการลูกเสือ (ผมจะขอกล่าวถึงเฉพาะลูกเสือนะครับ เพราะไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ ฯลฯ)

ทั้งนี้ธรรมนูญองค์การลูกเสือโลกเองให้นิยามกิจการลูกเสือไว้ว่า

The Scout Movement is a voluntary non-political educational movement for young people open to all without distinction of gender, origin, race or creed, in accordance with the purpose, principles and method conceived by the Founder and stated below.

ต้องยอมรับว่าในประเทศไทย กิจการลูกเสือมีสถานะพิเศษ มีกฎหมายรับรองการสนับสนุนจากรัฐโดยตรง สืบเนื่องจากที่มีรัชกาลที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้ง แต่กระนั้นก็ตาม ข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติก็ระบุชัดเจนว่า

ให้เด็กชายเป็นสมาชิกของกองลูกเสือตามความสมัครใจ

แนวปฏิบัติที่ขัดแย้งกับกับหลักการความสมัครใจนี้ ผมพบปรากฏในเอกสารทางการคือ แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.

ทั้งนี้หลักสูตรแกนกลางฯ กำหนดให้โรงเรียนจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งแบ่งเป็นกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ และระบุกิจกรรมนักเรียนไว้สองประเภท คือ (1) กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชาทหาร และ (2) กิจกรรมชุมนุม ชมรม

จะเห็นว่าหลักสูตรแกนกลางฯ มิได้กล่าวถึงการบังคับเข้าร่วมแต่อย่างใด แต่คู่มือแนวทางการจัดกิจกรรม ของสพฐ. กลับเขียนไว้ว่า

นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในข้อ 1 และ 2

ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งกิจการลูกเสือโดยตรง

การบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมลักษณะนี้ นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนแล้ว ผมมองว่ายังเป็นผลเสียต่อกิจการลูกเสือในประเทศไทยอีกด้วย เพราะเมื่อผู้เข้าร่วมไม่เต็มใจ ตัวกิจกรรมก็ย่อมมีแนวโน้มจะถูกมองในแง่ลบ

และที่สำคัญ ยังจะทำให้คณะลูกเสือแห่งชาติขาดคุณสมบัติสมาชิกภาพตามบทบัญญัติของธรรมนูญองค์การลูกเสือโลกอีกด้วย เพราะธรรมนูญระบุคุณสมบัติไว้ข้อหนึ่งว่า

Establishment of the National Scout Organization as an independent, non-political, voluntary movement of probity and effectiveness.

ผมเคยได้รับทราบข้อมูลว่า มีองค์กรลูกเสือบางประเทศเคยถูกระงับสมาชิกภาพ เนื่องจากบังคับให้เยาวชนเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ยังไม่มีโอกาสสืบค้นรายละเอียดว่าหมายถึงประเทศไหน เมื่อไร แต่หากข้อมูลที่ผมได้รับมานั้นถูกต้อง ก็น่าจะพออนุมานได้ว่าองค์การลูกเสือโลกเขามองเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ร้ายแรงทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้คงไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ และย่อมต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ผมนำข้อมูลนี้มาเสนอ เผื่อว่า ELSiam จะสนใจนำไปเรียบเรียงและใช้ประชาสัมพันธ์เพื่อเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายการศึกษาได้ตระหนักถึงความขัดแย้งนี้ และดำเนินการแก้ไขต่อไป

และหากผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศไทยจะมองว่าไม่สำคัญ การส่งเรื่องให้องค์การลูกเสือโลกช่วยตรวจสอบ อาจจะช่วยเป็นแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาในทางที่ดีขึ้นได้อีกทางหนึ่ง

ขอฝากให้พิจารณาด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ


13 November 2015

Today's vs 2001 world leaders: Who can you name?

บางครั้งนั่งนึก ๆ ดูก็รู้สึกว่าตอนเด็ก ๆ เหมือนเราจะรู้เรื่องข่าวสารเหตุการณ์ต่าง ๆ มากกว่าในปัจจุบันเสียอีก ผู้นำประเทศต่าง ๆ ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะตอนนั้นต้องจำไปสอบหรืออะไร แต่เผลอ ๆ ทุกวันนี้จะยังจำชื่อหัวหน้ารัฐบาลตอนปี 2001 ได้มากกว่าในปัจจุบันด้วยซ้ำ

อย่ามัวกระนั้น มาไล่ดูกันให้เห็นกันไปเลยดีกว่า (เรียงตามระยะห่างระหว่างกรุงเทพฯ กับเมืองหลวงของประเทศนั้น ๆ)

