Showing posts with label Monarchy. Show all posts
Showing posts with label Monarchy. Show all posts

11 November 2021

Democracy with the monarch as head of state

ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประโยคและวลีคลาสสิกที่คนไทยไม่มีใครไม่คุ้นเคย เพราะต่างถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่กลับลึกลับในความหมายที่ลื่นไหลอย่างน่าประหลาด

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้วิจารณ์ว่ามันเป็นวลีที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสนอง “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” กันพอควร แต่ผมไม่เห็นด้วยนักนะ มันออกจะสื่อความหมายได้ชัดเจนและตรงประเด็นกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันอย่าง constitutional monarchy

เพราะการจำแนกระบอบการปกครอง ข้อสำคัญมันต้องอยู่ที่รูปแบบการบริหาร มากกว่าการดูแค่ว่าใครเป็นประมุขสิ อย่างบรูไนมีกษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญ ถ้าตีความตามตัวอักษรก็เรียกเป็น constitutional monarchy ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะ constitutional monarchy มันหมายถึงประชาธิปไตยที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ วลีภาษาไทยที่ใช้กันจึงสื่อความหมายได้ดีกว่าศัพท์ภาษาอังกฤษที่หลงค้างมาตั้งแต่สามร้อยปีก่อน และเข้าท่ากว่าศัพท์บัญญัติกำปั้นทุบดินอย่าง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ชวนประดักประเดิดยิ่งนัก

เรื่องความภักดีต่อศัพท์บัญญัติชวนประดักประเดิดนี่ต้องยกให้วิกิพีเดียเขาล่ะ

ผมเองน่าจะเพิ่งประจักษ์กับความแตกต่างนี้เมื่อช่วงรัฐประหารปี 2006 ตอนนั้นในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษมีคนไปแก้กล่องข้อมูลในบทความ Thailand ที่ระบุระบอบการปกครองเป็น Constitutional monarchy โดยต่อท้ายเพิ่มว่า under military dictatorship ซึ่งก็ เออแฮะ พอเป็นวลีนี้มันก็มีความง่ายแบบแปลก ๆ ดี นัยว่าถึงจะยึดอำนาจเป็นเผด็จการทหาร แต่ระบอบกษัตริย์ก็ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกล้มล้าง ซึ่งเฮ่ยไม่ได้สิ ในเมื่อมันล้มล้างประชาธิปไตยเห็น ๆ ถ้าใช้ภาษาไทยตามที่บอกข้างต้นก็จะไม่เกิดการเลือนความหมายแบบนี้

แต่ถึงแม้วลี ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะสื่อความตามหลักภาษาได้ชัดเจนว่าประชาธิปไตยสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนประมุขเป็นอันดับรอง ก็เหมือนว่าความหมายโดยนัยนี้กลับกำลังถูกบางขั้วในสังคมพยายามบิดให้กลายเป็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก ถ้าลองย้อนดูรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ จะเห็นว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ถึง 2521 มาตรา 2 ไม่ได้เขียนไว้อย่างปัจจุบัน แต่ใช้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สังเกตการเว้นวรรคที่สื่อว่าประชาธิปไตยกับประมุขนั้นเป็นสองประเด็นแยกกัน

การเอาช่องไฟออกและเติมคำเชื่อม อัน เข้าไป เพิ่งมีในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และ 2534 ตามลำดับ และคงอยู่ต่อมาแต่นั้น ซึ่งนึกดูก็น่าคล้อยตามว่าเป็นการสร้างความหมายใหม่ให้พระมหากษัตริย์กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกกันไม่ได้ของประชาธิปไตย (แบบไทย ๆ) ตามที่เขาว่า

แต่มาถึงวันนี้ ความหมายนั้นเหมือนจะกำลังถูกเปลี่ยนไปอีกขั้น พระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตยอาจจะกลับมาแยกกันได้อีกครั้ง

แต่เป็นการแยกให้เห็นว่ามีอย่างเดียวที่สำคัญ

และเขาก็ได้บอกอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย

28 October 2020

Thoughts behind the final farewell

View this post on Instagram

Waiting on a final farewell

A post shared by Paul_012 (@paul_012) on

เคยว่าอยากจะเล่าความคิดเบื้องหลังภาพด้านบนนี้มาสักพัก แต่ยังไม่ได้พยายามเรียบเรียงจริง ๆ จัง ๆ สักที วันนี้¹ ครบรอบสามปีแล้ว คงเป็นเวลาที่นานพอที่จะย้อนกลับไปมองในฐานะอดีตได้ (และปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของสังคมในช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็ได้ช่วยให้ก้าวข้ามความลังเลที่จะเล่าเรื่องเหล่านี้ออกมา)

