Showing posts with label Cinema. Show all posts
Showing posts with label Cinema. Show all posts

10 May 2017

ว่าด้วย ฉลาดเกมส์โกง

ไปดูมาละด้วยความกลัวถูกสปอยล์… ถึงทีของเราละ [SPOILER ALERT]

ชอบนะ ก็ดีมากแหละ ตามที่มีคนพูดถึงเยอะแล้ว (ที่จริงยังไม่ได้ตามอ่านรีวิวของใครเลย แต่ก็นั่นแหละ วิจารณ์หนังไม่เป็น ก็ถือว่าเชื่อตาม ๆ เขาละกัน)

แต่นึก ๆ ดูแล้วก็ยังมีประเด็นที่ค้างคาอยู่ คือตอนจบ ทีแรกก็ลุ้นกลัวว่าจะทิ้งลอยให้ไปคิดเอาเอง เอาเข้าจริงก็ขมวดซะแน่นเลย แต่ก็เฉพาะกับตัวละครหลักที่บทเลือกจะเก็บไว้คนเดียวคือลิน ขณะที่แบงค์ (ซึ่งเราในฐานะคนดู invest ความสนใจไปเยอะแล้ว) กลับถูกผลักทิ้งให้เหมือนเป็นแค่ plot device ที่เข้ามาสร้างปมให้ลินเท่านั้น

ซึ่งพอยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าปมนี้มันยังไม่คลายดีเลยด้วยซ้ำ คือตอนจบที่แบงค์เรียกลินมาคุย เราเห็นลินได้สะท้อนว่าตัวเองทำอะไรลงไป คือไม่ใช่แค่พาตัวเองหลงมาตามเส้นทางของการโกง (ที่ตอนนี้กลับใจแล้ว) แต่ยังลากแบงค์ (ซึ่งตั้งต้นด้วยความบริสุทธิ์) ตกลงมา to the dark side ด้วยอีกคน แต่ลินกลับไม่ได้ต้องทำอะไรเพื่อ redeem ตนเองจากการกระทำนี้เลย นอกจากเพียงแค่ปลงใจยอมรับคำขู่ของแบงค์ (ที่ยังติดอยู่ด้านมืด) ด้วยคำว่า “งั้นเราหายกัน” แค่นั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลินอาจจะแก้ปมที่ทำให้แบงค์เดือดร้อนแล้วโดยการทำให้แบงค์ได้เงินซื้อเครื่องซักผ้า แต่ลินยังไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลยกับการทำให้แบงค์แปดเปื้อนแต่แรก

นอกเสียจากว่าผู้ชมจะต้องเข้าใจนอกฉากเอาเองว่าการปิดประตูของลินนั้นมันเพียงพอที่จะกระชากแบงค์กลับมา ซึ่งผมดูแล้วรู้สึกว่ายังอ่อนเกินไปมาก

แต่ยังไงคือโดยรวมก็ถือว่าดีมาก โดยเฉพาะในเรื่อง mentality ของเด็กทำข้อสอบเก่ง อันนี้เป๊ะจริง ๆ

ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ก็มีเช่น

  • ใครสอนให้เล่น Für Elise ใช้นิ้ว 5-4-5 หือ?
  • บาร์โค้ด ตอนแรกคิดว่าเอ็งใช้ที่เปลืองขนาดนั้นดินสอมันจะยาวพอมั้ย แต่ไล่นับดูจริง ๆ แล้วไบต์นึงมันกว้างแค่ 0.25 mm เออก็พอแฮะ (ขืนทำเป็น binary มาลูกค้าก็อ่านไม่ออกอีก)
  • จำเลขข้อ A, B, C มาเรียงต่อกันง่ายกว่านะเออ
  • ทำเป็นเล่นไป Queen of the Night Aria เราฟังเล่นตอนเดินทางจริง ๆ นะ
  • การเอาข้อความมาเข้ารหัสเป็นโน้ตดนตรีก็เหมือนกัน ตอนเด็ก ๆ เคยคิดเล่น
  • เจมส์จะได้เล่นบทอื่นที่ไม่ใช่ลูกคนรวยโดนสปอยล์บ้างมั้ยเนี่ย
  • ฉาก ผอ.ทำไมเราเห็นแต่แม่ดาว

ป.ล.