ประเทศผู้นำ 2001ผู้นำ 2015
ลาวเป็นความทุเรศมากที่ไม่เคยรู้เลยว่าผู้นำประเทศลาวชื่ออะไร หรือแม้กระทั่งระบบการปกครองเป็นแบบไหน (เฉลย: ทองสิง ทำมะวง เป็นนายกฯ จูมมะลี ไซยะสอน เป็นประธานประเทศในปัจจุบัน)
กัมพูชาฮุน เซนฮุน เซน
พม่ารัฐบาลทหาร ไม่รู้ใครเป็นหัวหน้าNLD เพิ่งชนะเลือกตั้งนี่ (แต่ลืมชื่อ เต็ง เส่ง ไปแล้ว)
เวียดนามนี่ก็ไม่เคยรู้อีกเหมือนกัน (นายกฯ Nguyễn Tấn Dũng, ประธานาธิบดี Trương Tấn Sang)
มาเลเซียมหาเธร์ โมฮัมหมัดจำไม่ได้เลยใครเป็นต่อจากมหาเธร์บ้าง (Najib Razak)
สิงคโปร์เกือบลืมชื่อ โก๊ะ จ๊กตง ไปแล้วLee Hsien Loong (จำได้ก็จากข่าวตอนที่ลี กวนยู ตายนี่แหละ)
บังคลาเทศไม่คุ้นชื่อเลยสักคน ไหงงั้น เคยทำรายงานไม่ใช่เหรอ (นายกฯ ปัจจุบัน Sheikh Hasina ที่จริงเคยเห็นชื่อในข่าวช่วงนี้อยู่แต่จำไม่ได้)
ฮ่องกงนึกชื่อไม่ออกสักคน (แต่เคยจำ Tung Chee-hwa กับ Donald Tsang ได้)ส่วนคนปัจจุบัน (Leung Chun-ying) ไม่รู้จักเลยแฮะ
บรูไนสุลต่าน พระนามว่าไงไม่เคยรู้เลยแฮะ (สมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์)
เนปาลไม่เคยรู้ว่าใครเป็นนายกฯ เลยแฮะ รู้แต่โศกนาฏกรรมปี 2001 กับปัจจุบันล้มระบบกษัตริย์ไปแล้ว (Khadga Prasad Sharma Oli)
ฟิลิปปินส์Gloria Macapagal-Arroyoจำได้แต่ชื่อ Noynoy Aquino (Benigno Aquino III)
อินโดนีเซียMegawati Sukarnoputriอ้าว Susilo Bambang Yudhoyono พ้นตำแหน่งไปแล้วเหรอ ยังจำชื่อไม่ทันได้เลย (Joko Widodo)
ศรีลังกาจำไม่ได้ แต่เห็นชื่อแล้วคุ้นอยู่ (Chandrika Kumaratunga)ไม่รู้จักเลย (ปธน. Maithripala Sirisena)
ไต้หวันChen Shui-bianMa อะไรสักอย่างเพิ่งออกข่าวอ่ะ (Ma Ying-jeou)
อินเดียจำไม่ได้แต่คุ้น (Atal Bihari Vajpayee)รู้ว่า Manmohan Singh พ้นตำแหน่งแล้วแต่จำชื่อนายกฯ คนใหม่ไม่ได้ (Narendra Modi)
มัลดีฟส์ไม่เคยรู้เลย (Abdulla Yameen)
จีนHu Jintao (ก่อนหน้านั้นก็เจียง เจ๋อหมิน)Xi Jinping
ปากีสถานPervez MusharrafNawaz Sharif
ติมอร์ตะวันออกรู้จักแต่หัวหน้าขบวนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพอ่ะ ชื่ออะไรนะจำไม่ได้ละ (Xanana Gusmão เป็น ปธน.ก่อน แล้วเป็นนายกฯ ต่อ ส่วนคนปัจจุบันคือ Rui Maria de Araújo)
เกาหลีใต้Kim Dae-jungPark Geun-hye (จำผิดกับ Park Chung-hee อยู่เรื่อย)
เกาหลีเหนือKim Jong-ilKim Jong-un
มองโกเลียไม่มีไอเดียเลยสักนิด (นายกฯ Chimediin Saikhanbileg)
อัฟกานิสถานHamid Karzaiเปลี่ยนคนหรือยังนะ (Mohammad Ashraf Ghani)
ญี่ปุ่นJunichirō KoizumiShinzō Abe (ที่จริงระหว่างอาเบะสองสมัยมีใครบ้างก็ไม่รู้)
อิหร่านไม่เคยรู้เลยจำได้แต่ Mahmoud Ahmadinejad ใครมาแทนไม่รู้ (Hassan Rouhani)
ซาอุดีอาระเบียกษัตริย์อะไรนะจำไม่ได้ (Fahd bin Abdulaziz Al Saud)กษัตริย์อับดุลลอห์ เอ๊ะสวรรคตไปแล้วสิ คนปัจจุบันจำไม่ได้ละ (Salmanฯ)
อิรักSaddam Husseinตอนนี้มีระบบอะไรบ้างแล้วก็ไม่รู้ (นายกฯ ปัจจุบัน Haider al-Abadi)
ซีเรียตอนนั้นไม่รู้จักหรอกว่าใคร (คนปัจจุบันนี่แหละ)Bashar al-Assad
อิสราเอลAriel Sharon (ก่อนหน้านั้นจำได้ว่ามี Yitzhak Rabin ก่อนจะโดนลอบสังหาร แล้วก็เนทันยาฮูกับใครอีกสองคน)Benjamin Netanyahu อีกแล้ว อยู่ยาวเลยคราวนี้
ปาเลสไตน์Yasser ArafatMahmoud Abbas
รัสเซียVladimir Putin (ก่อนหน้านั้นก็ Boris Yeltsin)Vladimir Putin
อียิปต์Hosni Mubarak แต่ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกมั้งหลังปฏิวัติกับรัฐประหาร เป็นใครแล้วไม่รู้ (Abdel Fattah el-Sisi)
ออสเตรเลียJohn Howardเขาเพิ่งเปลี่ยนคนไป ชื่ออะไรนะ (Malcolm Turnbull)
เยอรมนีเคยรู้ว่า Gerhard Schröder แต่จำไม่ได้ละ (จำได้แต่ Helmut Kohl)Angela Merkel
อิตาลีSilvio Berlusconi (เป็นหลายสมัยจังวุ้ย)ตอนนี้ใครไม่รู้ (Matteo Renzi)
ฝรั่งเศสJacques Chirac (นานจัง)François Hollande (คั่นโดย Nicolas Sarkozy)
สหราชอาณาจักรTony BlairDavid Cameron
นิวซีแลนด์ลืมไปแล้ว (Helen Clark)ไม่รู้ (John Key)
แคนาดาไม่คุ้นชื่อสักคนเลยแฮะข่าวเพิ่งลงว่าชนะเลือกตั้งอะ ใครนะ (Justin Trudeau)
สหรัฐฯGeorge W. BushBarrack Obama
คิวบาFidel CastroRaúl Castro
เวเนซุเอลาHugo ChávezChávez ตายไปแล้ว ไม่รู้ใครเป็นแทน (Nicolás Maduro)