คนที่รู้จักผมอาจแปลกใจกับภาพนี้ที่โพสต์ในอินสตาแกรม อย่างผมเนี่ยนะ จะไปเบียดเสียดฝูงชนปักหลักรอขบวนพระบรมศพทั้งคืน ซึ่งก็ถูกแล้ว ผมไม่ได้ไปรอข้ามคืนหรอก และคงไม่ได้คิดจะไปร่วมพระราชพิธีในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์เลย ถ้าไม่ใช่เพราะที่บ้านรู้จักกับโรงแรมแถวท่าเตียนและสามารถจองห้องเพื่อเป็นใบเบิกทางให้เข้าพื้นที่ได้ ว่ากันตรง ๆ แบบเห็นแก่ตัวเลยก็คือ ผมไม่ได้ตั้งใจไปเพื่อน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยในฐานะประชาชนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เท่ากับที่จะไปเพื่อประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเอง (กับอาจจะได้รูปไปลงวิกิพีเดีย) และไม่ได้คิดที่จะลงทุนแบบที่บรรดาผู้คนที่ฝ่ามาด้วยใจเขาต้องทำเลยด้วยซ้ำ

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดหรอก

ผมเติบโตในระบบโรงเรียนมาในทศวรรษ 1990s โดยเฉพาะในบรรยากาศการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ช่วงนั้นแนวคิดเกี่ยวกับชาติและการปกครองของไทยเริ่มตกผลึกนิ่งแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นที่เคารพนับถือในฐานะผู้ค้ำจุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสื่อรอบตัวต่าง ๆ ก็สะท้อนแนวคิดเหล่านี้ ผมไม่เคยเรียนว่าคนไทยมีหน้าที่รักในหลวง แต่คนไทยรักในหลวงเพราะทรงทุ่มเทอุทิศพระวรกายและพระปรีชาสามารถเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน อันที่จริงเรื่องเล่าเหล่านี้แทบไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่เราสัมผัสและซึมซับมันมาจากการบอกย้ำในโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันแต่งกลอนเทิดพระเกียรติ การบ้านวิชาศิลปะที่ให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ การแปรขบวนรูปตราสัญลักษณ์กาญจนาภิเษกในพิธีปิดกีฬาสาธิตสามัคคี ตลอดจนการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและสดุดีมหาราชาตอนเข้าแถวหน้าเสาธงปีละสองครั้ง

ช่วงเวลานั้น จนถึงการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีในปี 2006 เป็นช่วงที่หลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเป็นจุดสูงสุดของฐานะความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล สำหรับผมเองก็เช่นกัน วันที่ 9 มิถุนายนนั้น ผมกับเพื่อน ๆ ไปชมการซ้อมใหญ่ขบวนเรือพระราชพิธี และตอนค่ำก็ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวง ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้ ท่ามกลางความวุ่นวายและฝูงชนที่แน่นขนัด นาทีที่ทุกคนเริ่มร้องเพลงพร้อมกันนั้น มันสัมผัสได้ถึงการมีความรู้สึกร่วมกันกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย ณ ที่นั้น (ถึงจริง ๆ แล้วเพลงจะไม่พร้อมเลย เพราะลำโพงอยู่ไกล) มันเป็นความตื้นตันที่เหนือกว่าการร้องหน้าเสาธงที่โรงเรียนทุกครั้ง

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ร้องและรู้สึกอะไรกับเพลงเหล่านั้น

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่หลังจากนั้นความ “อิน” หรือการรู้สึกร่วมเวลาเห็นการเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ สำหรับผมก็ค่อย ๆ ลดหายไป อาจเป็นเพราะบรรยากาศการเมือง ที่นับจากรัฐประหารที่ตามมาไม่นานก็เข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง หรือเพราะทิศทางของการเฉลิมพระเกียรติส่วนมาก ที่แปรเปลี่ยนจากการเชิดชูพระราชกรณียกิจเป็นการสรรเสริญเทิดทูนอย่างออกนอกหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รู้สึกว่าภาพของสถาบันกษัตริย์ที่เห็นมันเริ่มต่างจากสิ่งที่เคยถูกปลูกฝังมามากขึ้นทุกที

หลายคนที่เสื่อมศรัทธากับสถาบันพระมหากษัตริย์ มักพูดถึงโมเมนต์ “ตาสว่าง” นัยว่ามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องฉุดให้เห็นความจริง แต่ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น แม้ความรู้สึกร่วมจะลดลง แต่ในความคิดผมก็ยังพยายามรักษาภาพเดิมที่มีไว้ตลอด และมองเสมอว่าการอ้างตัวโหนสถาบันฯ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ตลอดจนการเหยียบย่ำเสรีภาพต่าง ๆ ตั้งแต่บล็อคยูทิวบ์ บล็อควิกิพีเดีย หรือคดี 112 ต่าง ๆ นั้นเป็นความเลวของคนที่ทำ โดยไม่เกี่ยวกับสถาบันฯ

ที่จริงมันก็อาจเป็นกลไกป้องกัน ที่พยายามหาเหตุผลอ้างให้เรื่องต่าง ๆ สอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากเชื่อ แต่เอาเป็นว่าสำหรับผม ผมไม่เคยมีประสบการณ์ของการตระหนักและเปลี่ยนความคิดอะไรที่ชัดเจน หากแต่ชุดความคิดเดิมมันค่อย ๆ จางไปตามกาลเวลามากกว่า

และเมื่อมุมมองเก่าจางไป ก็เหมือนเราจะเปิดรับมุมมองใหม่ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวคิดที่ผมรับมาแต่เด็ก ว่าทรงเป็นมนุษย์ผู้อุทิศตน ไม่ใช่สมมุติเทพดั่งลัทธิเทวราชาที่ถือกันในสมัยโบราณ แนวคิดหรือข้อเขียนที่วิจารณ์การกระทำในฐานะมนุษย์จึงไม่ได้เป็นเรื่องรับไม่ได้สำหรับผมขนาดนั้น อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสืออะไรมากมาย (อย่าง The King Never Smiles ที่ผมเคยพูดถึงว่ามีบน Google Books นั่นผมก็แค่เห็นผ่าน ๆ ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ) แต่ก็ไม่ได้พยายามปิดหูปิดตา และก็มีงานเขียนภาษาอังกฤษผ่านตาอยู่บ้าง ซึ่งมันก็คงค่อย ๆ สร้างความยอมรับใหม่ในความคิดของเรา อย่างตอนที่ Andrew MacGregor Marshall เขียน #Thaistory จนเป็นกระแสเมื่อปี 2011 ผมนั่งอ่านก็แอบงงนิดนึงว่ามันไม่เห็นจะมีอะไรน่าขัดแย้งขนาดนั้นเลยนี่นา ออกเคารพพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลด้วยซ้ำ และไม่ได้แตะประเด็นร้อนของจริงอย่างเรื่อง 6 ตุลาเลย

แต่ขณะที่ผมไม่ได้ประสบภาวะวิกฤตทางศรัทธาหรือความเชื่อแบบบางคนที่รับอดีตไม่ได้จนต้องไล่ลบโพสต์ “ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙” กันนั้น ก็ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่ได้ทิ้งช่องว่างไว้สำหรับผม หลังเพลงสรรเสริญพระบารมีในปี 2006 นั้น ผมเองยังคงหวังที่จะได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนั้นอีก แต่ก็ไม่มีโอกาสอยู่หลายปี จนอีกทีถึงได้ตระหนักว่ามันไม่อาจกลับมาได้แล้ว แต่แท้จริงสิ่งที่เราโหยหาคือ “อดีต” เมื่อครั้งที่ยังสามารถ “ซาบซึ้ง” กับมันได้ต่างหาก

การไปร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่บอกว่าไปเพื่อประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้นหรอก สำหรับผม มันคือการไปร่วมปิดฉากในเรื่องราวเล่าขานที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาหลายสิบปี

และบางที อาจมีสักช่วง แม้สักเสี้ยววินาทีก็ยังดี ที่เราจะได้ลืมทุกอย่าง และกลับไปรู้สึกและรำลึกถึงสถาบันฯ ในแบบที่เราเคยเมื่อครั้งยังเด็ก โดยไม่ต้องคิดอะไร