  • เงินสองล้านบาทมันจะพอไปเรียนบอสตันได้ไง

6 May 2013

เกรียนฟิคฯ

อุตส่าห์ว่าดูจบก็จะจบ ๆ แล้วนะ ปรากฏจบไม่ลง~ ขอระบายทิ้งหน่อยละกัน

ก็อย่างที่บอกว่าเห็นคำชมหลุดมาประปรายในทวิตเตอร์ เลยดู ๆ เห็นกระแสตอบรับดี ไม่เกรียนอย่างเดียวแบบหน้าหนังที่ออกมา (คืออย่างน้อยเทียบกับความคาดหวังจากตัวอย่างแล้วหนังก็ดีทีเดียว) ซึ่งดูแล้วก็ชอบนะ สารภาพว่าแอบไปดูซ้ำด้วย (ความจริงคือฝังใจที่รอบแรกมาไม่ทัน เข้าช้าไป 10 นาทีมากกว่า)

และก็เหมือนเดิม วิจารณ์หนังไม่เป็น แต่ลองดูที่เค้าวิจารณ์กันว่ายังไม่ดีเท่าผลงานเรื่องอื่นของมะเดี่ยวอย่างโฮมหรือรักแห่งสยาม ก็เห็นด้วยนะ ว่าอารมณ์หนังมันเหมือนยังไม่สุด แล้ว [plot elements] บางอย่างมันดู [forced] เกินไป ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกดีทีเดียว แต่ก็พอจะบอกได้ว่า เนื้อหาที่สื่อออกมายังค่อนข้างเบา แล้วก็รู้สึกเหมือนหนังพยายามจะเล่าเรื่องราวอะไรมากมายที่จับยัดใส่เวลา 2 ชั่วโมงแล้วมันเลยไม่พอ มีบางประเด็นที่เหมือนจะไม่จบ ซึ่งพอดูรอบสองแล้วก็เห็นว่าเยอะอยู่ทีเดียว

ยังไงขอหยิบโน่นนี่มาพูดถึงเป็นข้อ ๆ...

ALERT! สปอยล์กระจาย

  • ชอบการใช้เรื่องราวความเกรียนเป็นเครื่อง [carry] ตัวเรื่อง แม้จะไม่ได้เป็น [plot device] สำคัญแต่ก็สื่อถึงอารมณ์วัยรุ่นได้อย่างดี ฉาก [montage] แต่ละฉากสวยมาก การใช้เพลงประกอบก็สุดยอด
  • เพิ่งรู้ทีหลังว่า รร.วารีเชียงใหม่มีอยู่จริง เสร่อ แต่แอบแปลกใจนิดนึง (แต่โฮมก็ใช้ รร.มงฟอร์ตนี่นา)
  • เรื่องของทิพย์กับ อ.เสน่ห์นี่โผล่มานิดเดียวแล้วหายไปเลย งง ๆ ว่ามันควรจะมีความหมายอะไรมากกว่าเป็นแค่ฉากตลกหรือเปล่า
  • ยังไม่เข้าใจ "แต่งงานกันมั้ยคะ" ด้วยว่าจะสื่อว่าไง เกี่ยวกับที่ตี๋ขอเขตต์ตอนหลังหรือเปล่า
  • ผู้หญิงที่ อ.แดงต้อยพูดด้วยประมาณว่า "ตรงนั้นควรจะเป็นที่ของเธอ" ตอนละครรจนาเลือกคู่คือใครนะ
  • เรื่องของก้อย ไม่แน่ใจว่าแรก ๆ เหมือนจะสื่อว่าก้อยแอบชอบตี๋อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรต่อนอกจากเฉลยเรื่องของน้องเอ ที่ก้อยอยากเป็นนักข่าวก็เหมือนหายไป
  • เรื่องเสื้อของก้อยด้วย ทั้ง "มึงตามหาเสื้อ แล้วเจ้าของเสื้อตามหามึงปะ" (ไม่แน่ใจว่าตี๋คิดอะไร ณ จุดนั้น) แล้วก็ฉาก [montage] ตอนหลังที่ตี๋ใส่เสื้อนั้นอยู่
  • เรื่องพลอยดาวก็ดูรวบไปเยอะ ทั้งกับโอ๊ต (ไม่แน่ใจว่าพลอยดาวชอบโอ๊ตจากละครรจนาเลือกคู่?) แล้วก็ตี๋ (ที่โอ๊ตบอกว่า "ถ้าพลอยรู้นะ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง" เรากลับแทบไม่ได้เห็นเลย (รู้แต่ว่ามีฉาก "ร่มมั้ยคร้าบ" ในตัวอย่างที่ถูกตัดไป)) ที่ตี๋บอกประมาณว่า "ที่ผ่านมา กูคิดว่ามึงพยายามช่วยกูมาตลอด" ก็เหมือนกัน
  • พูดถึงการเปลี่ยนตัวตอนรจนาเลือกคู่ ทั้งแป๋ง ตี๋ โอ๊ต ส่วนสูงนี่คนละเรื่องกันเลย แอบสงสัยว่าไปบอกพลอยดาวว่ายังไงเขาถึงไม่สงสัย
  • แล้วก็พูดถึงฉากแสดงละคร ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อว่าลิปซิงค์อยู่แล้วหรือเปล่า แต่มันชัดมาก
  • ฉากร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ป้าบอกว่ามีอะไรในตัวก็ให้เอามาจ่าย เห็นนะว่ายังมีนาฬิกาข้อมืออยู่
  • โมน/โมนนี่ทำไปทำไมนะ แต่ตอนแรกก็ไม่สังเกตจริงแหละ เมคอัพเขาใช้ได้อยู่ (แต่อุตส่าห์ lampshade ให้ตั้งสองรอบ~)
  • แต่พูดถึงเมคอัพ รอยเจาะหูนี่ใช้เมคอัพปิดไม่ได้เหรอ แอบรำคาญอยู่เกือบตลอดเรื่อง
  • ความสัมพันธ์ของตี๋กับทิพย์ สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าปมมันคืออะไร ทำไมแค่ทิพย์บอกขอโทษก็จบง่ายขนาดนั้น ที่จริงต้องบอกว่าไม่เข้าใจทิพย์ด้วย คือพอนึกออกว่าจะเป็นแม่ก็ทำไม่เป็น/ไม่กล้า/ไม่อยาก ไม่ยอมรับความจริง แล้วก็โทษตัวเอง แต่ทำไมถึงต้องแสดงออกว่าไม่ใส่ใจตี๋เลยทั้งที่เห็นอยู่ว่าห่วงใยกัน
  • ที่ทิพย์คบกับเขตต์ด้วย เห็นแต่ตอนแรกตี๋ไม่พอใจ แล้วมาอีกทีก็ขอให้แต่งงานละ เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ตอนที่ทิพย์กรีดข้อมือนั่นมันเกิดอะไรขึ้น
  • ตอนที่เขตต์หนีไปแล้วก็กลับมาด้วย ดอกกุหลาบสีขาว/สีแดงจะสื่ออะไรนะ
  • แล้วชุดแต่งงานนี่น้าหอยแกยกให้เป็นที่ระลึกเหรอ แต่ถึงงั้นคนจะขึ้นรถไฟก็น่าจะอยากแต่งตัวธรรมดาหน่อยเปล่านะ
  • ชอบฉากไล่ต่อยกันที่ปราณบุรีสุดละ สารภาพว่าน้ำตาซึมไปนิดนึง