สรุปคะแนน: จาก 42 ประเทศ จำชื่อผู้นำในปัจจุบันได้ 17 ประเทศ แต่จำชื่อผู้นำเมื่อปี 2001 ได้ 22 ประเทศ และเคยรู้ 28 ประเทศ

บางทีความรู้ที่จำมาแต่เด็กมันก็ยากที่จะอัปเดต...

17 May 2014

Standing in line (2): Order v discipline

บทความที่แล้วเปิดซีรีส์ไปด้วยการบ่นระบบทหาร ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนด้วยเท่าไร ตราบที่ทหารยังอยู่ส่วนทหาร (และไม่คำนึงว่ามีกฎหมายบังคับให้รับราชการทหารอยู่) ความงี่เง่าของระบบเหล่านั้นก็ไม่น่ากระทบอะไรกับประชาชนพลเรือนทั่วไป

แต่เรื่องของเรื่องคือ ระบบเหล่านั้นมันไม่ได้จำกัดขอบเขตตัวเอง วันนี้จะขอพาเข้าประเด็นหลักโดยยกพาดหัวรองจากบทความ The New York Times เมื่อ พ.ค.ที่แล้ว ที่เคยอ้างถึงในเอ็นทรี หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

In Thailand’s Schools, Vestiges of Military Rule

ประเด็นที่อยากจะอภิปรายวันนี้ คือองค์ประกอบของระบบทหารที่เราต่างพบเห็นกันเป็นประจำในพื้นที่สถาบันการศึกษาไทย หรือ “school regimentation” ที่กล่าวถึงในชื่อบทความดังกล่าวนั่นเอง

ผมคงไม่ขอร่วมวิเคราะห์ว่าธรรมเนียมการเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่งเครื่องแบบ ตัดผมสั้น เชื่อฟังคำสั่งครู ฯลฯ ในโรงเรียนนั้นมีที่มาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบทหารในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรหรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าธรรมเนียมเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ยังคงแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน

และด้วยความฝังลึกนี้ ทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมเนียมการปฏิบัติดังกล่าว เราก็มักได้เห็นการอภิปรายถกเถียงเป็นวงกว้าง ทั้งในสื่อมวลชนและชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ และก็ไม่พ้นที่จะต้องได้เห็นข้อสนับสนุนที่ว่าธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ล้วนสำคัญ เพราะเป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยให้เยาวชนได้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต

ที่บทถกเถียงเหล่านี้ไม่เคยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันได้ อาจเพราะความเห็นที่ต่างกันสุดขั้วก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแต่ละฝ่ายยังไม่เข้าใจว่า ระเบียบวินัย ที่ต่างอ้างกันนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เองก็ไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะให้คำจำกัดความไว้ซ้ำซ้อนกันว่า ระเบียบ คือ แบบแผนที่วางไว้เป็นแนวปฏิบัติหรือดำเนินการ ส่วน วินัย คือ ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ, ข้อปฏิบัติ

ผมจึงขอเสนอคำจำกัดความใหม่ สำหรับอธิบายแนวคิดของผมต่อประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยผมจะกำหนดให้ ระเบียบ (order) หมายถึงการปฏิบัติอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ส่วน วินัย (discipline) หมายถึงการควบคุมตนตามกาลเทศะอย่างสมควร

บอกแค่นี้อาจจะยังเห็นไม่ชัดเจนว่าแล้วตกลงมันต่างกันยังไง ลองดูตัวอย่างครับ ยกประเด็นต้นเรื่องเลยคือการเข้าแถว สมมุติว่าครูสั่งให้นักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งนักเรียนก็ยืนตรงได้ไม่ยุกยิก เข้าแถวเรียบร้อยเป็นแนวตรงทั้งแถวตอนแถวหน้ากระดาน อันนี้คือที่ผมเรียกว่ามีระเบียบ แต่หากนักเรียนเข้าแถวได้อย่างนั้นเฉพาะเวลาที่มีครูยืนคุมอยู่ ก็ไม่เรียกว่ามีวินัย เทียบกับการเข้าแถวต่อคิวรับถาดอาหารกลางวัน ถ้านักเรียนต่อคิวกันเป็นแถวโดยไม่ต้องคอยสั่ง ไม่มีคนแซงคิวแม้จะไม่มีครูคอยยืนคุม นั่นคือที่ผมเรียกว่ามีวินัย แม้อาจจะไม่ได้มีระเบียบ คือนักเรียนไม่ยืนตรง แถวเบี้ยวไปมาก็ตาม

ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะพอเดาได้ว่าแนวคิดที่ผมจะเสนอคืออะไร ครับ เมื่อกำหนดความหมายแยกกันให้ชัดเจนแล้ว ผมเชื่อว่า วินัย คือสิ่งที่สำคัญต่อปกติสุขของสังคมมากกว่า เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่มีใครมาคอยคุมให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์และมารยาทของสังคมอยู่ตลอดเวลา คงไม่มีประโยชน์ที่ทุกคนจะสามารถเข้าแถวเคารพธงชาติได้ตรงเป๊ะทุกวันเช้าเย็น ถ้าเวลาขึ้นรถเมล์เราจะกลับยืนออเบียดเสียดแย่งกันแซงขึ้นรถตรงหน้าประตูจนผู้โดยสารบนรถลงไม่ได้ และก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะกำหนดฝั่งขวาหรือซ้ายของบันไดเลื่อนให้ยืนหรือเดิน หากกำหนดไปแล้วคนจะไม่ปฏิบัติตาม

ไม่ใช่ว่าระเบียบไม่สำคัญ เพราะเมื่อมีวินัยในการปฏิบัติอะไรแล้วก็ย่อมต้องอาศัยระเบียบช่วยกำหนดให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามมา ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับส่วนหนึ่งในคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่อ้างไว้ในบทความที่แล้ว ที่ใช้วงโยธวาทิตเป็นสัญลักษณ์แทนความงี่เง่าของระบบทหาร เพราะการควบคุมร่างกายให้ผสานเข้ากับจังหวะดนตรีนั้นก็ต้องอาศัยทั้งระเบียบและวินัยร่วมกันในระดับสูง ไม่ต่างจากที่สมาชิกวงออร์เคสตราต้องมีทั้งระเบียบและวินัยในการเล่นจึงจะบรรเลงดนตรีออกมาได้พร้อมเพรียงโดยไม่ผิดเพี้ยน