ก่อนที่มันจะลอยหายไปกับควันพระเพลิง และกลายเป็นอดีตไปตลอดกาล

* * *

ช่วงหลังสวรรคต ที่เสียงบรรเลงตามห้างร้านกลายเป็นเพลงเทิดพระเกียรติและเพลงพระราชนิพนธ์กันไปหมดนั้น ผมซื้อซีดีเพลงชุด “ต้นไม้ของพ่อ” มา ซึ่งถึงตอนนี้น่าจะได้เปิดเล่นไปแค่ครั้งเดียว

จริง ๆ แล้วผมไม่ได้สนใจเพลงอื่นในอัลบั้มเลยนอกจากเพลงแรกกับเพลงของขวัญจากก้อนดิน และที่อยากได้เก็บไว้ก็ไม่ใช่เพราะความหมายที่เพลงสื่อ

หากแต่เพราะเพลงสองเพลงนี้ เป็นเพลงที่ผมกับเพื่อน ๆ ใช้ร้องประกอบในกิจกรรมละครเทิดพระเกียรติภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนให้ทำเมื่อปี 1999 และช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นความทรงจำที่มีค่าของผม

จากนี้ไป มันก็คงมีค่าให้ผมเก็บไว้เพียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องราวของสถาบันกษัตริย์ คงต้องปล่อยให้เป็นบทบันทึกของหน้าประวัติศาสตร์ ที่จะถูกเขียนขึ้นต่อไป


  1. เมื่อเริ่มเขียน

16 October 2008

เอาอีกแล้ว... Mandate for the Internet Censorship Task force

Blognone (PaePae): ไอซีทีบล็อกบทความ "Bhumibol Adulyadej" บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ?

FACT นี่ก็ไม่ไหว... ไม่ทันข่าวอะไรกับเค้าบ้างเลย

ใครที่ไม่ได้ใช้เน็ต true หรือ จุฬาฯ หรือนนทรี ฯลฯ อาจมีปัญหาในการเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าว

แล้วไอ้หน้าปัญญาอ่อน นี่จะมีไว้ทำไม? มีหน้าจะเซ็นเซอร์ก็ redirect เข้าดวงตาพญามาร (ทำใจลิงก์ไป th.uncyc ไม่ได้) ให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ

ประเทศนี้...

เลิก ๆ ๆ

เลิก true

เลิกเน็ตจุฬาฯ (ยังรอว่าเมื่อไรจะเจอหน่วยงานอื่นของจุฬาฯ ทำงานห่วยกว่าสำนักไอที (ความจริงก็เวอร์ไป หลายหน่วยงานก็ห่วยพอกันทั้งนั้น))

เลิกประเทศไทย ไม่ไหวมั้ง ทำไจไปก่อนเหอะ

แม่ง...

(บรรทัดข้างบนมีความจำเป็นต้องไม่แก้เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ของผู้เขียน)

อย่าให้ต้องเขียนเรื่องหมิ่นฯ นะ...

เรื่องกระทรวงที่ริอาจคิดอยากจะสร้าง Great Firewall แต่ทำได้เผาเค้กวันเกิด (ทำใจ quote th.uncyc ไม่ได้อีกเหมือนกัน) นี่อีก...

ห่วยฉิบ

เอาเถอะ ผมจะช่วยบอกให้: พวกคุณลืมบล็อค The King Never Smiles ที่ Google Books น่ะ

เอาสิ ผมให้ลิงก์ตรงเลย แน่จริงก็บล็อคบล็อกผมสิ

จะได้รู้ว่าไม่มีอะไรสร้างสรรค์ทำแล้วจริง ๆ

เสียเวลาคนต้องอ่านหนังสือสอบ...


  • Wikipedia (วิกิพีเดีย) is a multilingual, Web-based, free content encyclopedia project (แปล: โครงการสารานุกรมออนไลน์หลายภาษาที่ไม่จำกัดสิทธิในการใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือแก้ไข) และเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการเข้าชมมากเป็นอันดับ 7 (สถิติจาก Alexa) ทั่วโลก
  • หนึ่งในเสาหลักห้าประการของวิกิพีเดียคือ "neutral point of view" หรือมุมมองที่เป็นกลาง และมีนโยบายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับ Biographies of living persons ซึ่งหมายความว่าการโจมตี ให้ร้าย หรือกล่าวถึงบุคคลในทางที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นประมาทนั้น จะทำไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับเด็ดขาด
  • ลักษณะเด่นของวิกิพีเดียคือผู้อ่านทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงทำลายล้าง... (oops) MICT) สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่ามีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ซึ่งการดูแลให้เนื้อหาของวิกิพีเดียมีความเป็นกลางข้างต้น ก็ขึ้นกับทุกคน (รวมถึงเจ้าหน้าที่ MICT) ที่มีสิทธิ์ร่วมแก้ไข
  • บทความ Bhumibol Adulyadej ได้รับเลือกเป็น featured article หรือบทความคัดสรร บนวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ หมายความว่าได้ผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาจากประชาคมแล้วแล้วว่าเป็นบทความคุณภาพที่มีความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง ซึ่งถึงจะพูดตรง ๆ ตามความเห็นของผมว่าหลังจากที่ได้รับเลือกแล้วหลายส่วนของบทความก็ลงเหวมาเรื่อย ๆ ก็ยังยากที่จะเข้าใจว่า...
  • ทำไม MICT ถึงเลือกที่จะปิดกั้นสายตาคนไทยไม่ให้สามารถเข้าไปแก้ไขสิ่งที่เป็นเท็จหรือไม่เหมาะสม (ถ้ามี) แต่กลับทิ้งไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้ โดยไม่คิดที่จะปรับปรุง? (หรือว่าจะเป็นเพราะความถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นกลาง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ MICT (และคนไทย??? ← เอาอะไรมาบังคับความคิดของคนไทยทั้งประเทศ?) ต้องการ?)
  • ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ MICT จงใจบล็อคเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งน่าสนใจทีเดียวเมื่อพิจารณาข่าว เด็กฮิตท่องเน็ตดู"คลิปหลุด" - 86% เล่นเกม - แค่ 14% ศึกษา ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวานนี้ และรายงานการแถลงข่าวของปลัดกระทรวงศึกษาธิการตอนหนึ่งว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่เด็กและเยาวชนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เพราะสื่อการเรียนรู้ในอินเตอร์เน็ตมีไม่เพียงพอ และไม่มีทางเลือกที่หลากหลาย

เฮ้อ...ประเทศไทย

2 September 2007

On the YouTube issue

คราวก่อนบอกว่าอีกนานแค่ไหนไม่ทราบ ต้องคอยลุ้นต่อไป ปรากฏว่าไม่ค่อยเห็นจะมีใครหลงเข้ามาอ่านหรือช่วยลุ้น แต่เอาเถอะครับ ถือว่าสถานการณ์ได้โอกาสประจวบเหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้แล้วกัน

อย่างที่หลาย ๆ ท่านอาจจะทราบ ว่าทาง MICT (เผลอจะคิดบ่อย ๆ ว่าย่อมาจาก Mandate for the Internet Censorship Taskforce) เลิกบล็อค YouTube แล้วตั้งแต่เมื่อวานซืน หลังจากที่ Google ตกลงเซ็นเซอร์คลิปวิดีโอบางเรื่อง ไม่ให้ผู้เข้าชมจากประเทศไทยสามารถรับชมได้

มองในแง่หนึ่ง ก็น่าจะเป็น [compromise] ที่แก้ปัญหาเบื้องหน้าได้ดีในระดับหนึ่งครับ เพราะอย่างที่ผมเคยแสดงความเห็นกับเพื่อน ๆ บางคน ว่าประเด็นปัญหานี้มันเกิดขึ้นมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม

กล่าวคือ เมื่อเนื้อหาบางอย่างเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ได้ในทั้งสองวัฒนธรรมที่กล่าวถึง ก็ไม่เกิดปัญหา จึงไม่มีใครมีปัญหากับคลิปแมวร้องเพลง และก็ไม่มีใครมีปัญหากับคลิปโป๊ที่ไม่มีอยู่บน YouTube

แต่เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์ไปเหยียบเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมเข้า จึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ที่ทำให้ [integrity] ของอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องถูกลิดรอนเพื่อรักษา [cultural identity] ของแต่ละฝั่งบนเส้นนั้นไว้

ซึ่งเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ว่าในกรณีดังกล่าว ก็คือ free speech vs respect for the King อย่างที่หลาย ๆ คนคงทราบ

มองตรงนี้ วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร...