หมดละ (มั้ง) แต่ขอบ่นเรื่องนอกจอที่ทำให้ดูไม่ทัน คือไปดู SF เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดน Iron Man 3 กลบมิดเลย เหลือแต่รอบเที่ยง แล้วกว่าจะมาเช็คก็เกือบเที่ยงละ แถมเจอคิวซื้อตั๋วอีกสิบนาที จากที่จะทันพอดีเลยกลายเป็นไม่ทัน~ ความจริงถ้าซื้อตั๋วออนไลน์ก็ทันละ แต่ดันซื้อหลังเวลาหนังเริ่มไม่ได้ซะนี่ แต่ในอีกแง่นึง ก็ทำให้ใช้แต้มบัตรเครดิตกสิกรแลกตั๋วหนังได้ในราคาเทียบเท่า 100 บาท (ใช้ได้ถึงสิ้นปีนะครับ)

เอ้อ อีกเรื่องนึง:

  • ฉากเด็กผู้ชายเปลือยท่อนบนเมิงจะเยอะไปไหนวะครับ -"-

21 March 2011

SuckSeed ヘタクソ

SPOILER ALERT: หากท่านวางแผนจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำให้เก็บเอ็นทรีนี้ไว้อ่านทีหลังเพื่อรักษาอรรถรสในการรับชม

ไปดูมาแล้วครับ ภาพยนตร์เรื่อง SuckSeed ห่วยขั้นเทพ ทีแรกก็ไม่ได้กะจะเอามาเขียนต่อหรืออะไร แต่อารมณ์ค้าง ความคิดแล่นเตลิด (flight of ideas)¹ เต็มไปหมด เลยต้องหาที่ระบาย

ความจริงก็ได้เห็นลิงก์ตัวอย่างภาพยนตร์ (trailer) เรื่องนี้ในทวิตเตอร์ (Twitter) มาพักใหญ่ แต่ตอนนั้นแอบใช้คอมพิวเตอร์ราชการที่ไม่มีลำโพงอยู่ เลยยังไม่ได้ดู พอมาตามดูช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ก็คิดอยู่ว่าน่าสนใจ แต่ก็นึกถึงประเด็นที่โพสท์ในทวิตเตอร์ว่า ภาพยนตร์ GTH ที่มีตัวละครเป็นนักเรียน ม.ปลาย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดนตรี การประกวด Hot Wave แล้วก็รักวัยรุ่น นี่มันคุ้น ๆ? อยู่ด้วย²