แต่การบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ (regimentation) ที่ปฏิบัติกันในโรงเรียนนั้น แม้จะสร้างสภาพที่มีระเบียบได้แต่ก็แค่ชั่วคราว และที่สำคัญ ไม่น่าจะช่วยปลูกฝังวินัยได้แต่อย่างไร เพราะอาศัยแต่การเฝ้าควบคุม (และอาจจะกดขี่) อยู่ตลอดเวลา สภาพบีบบังคับเช่นนี้ ถึงแม้ในเบื้องต้นอาจจะสามารถขู่ให้ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจเกรงกลัวและไม่กล้าละเมิดระเบียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่ในเบื้องลึกแล้วกลับเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกต่อต้าน ที่จะส่งผลในทิศทางตรงข้ามเมื่อมันมากจนทนไม่ไหว หรือเมื่อแรงบีบบังคับนั้นอ่อนลง

การปลูกฝังระเบียบและวินัยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระและมีความสามารถที่จะทำความรู้ความเข้าใจกับโลกรอบตัวได้ ครูจะตรวจผมตรวจเครื่องแบบนักเรียน จะยืนเฝ้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติเป็นสิบปี หากทำไปเพียงด้วยสภาพบังคับที่ไม่มีเหตุผล ก็คงไม่เหลืออะไรหลังจากที่นักเรียนเรียนจบพ้นเงื้อมมือครูไปแล้ว แต่การสอนให้นักเรียนรู้จักคิดถึงสังคมและคนรอบข้าง ให้เห็นและเข้าใจว่าการเข้าคิวจะช่วยให้ตนเองและเพื่อนทุกคนได้ทานอาหารกลางวันโดยเรียบร้อยตามความประสงค์ นั่นต่างหาก คือสิ่งที่โรงเรียนควรทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัย

30 June 2013

หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

ช่วงที่ผ่านมาเรื่องทรงผมกับเครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนจะเกิดเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบนะครับ ตั้งแต่เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงนโยบายเรื่องทรงผมของนักเรียนมา ซึ่งก็มีเหตุให้เกิดความลักลั่นในการนำไปปฏิบัติกันอยู่ให้เห็น ตลอดจนการนำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนมาประกอบโครงเรื่องในละครโทรทัศน์¹ ในเวลาใกล้เคียงกับที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนทั้งต่างประเทศ² และในประเทศ³

ผมเองได้เห็นการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์หลายรอบ แต่ละรอบก็เห็นประเด็นเดิม ๆ มิได้แตกต่างกันเท่าไร จนระอาที่จะร่วมคิดหรือติดตาม เพราะมองว่ายังไงก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลง (อีกอย่างตัวเองก็เลยวัยที่จะเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว และวงการศึกษาไทยก็มีปัญหาที่สำคัญกว่านี้อีกมาก) จึงแปลกใจพอควรครับ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ออกมากำหนดแนวนโยบายเรื่องทรงผมที่ชัดเจนแบบนี้

แต่ขอกล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบก่อนดีกว่าครับ

ให้เวลา 30 วินาที ลองนึกชื่อภาพยนตร์ที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีกากีสักเรื่องนะครับ

นึกออกไหมครับ ผมนึกออกหนึ่งเรื่องคือ ปัญญา เรณู

อาจจะมีเรื่องอื่นอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชนชั้นกลางในเมืองใหญ่เช่นกัน

ที่ในเนื้อความเขียนว่าเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่นั้นไม่จริงหรอกครับ อย่างเครื่องแบบนักเรียนชายนี่ยังมีสีกางเกงที่ถูกใช้เป็น stereotype บ่งระดับชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ส่วนของนักเรียนหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแบบเสื้อ แบบกระโปรง แล้วยังอุปกรณ์ประกอบอีกเต็มไปหมด

หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับค่านิยมของสังคมที่สะท้อนออกมาในภาพยนตร์ ซึ่งมองว่าชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินคือโรงเรียนเอกชน สีกากีคือโรงเรียนวัด/โรงเรียนรัฐบาล (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ส่วนสีดำก็มีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมือง นอกจากนี้ยังมีสีหายาก ลายสก็อตต่าง ๆ ตามแต่โรงเรียนจะรังสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างเป็น "เอกลักษณ์" ขึ้นมา (ส่วนสีกรมท่าคนไม่ค่อยรู้จัก ที่จริงสังเกตได้ว่าสัมพันธ์กับโรงเรียนในวัง ทั้งจิตรลดา วชิราวุธ ราชวินิต ฯลฯ แอบสงสัยว่าสาธิตเกษตรจะตั้งใจเลือกมาด้วยเหตุนี้ (ไม่ก็ให้เข้ากับสีม่วง))

แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่มี stereotype ที่ได้จากรูปแบบหรือสีของชุดนักเรียน ค่านิยมของสถานศึกษาแต่ละที่ก็สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจอยู่แล้ว

ลองนึกถึงภาพยนตร์อีกรอบครับ คราวนี้เอาที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน มีสักเรื่องไหมที่ตัวละครจะใส่กางเกงยาวเกินสองคืบ

อันนี้อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง (แล้วแต่คืบใคร) แต่ลักษณะการแต่งกายดังกล่าวก็สะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของนักเรียนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะเหล่าโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดมาได้ยังไง แต่ก็รู้สึกทึ่งกับการยึดมั่นในค่านิยมดังกล่าวของบรรดานักเรียนเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กอัสสัมชัญ ซึ่งเพื่อนที่เป็นศิษย์เก่าเคยบรรยายว่ากางเกงนักเรียนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน

ส่วนชุดนักเรียนหญิงก็มีปรากฏการณ์แบบเดียวกัน ดูอย่างสาธิตเกษตรที่นอกจากกระโปรงจะเป็นสีม่วงเด่นขนาดนั้นแล้วยังนิยมใส่กันยาวแทบกรอมข้อเท้าแบบที่ว่าอยากนั่งขัดสมาธิตรงไหนก็ลงไปนั่งได้เลย

ค่านิยมเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นครับว่าถึงจะมีการกำหนดเครื่องแบบจากเบื้องบนลงมา (หรือต่อให้ไม่มีก็ตาม?) อย่างไรเสียก็จะยังมี "เครื่องแบบ" แห่งค่านิยมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเติบโตแพร่กระจายได้เองในสังคมดำเนินควบคู่ไปด้วยอยู่นั่นเอง

ผมขอไม่ทบทวนข้อถกเถียงทั้งหมดในเรื่องที่ว่าเราควรมีเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาต่อไปหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามดู ก็ไม่เคยเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายไหนจะมีความถูกต้องสัมบูรณ์เหนือกว่า ผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่ว่าสังคมไทยนั้นนิยมเครื่องแบบ (มาก) เพราะมันตอบสนองความคาดหวังของสังคมทั้งในแง่ที่เป็นสังคมอำนาจนิยมมาแต่เดิม และที่เครื่องแบบนั้นเป็นเครื่องแสดงระดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจน แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์ในเชิงปทัฏฐาน (normative) แต่อย่างใด หากมองในแง่เสรีภาพ ที่สุดขั้วของการมีเสรีภาพในการเลือกแต่งกายเต็มที่ คือจะให้นุ่งผ้าเตี่ยวหรือแก้ผ้าไปเรียนได้นั้น ก็คงไม่เป็นที่ยอมรับตามค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม สุดท้ายมันก็นำไปสู่คำถามพื้นฐานว่าสังคมจะต้องการให้ขีดเส้นตรงไหน ซึ่งเว้นเสียแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม ก็คงลงเอยที่การรักษาสถานะเดิม (status quo) อยู่ดี

ผมเองยอมรับครับว่าในฐานะนักเรียน ก็คงเลือกที่จะรักษาสถานะเดิมนั้น ไม่ใช่เพราะชื่นชมกับเครื่องแบบอะไรนักหนา แต่เพราะเท่าที่อยู่ในสังคมมา ก็เห็นสังคมที่มีเครื่องแบบอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับมัน ในทางกลับกัน คนที่เห็นสังคมที่ไม่มีเครื่องแบบมาก่อนก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยความคุ้นเคยว่าสังคมแบบนั้นมันไม่ได้มีปัญหาสำหรับเขา การเถียงกันบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวว่าอย่างไหนตรงกับธรรมชาติพื้นฐานของสังคมมนุษย์มากกว่ากันนั้นคงไม่เกิดประโยชน์

ในขณะเดียวกัน ความคุ้นเคยนั้นเองก็อาจจะทำให้หลายคนสร้างความคิดเชื่อมโยงเครื่องแบบกับประสบการณ์ในวัยเรียนที่ตนประทับใจได้โดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ GTH (หรือค่ายไหน ๆ ก็ตามแต่) ใช้เครื่องแบบเป็นจุดขายภาพยนตร์ (รวมถึงละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงข้างต้น) ได้อยู่เรื่อย ๆ และก็อาจส่งผลป้อนกลับ (feedback) ให้มีความพยายามรักษาสถานะเดิมนั้นมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