ตราบที่ยอมรับได้ว่า หลักพื้นฐานของประชาธิปไตยบางข้อนั้นเข้าไม่ได้กับวัฒนธรรมไทย และรัฐจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อรักษาวัฒนธรรมนั้นไว้เหนือหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยดังกล่าว

แต่เงื่อนไขนี้ เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผมไม่ยินดีที่จะยอมรับเท่าไรครับ

สมัยที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เมื่อผมได้เปิดอ่านดูก็แปลกใจอยู่ครับ เพราะไม่เคยทราบว่าการที่ "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" นั้นเป็นเรื่องที่ต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อาจเพราะตอนนั้น ผมยังไม่ได้เข้าใจถึงลักษณะของระบอบการปกครองที่ต้องมีการ [adapt and modify] ให้เข้าได้กับวัฒนธรรมของประเทศต่าง ๆ ที่รับเอาระบอบการปกครองนั้นไปใช้ และการที่ว่าพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายนั้นก็มีเงื่อนไขรายละเอียดที่จำเพาะอยู่มาก

แต่ผมก็ยังอยากจะถามครับ ว่าจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องรักษาวัฒนธรรมเดิม ๆ นั้นไว้เหนือสิ่งอื่นใด ที่จะต้องกำหนดเอาไว้ในบทบัญญัติสูงสุดของประเทศ

ในเมื่อคนไทยทุกคนรักในหลวงอยู่แล้ว ทำไมถึงจะต้องกำหนดบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักพื้นฐานที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งของประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยล่ะครับ

ทุกวันนี้บทบัญญัติที่มีไว้เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าสิ่งอื่นใดครับ (อันที่จริงแล้วอาจจะรองจาก "ความมั่นคงของประเทศ" อยู่พอสมควร)

และหากคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง บทบัญญัตินั้นจะไปบังคับเขาได้ที่ไหนเล่าครับ

ทำไมล่ะครับ ถึงจะต้องปิดกั้นไม่ให้ผู้คนได้เห็นความเห็นของคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ที่ไม่ได้รักในหลวง ในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าคนไทยเราเทิดทูนพระมหากษัตริย์ขนาดไหน

หรือว่าคิดว่าคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง?

หรือว่าคิดว่าคนไทยจะโง่พอที่จะทำให้วิดีโอคลิปคลิปหนึ่งทำให้จิตวิญญาณของความเป็นไทยนั้นบอบช้ำไปได้?


................


ผมไม่เคยพูดครับว่าวัฒนธรรมไทยที่มีอยู่นั้นคร่ำครึล้าสมัย ควรที่จะเลิก ๆ ไปได้แล้ว

แต่กระแสโลกาภิวัตน์นั้น กำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม และคงยากครับ ที่จะหลีกเลี่ยง หรือตั้งกำแพงกีดขวางไว้ได้

ตอนนี้เราก็คงได้แต่เฝ้ามองครับ ว่าอะไรจะพังไปก่อนกัน

บนทั้งสองฝั่งของเส้นบาง ๆ ของสงครามความแตกต่างทางวัฒนธรรม

18 July 2007

แล้วพรุ่งนี้?

เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ขณะเดินไปรถไฟฟ้าสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมได้ยินเพลง "พ่อแห่งแผ่นดิน" ที่เปิดขึ้นจอตรงบริเวณ Victory Point ก็พลันเกิดรู้สึกใจหายวาบ สับสนบอกไม่ถูก และรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มจะคลอ

ส่วนหนึ่งจะว่าน้ำตานั้นเกิดจากความตื้นตันในเนื้อหาของเพลง ก็อาจเป็นได้ แต่สิ่งที่ปรากฏในความคิดขณะนั้นมันน่าเศร้า และมืดมนกว่ามาก

ก็เพราะเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่ว่า

ไทยทั้งผองภูมิใจ ไทยเป็นไทยจนวันนี้ เพราะองค์ภูมิพลที่ คุ้มครองไทย

เมื่อคิดตามและประจักษ์กับความจริงข้อนี้ คำถามถัดมาที่เกิดขึ้นทันทีในใจก็คือ

แล้วเมื่อผ่านพ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแล้ว ไทย จะยังเหลือเป็นอะไรอยู่ได้อีก เมื่อไม่มีใครคุ้มครอง?