พอช่วงวันที่หนังเข้าฉายเกิดเครียด ๆ กับเวรนิดหน่อย บวกกับเห็นพี่ก้อนพูดถึงในบล็อก เลยเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้รีบแจ้นไปดูทันทีที่ว่าง (เป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ไปดูในโรง ถัดจากกวน มึน โฮ (เทศบาลนครที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของประเทศ (แทบ) ไม่มีภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม (soundtrack) ฉาย))

ก็อย่างที่เคยบอก ว่าดูหนังไม่เป็น ตอนปี 1 ก็ไม่ได้ลงเรียน Movie World ก็คงจะไม่ได้วิจารณ์อะไรอย่างที่คนดูหนังเป็นเค้าวิเคราะห์กันได้ ขอแค่ไล่เรียงความประทับ (impression) ส่วนตัวมั่ว ๆ มาแล้วกัน

ก็ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง (ความจริงเข้าไปช้าเป็นนาทีได้ ที่นี่เวลาเริ่มฉายไม่นับโฆษณาแฮะ) ก็รู้สึกถึงประเด็นแรกที่พี่ก้อนกล่าวถึงในบทความที่อ้างถึงข้างต้นอย่างชัดเจนเลยครับ ว่าหนังเรื่องนี้ทำมาสะท้อนประสบการณ์วัยเด็ก-วัยรุ่นของคนที่เกิดช่วงปี 1985±2 โดยตรง ซึ่งก็ไม่แปลกและคงเป็นความตั้งใจของผู้เขียนบท ซึ่งก็เห็นว่ามีเพื่อนของคนเขียนมาตั้งกระทู้ในพันทิปเฉลยว่าองค์ประกอบหลายอย่างของเรื่องนั้นดึงมาจากประสบการณ์จริงของเหล่าผู้แต่งโดยตรง ผมเองถึงจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมหลาย ๆ อย่างที่สอดคล้องกับตัวละครในเรื่อง (คือบ้านมีวิทยุแต่เปิดไม่เป็น แล้วก็ไม่ได้ชื่นชมแนวเพลงร็อคเท่าไร) ก็ยัง [identify] กับสิ่งแวดล้อมของตัวละครได้หลายอย่าง แล้วก็แอบอารมณ์ดีเดินออกจากโรงมาไม่น้อย (ถึงจะปวดฉี่สุด ๆ)

แต่กระนั้นก็ตาม ในรายละเอียดหลายอย่างผมยังรู้สึกว่ามันไม่แม่นอ่ะ อันนี้ผมนึกเปรียบเทียบกับในดีวีดีเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว ที่มีบทวิจารณ์ของผู้สร้างภาพยนตร์กล่าวถึงฉากเปิดที่ใช้เพลงสักวันฉันจะดีพอของบอดี้สแลม ว่าจริง ๆ แล้วตามเวลาในท้องเรื่องเพลงยังไม่ออก ในที่นี้เพลงด้วยรักและปลาทูของมอสในฉากแรก ๆ พอจะบ่งอายุของตัวละครที่อยู่ ป.6 ตามท้องเรื่องตอนนั้นได้ว่าต้องไม่เกินรุ่นเดียวกับเราแน่ ๆ (อัลบั้มนั้นวางจำหน่ายเดือนธันวาคม 1997) แต่ [pop culture references] ต่าง ๆ ที่หนังใช้เป็นเครื่องสะท้อนความทรงจำของผู้ชม และดูเหมือนจะมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งโยโย่ โรลเลอร์เบลด (อันนี้มันไม่ใช่เก่ากว่านั้นแล้วเหรอ หรือจำผิดเอง?) เกมเต้น การ์ดยูกิ ที่เรื่องนำเสนอในช่วงมัธยมปลาย จริง ๆ แล้วเป็นกระแสอยู่ตอนช่วง ม.ต้น ต่างหาก (เอ... หรือคิดไปคิดมา คือต้องการจะสื่อว่าคุ้งเห่ออะไรตามหลังชาวบ้านเค้าเป็นปี ๆ?)

อันที่จริงผมรู้สึกว่าองค์ประกอบย้อนยุค (retro) ต่าง ๆ ที่หนังนำเสนอ ดูจะชัดเจนมากกว่าในช่วงต้นเรื่อง เหมือนเป็นการปูพื้นให้คนดู (ในช่วงอายุ 24-28) ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครและฉากท้องเรื่อง ส่วนหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ลดความจำเพาะของเวลาลงมา แต่ก็ยังมีจุดให้สังเกตได้ว่าเวลาในเรื่องเหมือนจะกระโดดมาใกล้ปัจจุบันมากขึ้น อย่าง MSN Messenger 7.0 ที่มีฟังก์ชันเขย่าจอ (nudge) จริง ๆ แล้วก็เพิ่งออกมาเมื่อปี 2005 และแม้ผมจะไม่ได้สังเกตโทรศัพท์มือถือที่ตัวละครใช้ แต่ก็น่าจะพอบอกได้ว่าผ่านยุค 3310 ที่ครองโลกสมัยเราอยู่ ม.ปลาย มาแล้ว ขณะที่ยังบ่งว่ายังไม่ใช่ยุค iPhone และ [touch-screen smartphone] ในปัจจุบัน (เปรียบเทียบกับ [icon] ร่วมสมัย (contemporary) ที่อ้างถึงในหนังเรื่องอื่น เช่นเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networks) ในเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว กับรักมันใหญ่มาก ที่เปลี่ยนจาก Hi5 มาเป็น Facebook ตามยุคสมัย) นักร้องรับเชิญกับเพลงที่เลือกมาใช้ประกอบภาพยนตร์ก็เช่นกัน คือไม่ได้อิงตามช่วงเวลาท้องเรื่องที่จะเทียบจากอายุตัวละครโดยตรง (เพลง ...ก่อน กับ เลี้ยงส่ง ออกห่างกันถึง 11 ปี) แต่โดยรวมแล้วก็ล้วนเป็นเพลงที่คนในช่วงอายุเป้าหมายน่าจะเคยได้สัมผัส (ขนาดผมเองที่ไม่ฟังวิทยุยังรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเพลงเหล่านี้) และต่างเป็นเพลงที่ดังมากพอที่แม้จะไม่ได้เกิดในช่วงปีที่ว่า ก็น่าจะเคยได้ยิน

ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกุศโลบายที่จะช่วยให้หนังทั้งสั่นพ้อง (resonate) กับผู้ชมในวัยดังกล่าว ขณะที่ยังสามารถดึงดูดฐานผู้ชมที่กว้างออกไปอันรวมถึงวัยรุ่นปัจจุบันที่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญอีกกลุ่มได้หรือเปล่า น่าสนใจว่าสำหรับคนที่เกิดมาในยุคที่ไม่มีเทปตลับ (cassette) ขายแล้ว จะประทับใจส่วนไหนของหนังบ้าง แต่กระนั้นที่จริง [icon] ย้อนยุคในเรื่องหลายอย่างก็จำเพาะขนาดที่แค่เกิดทันก็อาจจะไม่ได้รู้จักด้วยซ้ำ ผมเองไม่ทันสังเกตเครื่องเล่นเกมคอนโซล (เข้าใจว่าตอนแรกเป็น Super Famicom? ที่จริงถ้าคิดตามประเด็นด้านบนมันควรจะเข้ายุค PlayStation แล้ว) แต่ปกการ์ตูนนี่ยังไงก็ไม่ [recognise] แน่ ๆ เพราะไม่ได้อ่าน

ภาพยนตร์ที่พยายามเล่นกับ [nostalgia] นี่คงไม่เปรียบเทียบกับเรื่องแฟนฉันไม่ได้ อาจจะไม่ผิดถ้าจะมองว่า SuckSeed กำลังพยายามดึงเอาความทรงจำของคนรุ่นเราออกมาอย่างที่แฟนฉันเป็นความหลังวัยเด็กของชาว Generation X แต่สำหรับ SuckSeed ประเด็นความหลัง (ที่อาจจะไม่ "โดน" ผู้ชมได้มากมายเท่า) คงไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดันหนังที่สำคัญเท่ากับในกรณีของแฟนฉัน

เขียนมาถึงตรงนี้ (ข้ามวันมา ถ้าไม่ค่อยต่อเนื่องอย่าแปลกใจ) ก็ต่อไม่ถูกแล้ว ขออนุญาตจบห้วน ๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ประเด็นอื่นที่ยังไม่ได้พูดถึงอีกก็มี

  • ฉากสนามบิน (setting อดีต) เคาน์เตอร์ Orient Thai เบรกอารมณ์สุด ๆ
  • ฉากโถฉี่หายไปไหน? (หรือเราไม่ทันสังเกตเอง?) (Edit: น่าจะเป็นตอนที่เจอนักร้อง arena ในห้องน้ำนะ ขอบคุณปัฏฐาครับ)
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ ทุ้มอยู่ในใจ แต่เสียง tenor สุด ๆ
  • มีเพลงบุษบาในแผ่น soundtrack ด้วย ไหงงั้น
  • ป.ล. เพิ่งรู้ว่าเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ของการบินไทย มี B747 บินด้วย
  • ป.ป.ล. ไหน ๆ เขียนมาในหัวข้อแล้ว เผื่อมีคนสงสัย ภาษาญี่ปุ่น katakana ในโลโก้ภาพยนตร์อ่านว่า hetakuso แปลว่า extreme clumsiness (หรือที่มีคนแปลในกระทู้พันทิปว่า ห่วย(อึจาระ)แตก

  1. ความจริงแล้ว flight of ideas เป็นอาการทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ในที้นี้นำมากล่าวเปรียบเทียบในเชิงขบขันเฉย ๆ
  2. อ้างถึงเรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

Last edited: 2011-03-25 15:24

2 February 2008

Final Score: 365 วันฯ

อืมม... ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กะไว้ว่าว่าง ๆ อยากหาโอกาสดู แต่ก็ยังไม่ได้ดูสักที

พอดีวันนี้กลับมาจากไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย (ขึ้นรถไฟฟ้าเอกมัย... ยังนึกอยู่ว่าจะแวะท้องฟ้าจำลองดีหรือเปล่า (แต่อย่าเลย)) เกือบบ่ายสอง ก็เปิด Outlook ใน Bangkok Post อ่านการ์ตูน แล้ว scan ดูโปรแกรมทีวี ก็เห็นว่าเป็นเวลาเริ่มพอดี (เลยทานข้าวกลางวันตอนบ่ายสามครึ่งได้ (ความจริงคือวิ่งไปเปิดทีวีทีเดียว))

ที่ว่าอยากดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่ต้นเท่าไร แต่ก็เห็นว่า presentation น่าจะน่าสนใจดี...

ก็ดี... ชอบเหมือนกัน แต่ดูจบไปแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าประเด็นที่หนังจะสื่อคืออะไรบ้าง

ทำนองว่าเรื่องราว 365 วันเอามาย่อเหลือ 95 นาที ความรู้สึกที่ได้เลยเหมือนเล่น VCD แบบ fast forward (คือ skip ข้ามเป็นห้วง ๆ) ไม่ค่อยมี flow ของเรื่องราว หรือประเด็นที่ชัดเจนให้เห็น

ส่วน nostalgia factor เรื่องนี้ก็ไม่ได้แรงมาก (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกเรา... จะมีก็ตอนวันเรียนวันสุดท้าย)... ก็คงจะเพราะปัจจัยหลายอย่างรวมกัน (รวมทั้งการที่ไม่ได้ต้องลุ้นเรื่องเอนทรานซ์อะไรเท่าไร)

อืมม... แต่พูดถึงแล้ว... จำได้นะ ตอนนั้นเช้าวันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน 2546 มาถึงโรงเรียนประมาณหกโมงห้าสิบ ช่วงนั้นคะแนนเอนท์มันก็ทำท่าจะออกมิออกแหล่มาหลายวัน เช้าวันนั้นก็ยังเปิดเว็บประกาศคะแนนดูอยู่ก่อนออกจากบ้าน ก็ยังไม่มีอะไรโผล่มา (คืนก่อนเว็บล่มไม่เป็นท่าอยู่นาน)...

เดินเข้าโรงเรียนมา เจอเป๋าเป่าตรงหน้าโรงอาหารหอประชุม เธอบอกว่าคะแนนเอนท์ออกแล้ว~!

ตอนนั้นเลยวิ่งหาคอมกันให้วุ่นเลย พอดีไปเจอปาพจน์ (จำไม่ได้แล้วว่าเจอยังไง หรือโทรหา?) แล้วสุดท้ายก็ไปนั่งลุ้นกันในห้อง Shell (สิทธิพิเศษ - มีเน็ตใช้ส่วนตัว)

ตอนนั้นมีใครบ้างจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่ตัวเองนี่ได้เปิดเป็นคนแรกหรือคนที่สองเนี่ยแหละ คลิกใส่เลขที่นั่งสอบแล้วก็รีบคว้าเมาส์ไปลาก border ของจอ IE (สมัยนั้นยังไม่มี Firefox) ขึ้นมาให้เหลือบรรทัดเดียวแทบไม่ทัน (คนอื่นเค้าเอากระดาษปิดกัน)...

เช้าวันนั้นเพื่อน ๆ แต่ละคน สีหน้าบอกคะแนนมาแต่ไกลเลยทั้งนั้น


(อะไรเนี่ยเรา หวนอดีตอีกแล้ว กลับมาด่วน ๆ~!)


Edit:

แต่ว่าไปแล้ว... ที่ว่าอารมณ์ของหนังมันรู้สึกลอย ๆ... ก็คงเหมาะกับการบรรยายจังหวะชีวิตปีสุดท้ายในโรงเรียนอยู่... ช่วงเวลาและความรู้สึกที่ fleeting... ผ่าน ๆ มาแล้วจบไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่ทันจะตั้งตัว

Last edited 21:45, 24 February 2008

1 December 2007

1 December 2007

วันนี้ (วันที่ 1 ตอนเริ่มเขียน) มีเรื่องให้กล่าวถึงหลายเรื่องทีเดียว... ก็เลยจะขอแยกพูดถึงเป็นหัวข้อ ๆ แล้วกันนะครับ

World AIDS Day 2007

บางคนอาจจะสังเกต ว่าปีที่ผ่าน ๆ มาผมจะติดริบบิ้นสีแดงในสัปดาห์ก่อนวันเอดส์โลก (1 ธันวาคม) จนเกือบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่วนบุคคลอย่างหนึ่งไปแล้ว ซึ่งปีนี้อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์วันเอดส์โลกที่จะมาถึงอย่างได้ผลระดับหนึ่ง เพราะเกือบทุกคนที่เจอหน้ากันสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนถามว่าติดทำไม (สำเร็จ... 55+)

เรื่องความเข้าใจ เห็นใจผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อ HIV นี้ ผมเคยพูดกับเพื่อน ๆ อยู่หลายครั้ง ว่าการจะแก้ stigma เปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อของสังคมนั้นมันยากแค่ไหน ขนาดเราเองที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่เรียนอยู่โดยตรง ถึงจะรู้ดีแค่ไหน ก็ยังกลัว ยังหวาดจนเกินความพอดีอยู่ไม่น้อย เวลาที่ทำงานกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV

ช่วงเดือนที่แล้ว ผมและเพื่อน ๆ ในกลุ่มได้ปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยวชิราวุธล่าง ซึ่งก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV จำนวนไม่น้อย (เกือบ 50% ในบางช่วง) และในการปฏิบัติงานนั้นก็มีการทำหัตถการที่ต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมพบคือ ความกลัวที่ว่านั้น พอทำงานไปพักหนึ่งมันเริ่มชิน เริ่มลืมที่จะกลัวครับ (จนบางครั้งก็ยังต้องคอยเตือนตัวเองเรื่อง precaution อยู่) พอความกลัวเริ่มลดลง ก็เริ่มมีที่ให้กับความเห็นอกเห็นใจ และที่สำคัญ คือความหวัง ที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องตายสถานเดียวเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จะมีโอกาสดำรงชีวิตที่มีคุณภาพได้ในสังคม

แต่ [keyword] ก็คือสังคมนั่นเอง

ช่วยกันนะครับ ทุกคน

(ที่ว่ามาว่าการรักษามันดีขึ้น ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ความป้องกันสำคัญน้อยลงนะครับ ในทางตรงข้าม การตระหนักถึงอันตรายนี้เป็นสิ่งที่สังคมเรากำลังสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว... ขอให้ช่วยกันอีกข้อ... นะครับ)

ป.ล. ทีแรกว่าจะพูดถึง compulsory license ด้วย... แต่ขี้เกียจละ

สอบภาษาอังกฤษ (CU-TEP) ภาษาไทย คอมพิวเตอร์ สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 4

คณะเราส่วนเอนทรานซ์+โอลิมปิกวิชาการ ก็มีอยู่เกือบร้อยเก้าสิบคน สมัครมาสิบกว่าคน ปรากฏว่าไปสอบกัน 5 คน - -'... แต่ก็ได้มาเจอเพื่อน ๆ โครงการกับพี่นิวแทรคที่โดนบังคับ (?) มาสอบ

สอบครั้งนี้สอบที่อาคารจุฬาพัฒน์ 4 ห้อง 421 ทีแรกก็เอ๋อไปเหมือนกัน ว่า จุฬาพัฒน์นี่มันอยู่ส่วนไหนของจุฬาฯ เนี่ย เปิดไปเปิดมาปรากฏว่ามันคือห้องเรียนวิชา Human Relations ตอนปี 1 นั่นเอง ก็เลยได้ไปทานข้าววิทย์กีฬารำลึกความหลังเมื่อยังเยาว์วัย (ทำไมมันเหมือนน้านนนน นานมาแล้วนะ?)

พูดถึง... เพิ่งได้มีโอกาสอ่านป้ายตรงสวนหินอ่อนหน้าอาคารจุฬาพัฒน์ 7 (สำนักงานสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา)

นึก ๆ ดูก็ขำอยู่หน่อย... ตอนไปโรมเห็นเค้ามีของแบบนี้ที่เก่าสองพันปี ของเราเก่าร้อยปี

สอบ ก็... CU-TEP ก็ไม่มีอะไร เรื่อย ๆ (แต่ข้อ 100 โจทย์ผิดชัด ๆ) แต่ภาษาไทยนี่สิ... อ่าน-ฟัง-เขียน ไม่มีตัวเลือกสักข้อ ซีดเลย~ ยิ่งตอนที่ให้เขียนบทความนี่... เขียนอะไรก็ไม่รู้ที่นึกได้เกี่ยวกับหัวข้อที่ให้ไป โดยไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถทางภาษาไทยแม้แต่น้อย

ส่วนสอบคอมพิวเตอร์ ที่แต่ละคนต่างสงสัยกันว่าสอบยังไง... ปรากฏว่าข้อสอบนี่หลากหลายสุด ๆ... มาตอนแรกก็ถามวิธีใช้ Windows, Microsoft Office ทั่ว ๆ ไป พื้นฐานบ้าง [advanced] ขึ้นหน่อยบ้าง มากลาง ๆ เริ่มถามเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เน็ตเวิร์ค ฮาร์ดแวร์ จนถึงข้อ 80 กว่า ๆ (เต็ม 100) นี่เป็นเนื้อหาวิชาคอมพิวเตอร์ตอน ม.4-5 (ที่ลืมไปหมดแล้ว) ซะงั้น ทั้งเรื่องภาษา ระบบจัดการข้อมูล เล่นเอามึนไปเลย

เอาเถอะ... ถือว่าสอบขำ ๆ นี่เรายังห่างไกลการเรียนจบกว่าคนอื่นอีกกี่เท่าไม่รู้ (เอ๊ะ แต่ผลสอบนี่มันลง transcript หรือเปล่านะ~ แย่แล้ว...)

รักแห่งสยาม

ทีแรกกะว่าเอาเป็นหัวข้อ blog post นี้ดูจะตามแฟชั่นเค้าหน่อย แต่อย่าเลย ไม่ได้มีอะไรจะพูดถึงเท่าไร

ก็เป็นว่า วันนี้ยังไงก็รอพ่อแม่มารับ แล้วก็ไม่อยากเสี่ยงรอถึงปลายเดือน (ความจริงความอดทนไม่มี) หลังสอบว่าง ๆ... อยู่แถวนั้นด้วย ก็เลยตัดสินใจไปดูมันเปลี่ยว ๆ คนเดียวนี่แหละ (ไม่รู้จะชวนใคร - เหมือนคนที่กะจะดูก็ดูกันหมดแล้ว)

ก็เหมือนเดิมแหละนะ วิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ไม่เป็น แต่ความรู้สึกที่ไปดูมาก็ว่า satisfying ดีมาก ๆ ถึงแม้จะมีประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่มากพอควรเลยทีเดียว (ความจริงดูหนังก็ไม่ค่อยจะเคยเข้าใจอะไรทันอยู่แล้ว)

แต่โรงหนังก็ยังเสียงดัง... มาก... แถมหนาวสุด ๆ อีก (น่ะนะ ก็ไม่ได้วางแผนอะไรก่อนไปดูเลยแม้แต่น้อย)

สรุป: ดี ๆ... ต้องรอทดสอบว่าถ้าดูซ้ำ (ไม่ดูในโรงหรอก) แล้วจะยังอยากดูรอบ 3 อีกหรือเปล่า...


มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่านะ... นึกไม่ออกละ จบแค่นี้แล้วกัน สวัสดีครับ

9 June 2005

มหา'ลัยเหมืองแร่

วันก่อน (วันเสาร์ที่แล้ว) หลังห้องเชียร์, สันท์, ประชุมงาน present เราก็หลวมตัวไปดูหนังกับพิเชฐ ไผ่ ต้อง เจน อ๊อก

ไม่มีอะไรหรอก~ แต่บอกใครก็มีแต่คนแปลกใจ (ท็อปถามว่า "ลมอะไรพัดไปเนี่ย") แต่ที่สุดยอดคือ...

เข้าดรงไป... เดินขึ้นบันไดหันมา เห็นโลโก้ DPrompt สีแดง ๆ แว้บนึงแล้วก็หายไป หนังเริ่มฉายพอดี! ไม่มีใครกะเวลาได้สุดยอดเท่านี้อีกแล้ว...

หนังก็... เราว่าก็ดีนะ แต่ที่จริงเราก็เป็นพวกแบบวิจารณ์หนังอะไรดีไม่ดีไม่เป็นอยู่แล้ว... - -