ที่จริงการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียนนี่คิดดูก็มีส่วนแปลกนะครับ เรามักจะเห็นว่าเครื่องแบบอื่น ๆ มักเป็นเครื่องสะท้อนอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป ต้องมีสิทธิพิเศษถึงจะได้ใส่ จะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เครื่องแบบนักเรียนนี้ทุกคนต้องใส่หมด (ขอไม่พูดถึงการศึกษานอกระบบซึ่งเป็นส่วนน้อย) มันก็เลยมีส่วนเป็นเครื่องบังคับความเท่าเทียมในสังคมอย่างหนึ่ง (วาทกรรมที่ว่านักเรียนควรภูมิใจที่ได้แต่งเครื่องแบบจึงดูแปร่งๆ เพราะเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกชนชั้นผ่านการสะท้อนชื่อเสียงเรียงนามของโรงเรียนที่คนคนนั้นได้เรียนอยู่ดี ในประเด็นความเท่าเทียมจึงตีความได้ยากว่าควรมองเครื่องแบบนักเรียนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่

แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือความแตกต่างระหว่างประเด็นเครื่องแบบนักเรียนกับประเด็นทรงผม ทั้ง ๆ ที่ก็กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันในระดับหนึ่ง (ทรงผมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ) แต่กลับเชื่อได้ (ทึกทักเอาเอง) ว่านักเรียนที่สนับสนุนหรือเฉย ๆ กับเครื่องแบบจำนวนมาก คงไม่สนับสนุนการตัดผมเกรียน/ติ่งหูด้วยเป็นแน่

เพราะการบังคับทรงผมมันรุกล้ำต่อร่างกาย ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนกว่าเครื่องแต่งกายมากหรือเปล่า นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ผมนึกออก เพราะชุดนักเรียน พอเลิกเรียน วันหยุด ก็ถอดชุดเปลี่ยนได้ แต่ผมเกรียน/ติ่งหู ไม่ใช่อย่างนั้น

อันที่จริงผมก็คงวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่ประถมถึง ม.ต้นก็เรียนโรงเรียนสาธิต ไม่เคยถูกบังคับเรื่องทรงผมแบบนี้ จะมามีช่วงที่ต้องรันทดกับหัวเกรียนก็ตอน ม.ปลาย ที่ฝึก นศท.นั่นแหละ (แต่นั่นก็เถียงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อว่าสมัครใจ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดว่าคนที่ถูกบังคับตัดทรงนักเรียนตั้งแต่ ป.1 จะเกิดความผูกพัน ภาคภูมิใจกับสภาพหัวเกรียนได้แบบเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน (ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเห็นนักแสดงหนัง GTH ในสภาพหัวเกรียนด้วยแล้วหรอกมั้ง)

นั่นยิ่งทำให้ผมฉงนกับเหล่าบรรดาผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ออกมาดราม่าต่อต้านการยกเลิกผมทรงนักเรียนกันอย่างรุนแรง ว่าเออ มันมีคนที่รักและผูกพันกับทรงหัวเกรียน/ติ่งหูกันขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย จะว่าเขาเห็นมันมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์แบบการไว้ผมจุกที่จะต้องรอจนก้าวพ้นวัยเด็กในพิธีโกนจุก ในสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าใช่ ยิ่งในฐานะนักเรียนเก่าสาธิต ที่ไว้ผมรองทรงได้มาตั้งแต่ ป.1 เลยยิ่งงงกับตรรกวิบัติของพวกเขาที่ว่า ตัดผมแค่นี้ทำกันไม่ได้ โตไปจะมีระเบียบวินัยอยู่ในสังคมได้ยังไง ยิ่งขึ้นไปอีก

พูดถึงความยาวของกางเกง ในคู่มือนักเรียนที่เตรียมฯ กำหนดเรื่องกางเกงไว้ละเอียดมากว่า "ใช้ผ้าเทโรหรือผ้าเสิร์จสีดำ (ห้ามใช้ผ้าเวสปอยส์) มีจีบข้างหน้าด้านละ ๒ จีบ ผ่าตรงส่วนหน้าติดซิป (ห้ามใช้กระดุม) มีกระเป๋าด้านข้าง ๒ ข้าง ปากกระเป๋าตัดตรง ไม่มีกระเป๋าหลัง มีหูไว้ร้อยเข็มขัดกางเกง เมื่อใส่แล้วต้องมีความยาวเหนือลูกสะบ้าเข่าไม่เกิน ๕ ซม. และความกว้างของปลายขากางเกง เมื่อดึงออกมาจากขาต้องห่างไม่น้อยกว่า ๗ ซม. แต่ไม่เกิน ๑๒ ซม."

เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ตรวจเครื่องแบบแล้วเอาไม้บรรทัดมาวัดความกว้างของขากางเกงนะครับ

แต่มารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วยังมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งระบุไว้ว่า "กางเกง แบบไทย ขาสั้นเพียงเหนือเข่า พ้นกลางลูกสะบ้า ประมาณ ๕ ซม. เมื่อยืนตรง..." ถ้านับตามศักดิ์ของกฎหมายแล้ว (และถ้าระเบียบกระทรวงดังกล่าวยังไม่ถูกยกเลิก) ก็ต้องยึดตามเนื้อความในระเบียบกระทรวงฯ ถึงจะถูก

ซึ่งแปลว่าที่เราใส่กางเกงชายขาเสมอเข่านั้นผิดกฎหมายนะ ต้องสั้นขึ้นอีก 5 ซม.ถึงจะถูก~

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของการมีเครื่องแบบแหละครับ อะไรที่ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรตายตัว พอสังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ก็ยากที่จะเปลี่ยนตามได้ทัน เครื่องแบบต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นจึงเป็นเครื่องสะท้อนแฟชั่นย้อนยุคได้เป็นอย่างดี

เรื่องนี้ก็เป็นการถกเถียงบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวแบบเดียวกับกรณีเครื่องแบบ แต่ผมเชื่อ (ทึกทักเอาเองอีกแล้ว) ว่าขณะที่อาจจะเห็นนักเรียนปัจจุบันสนับสนุนเครื่องแบบได้ไม่ยาก ในบรรดาคนที่สนับสนุนทรงหัวเกรียน/ติ่งหูอยู่นี้ ส่วนมากคงจะเป็นบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ตนเคยผ่านมาเป็นสิ่งที่จะต้องบังคับให้ชนรุ่นหลังผ่านตามไปเช่นกัน มากกว่า

ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการเชื่อเช่นนั้นจะผิดเสมอไป คนที่ตอนเด็กถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก พอโตขึ้นและตระหนักได้ถึงความสำคัญของอาหารทั้งห้าหมู่ ก็คงจะบังคับให้ลูกของตนกินผักเช่นเดียวกัน แต่ถ้าครูจะใช้ไม้เรียววางอำนาจว่าตนอยู่เหนือนักเรียน เพียงเพราะจำได้ว่าสมัยตนเป็นนักเรียนเคยถูกกดขี่มาอย่างนั้น โดยไม่ได้ใส่ใจในเหตุผล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีการศึกษาพึงกระทำ

จึงต้องพิจารณาว่าที่มาที่ไปของผมทรงนักเรียนที่มีมานานนั้นคืออะไร และยังสมเหตุสมผลอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า ไม่แน่ หากพบว่าการให้ตัดผมเกรียนครั้งแรกนั้นเกิดจากเหาระบาดครั้งใหญ่จะเงิบได้ตาม ๆ กันไป ส่วนใครที่จะอ้างว่าเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสำคัญของโรงเรียนที่มีมาช้านาน ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ที่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ (ส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจว่าทำไม) ก็คงต้องบอกว่าอยากบังคับก็บังคับไป เพราะยังไงนักเรียน (โดยผู้ปกครอง) ก็ต้องสมัครใจไปเข้า แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ เทียบเหตุผลดูแล้วก็คงไม่ควร

แต่อย่างไรเสีย จะเลิกผมทรงนักเรียน ก็ไม่ได้แปลว่าเลิกบังคับทรงผม ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับการกำหนดให้ตัดรองทรง (สูง?) ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มี แต่สังคมจะต้องการให้ผู้ชายไว้ผมยาวหรือทำผมโมฮอว์กไปโรงเรียนได้หรือเปล่านั้น ก็คงเป็นประเด็นที่จะโผล่ขึ้นมาให้ถกเถียงกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน ที่ตราบใดที่สังคมยังมองว่าไม่ได้เดือดร้อน ทุกอย่างก็ย่อมจะคงอยู่ตามสถานะเดิมต่อไป


  1. ดู HORMONES วัยว้าวุ่น EP.1 เทสโทสเทอโรน (Testosterone) 25 พ.ค.56
  2. ดู Thai Students Find Government Ally in Push to Relax School Regimentation จาก The New York Times
  3. ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบนักเรียนโดยตรง แต่ highly recommended: วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ - 26 มิ.ย.56 (HD)
  4. ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะเป็นผลงานที่น่าจดจำที่สุดของคุณพงศ์เทพในฐานะ รมว.ศธ.หรือเปล่า (ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงยังน่าจดจำกว่า รมว.ศธ.อีกหลายท่าน) ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปว่าการใช้คอมพิวเตอร์กระดานชนวนสุดท้ายแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร