23 December 2007

Democracy: What does it mean to you?

เอาล่ะครับ... ก็เป็นฤกษ์อันเหมาะสมที่จะบ่นเรื่องการเมืองการปกครองอีกสักครั้ง... (ที่จริงแอบแก้วันที่ post ให้ย้อนหลังไปเล็กน้อย)

ความจริงจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะผมก็ยังเอือมระอาและไม่อยากสนใจการเมือง อย่างที่เคยบอกใน My (long-belated) take on politics อยู่นั่นแหละครับ

เรื่องที่ดูน่าคุยกว่าหน่อยน่าจะเป็นรัฐศาสตร์มากกว่า...

อืมม... แต่ถึงผมจะบ่นว่าเบื่อ เกลียด ไม่อยากยุ่งกับการเมืองยังไง วันนี้ผมก็ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนะครับ (แล้วก็ไม่ได้กาช่องงดออกเสียง) (ถึงแม้จะลืมไปเลือกสมาชิกสภาเทศบาลก็ตาม)

แต่ว่าที่ไปเลือกนั้น จะว่าทำด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยอันแรงกล้าใด ๆ นั้น หามิได้แล้วล่ะครับ

ตอนนี้ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับผม เป็นเพียงหน้าที่ที่ยอมทำในฐานะที่อยู่ในสังคมที่เชื่อและยึดมันเป็นหลักในการปกครองเท่านั้นเอง

ประเด็นนี้ ส่วนใหญ่ก็พูดถึงแล้วใน post ที่อ้างถึงข้างต้น... จะพยายามไม่พูดซ้ำแล้วกัน...


เรามาดูคำถามประจำวันนี้ที่ผมอยากจะตั้งกันดีกว่าครับ

สำหรับคุณ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

ผมเข้าใจว่าสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย และสำหรับหลาย ๆ ฝ่ายในประเทศตอนนี้ ประชาธิปไตยหมายถึงการเลือกตั้ง เพื่อแสดงเสียงข้างมากของประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาล

แต่จากมุมมองที่เป็นสากลกว่านี้หน่อย ประชาธิปไตย คงหมายถึงการรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ

สำหรับชาวตะวันตกจำนวนมาก เสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น เป็นแกนหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย ที่จะขาดไม่ได้

ในขณะที่ ณ ที่อื่นในโลก มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะบ่อนทำลายประชาธิปไตยในแบบที่ถือกันอยู่

สำหรับบางคนในอิรัก ประชาธิปไตยอาจเป็นคำคำหนึ่งที่มีใครก็ไม่รู้พยายามยัดเยียดให้ พร้อม ๆ กับทำให้ชีวิตของเขาพังทลายไป

แต่ก็น่าเชื่อว่า สำหรับอีกหลายคน การได้มาซึ่งประชาธิปไตย หมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริง ๆ


สำหรับผมตอนนี้ คำว่าประชาธิปไตย เหมือนเป็นแฟชั่นที่ใคร ๆ ต่างก็พยายามจะอ้างถึง โดยที่ลึก ๆ แล้ว จะมีสักกี่คนที่เข้าใจหลักการและความหมายที่แท้จริง ก็ไม่ทราบ

ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ ว่าตกลงประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นควรจะหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้อยากจะพูดถึงคำตอบแรกที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งของ กกต.ผ่านทางโทรทัศน์ พอได้ยินท่อนสุดท้ายในเพลงประกอบที่ว่า "เข้าคูหากากบาทสร้างประชาธิปไตย" ผมก็อดสงสัยไม่ได้ครับ ว่ากากบาทมันมีความวิเศษอะไรที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาได้

แต่นอกจากประเด็นที่ว่าข้อความดังกล่าวอาจจะส่งเสริมให้คนมองประชาธิปไตยผิวเผินแค่การเลือกตั้งนั้น ก็คงเถียงไม่ได้หรอกครับ เพราะการเลือกตั้งมันก็เป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยที่เราถือกันอยู่จริง ๆ

และก็คงเป็นอย่างที่พี่ก้อนอ้างถึงคำกล่าวว่า การโหวต ก็เหมือนเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นนั่นแหละครับ

ผมแค่ไม่อยากให้มันจำเป็นอย่างที่ว่า

เพราะหลักการยึดเสียงข้างมาก นอกจากจะดูขัดกับหลักความเท่าเทียมของบุคคล อย่างที่ผมกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองความสัมพันธ์แบบ lose-win อย่างชัดเจน

Lose-win ก็คือ ไม่เธอก็ฉันคนใดคนหนึ่งจะต้องแพ้ อีกคนถึงจะชนะได้

ไม่เป็นการคิดแบบ win-win ที่จะเป็นการหาทางออกที่ดีที่สุดที่จะเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

การหาคำตอบด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างเดียว จึงสื่อให้เห็นถึงความไม่สามารถที่จะสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้

และถึงแม้ว่าความไม่สามารถสื่อสารกันนั้น จะเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่โตในสังคมที่เราอาศัยอยู่ และคงจะทำให้ voting เป็น necessary evil จริง ๆ นั้น

อย่างน้อย... อย่างน้อยในชีวิตประจำวัน... ถ้าเราต่างพยายามเริ่มด้วยการ พูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ก็น่าจะทำให้เกิดอะไรดี ๆ ขึ้นได้?


แล้วสำหรับคุณล่ะครับ ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร?

1 December 2007

1 December 2007

วันนี้ (วันที่ 1 ตอนเริ่มเขียน) มีเรื่องให้กล่าวถึงหลายเรื่องทีเดียว... ก็เลยจะขอแยกพูดถึงเป็นหัวข้อ ๆ แล้วกันนะครับ

World AIDS Day 2007

บางคนอาจจะสังเกต ว่าปีที่ผ่าน ๆ มาผมจะติดริบบิ้นสีแดงในสัปดาห์ก่อนวันเอดส์โลก (1 ธันวาคม) จนเกือบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่วนบุคคลอย่างหนึ่งไปแล้ว ซึ่งปีนี้อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการประชาสัมพันธ์วันเอดส์โลกที่จะมาถึงอย่างได้ผลระดับหนึ่ง เพราะเกือบทุกคนที่เจอหน้ากันสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนถามว่าติดทำไม (สำเร็จ... 55+)

เรื่องความเข้าใจ เห็นใจผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อ HIV นี้ ผมเคยพูดกับเพื่อน ๆ อยู่หลายครั้ง ว่าการจะแก้ stigma เปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อของสังคมนั้นมันยากแค่ไหน ขนาดเราเองที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่เรียนอยู่โดยตรง ถึงจะรู้ดีแค่ไหน ก็ยังกลัว ยังหวาดจนเกินความพอดีอยู่ไม่น้อย เวลาที่ทำงานกับผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV

ช่วงเดือนที่แล้ว ผมและเพื่อน ๆ ในกลุ่มได้ปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยวชิราวุธล่าง ซึ่งก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV จำนวนไม่น้อย (เกือบ 50% ในบางช่วง) และในการปฏิบัติงานนั้นก็มีการทำหัตถการที่ต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมพบคือ ความกลัวที่ว่านั้น พอทำงานไปพักหนึ่งมันเริ่มชิน เริ่มลืมที่จะกลัวครับ (จนบางครั้งก็ยังต้องคอยเตือนตัวเองเรื่อง precaution อยู่) พอความกลัวเริ่มลดลง ก็เริ่มมีที่ให้กับความเห็นอกเห็นใจ และที่สำคัญ คือความหวัง ที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องตายสถานเดียวเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จะมีโอกาสดำรงชีวิตที่มีคุณภาพได้ในสังคม

แต่ [keyword] ก็คือสังคมนั่นเอง

ช่วยกันนะครับ ทุกคน

(ที่ว่ามาว่าการรักษามันดีขึ้น ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ความป้องกันสำคัญน้อยลงนะครับ ในทางตรงข้าม การตระหนักถึงอันตรายนี้เป็นสิ่งที่สังคมเรากำลังสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว... ขอให้ช่วยกันอีกข้อ... นะครับ)

ป.ล. ทีแรกว่าจะพูดถึง compulsory license ด้วย... แต่ขี้เกียจละ

สอบภาษาอังกฤษ (CU-TEP) ภาษาไทย คอมพิวเตอร์ สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 4

คณะเราส่วนเอนทรานซ์+โอลิมปิกวิชาการ ก็มีอยู่เกือบร้อยเก้าสิบคน สมัครมาสิบกว่าคน ปรากฏว่าไปสอบกัน 5 คน - -'... แต่ก็ได้มาเจอเพื่อน ๆ โครงการกับพี่นิวแทรคที่โดนบังคับ (?) มาสอบ

สอบครั้งนี้สอบที่อาคารจุฬาพัฒน์ 4 ห้อง 421 ทีแรกก็เอ๋อไปเหมือนกัน ว่า จุฬาพัฒน์นี่มันอยู่ส่วนไหนของจุฬาฯ เนี่ย เปิดไปเปิดมาปรากฏว่ามันคือห้องเรียนวิชา Human Relations ตอนปี 1 นั่นเอง ก็เลยได้ไปทานข้าววิทย์กีฬารำลึกความหลังเมื่อยังเยาว์วัย (ทำไมมันเหมือนน้านนนน นานมาแล้วนะ?)

พูดถึง... เพิ่งได้มีโอกาสอ่านป้ายตรงสวนหินอ่อนหน้าอาคารจุฬาพัฒน์ 7 (สำนักงานสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา)

นึก ๆ ดูก็ขำอยู่หน่อย... ตอนไปโรมเห็นเค้ามีของแบบนี้ที่เก่าสองพันปี ของเราเก่าร้อยปี

สอบ ก็... CU-TEP ก็ไม่มีอะไร เรื่อย ๆ (แต่ข้อ 100 โจทย์ผิดชัด ๆ) แต่ภาษาไทยนี่สิ... อ่าน-ฟัง-เขียน ไม่มีตัวเลือกสักข้อ ซีดเลย~ ยิ่งตอนที่ให้เขียนบทความนี่... เขียนอะไรก็ไม่รู้ที่นึกได้เกี่ยวกับหัวข้อที่ให้ไป โดยไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถทางภาษาไทยแม้แต่น้อย

ส่วนสอบคอมพิวเตอร์ ที่แต่ละคนต่างสงสัยกันว่าสอบยังไง... ปรากฏว่าข้อสอบนี่หลากหลายสุด ๆ... มาตอนแรกก็ถามวิธีใช้ Windows, Microsoft Office ทั่ว ๆ ไป พื้นฐานบ้าง [advanced] ขึ้นหน่อยบ้าง มากลาง ๆ เริ่มถามเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เน็ตเวิร์ค ฮาร์ดแวร์ จนถึงข้อ 80 กว่า ๆ (เต็ม 100) นี่เป็นเนื้อหาวิชาคอมพิวเตอร์ตอน ม.4-5 (ที่ลืมไปหมดแล้ว) ซะงั้น ทั้งเรื่องภาษา ระบบจัดการข้อมูล เล่นเอามึนไปเลย

เอาเถอะ... ถือว่าสอบขำ ๆ นี่เรายังห่างไกลการเรียนจบกว่าคนอื่นอีกกี่เท่าไม่รู้ (เอ๊ะ แต่ผลสอบนี่มันลง transcript หรือเปล่านะ~ แย่แล้ว...)

รักแห่งสยาม

ทีแรกกะว่าเอาเป็นหัวข้อ blog post นี้ดูจะตามแฟชั่นเค้าหน่อย แต่อย่าเลย ไม่ได้มีอะไรจะพูดถึงเท่าไร

ก็เป็นว่า วันนี้ยังไงก็รอพ่อแม่มารับ แล้วก็ไม่อยากเสี่ยงรอถึงปลายเดือน (ความจริงความอดทนไม่มี) หลังสอบว่าง ๆ... อยู่แถวนั้นด้วย ก็เลยตัดสินใจไปดูมันเปลี่ยว ๆ คนเดียวนี่แหละ (ไม่รู้จะชวนใคร - เหมือนคนที่กะจะดูก็ดูกันหมดแล้ว)

ก็เหมือนเดิมแหละนะ วิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ไม่เป็น แต่ความรู้สึกที่ไปดูมาก็ว่า satisfying ดีมาก ๆ ถึงแม้จะมีประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่มากพอควรเลยทีเดียว (ความจริงดูหนังก็ไม่ค่อยจะเคยเข้าใจอะไรทันอยู่แล้ว)

แต่โรงหนังก็ยังเสียงดัง... มาก... แถมหนาวสุด ๆ อีก (น่ะนะ ก็ไม่ได้วางแผนอะไรก่อนไปดูเลยแม้แต่น้อย)

สรุป: ดี ๆ... ต้องรอทดสอบว่าถ้าดูซ้ำ (ไม่ดูในโรงหรอก) แล้วจะยังอยากดูรอบ 3 อีกหรือเปล่า...


มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่านะ... นึกไม่ออกละ จบแค่นี้แล้วกัน สวัสดีครับ

25 November 2007

25 November 2007

วันนี้ไปดู Cats มา...

ก็สนุกดีนะ แต่ไม่ได้ถึงกับประทับใจอะไรมากเท่าไร (ที่จริงไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนแรกตั้งความคาดหวังไว้ว่าไงบ้าง) อาจจะกอปรกับความที่ที่นั่งไกล + งานค้างตรึม และอื่น ๆ ด้วยก็เป็นได้...

ดู ๆ ไปแล้วรู้สึกต้องใช้ความพยายามอย่างสูงที่จะบังคับไม่ให้ไปมองไอ้จอคำบรรยายข้าง ๆ... แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนว่าความพยายามที่จะฟังให้ออกมันทำให้เสียอรรถรสในการชมไปอีกส่วนเหมือนกัน (อันที่จริงจะไปเพ่งขนาดนั้นทำไมก็ไม่รู้)

ตอนนี้อยากดูรักแห่งสยาม... แต่จะได้ดูไหมเนี่ย... วันที่ 1 มีสอบวัดความรู้พื้นฐานของ ATC, สอบ long case วันอังคารที่ 4 แล้วก็ยังไม่ได้ present case morning round หรือ advisor round เลยสักครั้ง... สงสัยต้องลุ้นให้กระแสแรง ๆ ให้อยู่ถึง 4 สัปดาห์... (ถึงตอนนั้นสงสัยชวนพ่อแม่ไปก็อาจจะจะไปดูกันมาแล้ว - -")

↑ ย่อหน้าข้างบนดูแปลก ๆ ตาเหมือนไม่น่าเป็นเรื่องที่จะเห็นพูดถึงใน blog นี้หรือเปล่าเนี่ย เอาเถอะ...

เมื่อวานซืน-เมื่อวาน ไปร่วมสัมมนาภาคอายุรศาสตร์มา... สุดท้ายแล้วก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมอาจารย์ถึงเรียกให้ไป... เอาเถอะ ไปดูอาจารย์หลาย ๆ ท่านร้องคาราโอเกะก็ถือว่าคุ้ม...

แถมช่วงนี้แลกเวรวุ่นไปหมด...

เฮ่อ... งานทับตายต่อไป~

20 October 2007

Moving again... back this time.

คิด ๆ ดูแล้วถ้าจะเป็นทาส evil empire ก็ขอเป็นทาส Google ดีกว่า... (ไง ๆ ก็เท่กว่า Microsoft อยู่หลาย)

+ WLS อืดเกิน... (ถึงจะดีขึ้นเยอะแล้วก็ตาม)
+ ไม่ได้ต้องการพวก social networking features ซึ่งรู้สึกว่า WLS เหมือนจะยัดเยียดให้ยังไงไม่รู้

ก็กลับมาใช้ที่นี่แล้วนะครับ...

(Readership หายไปเรื่อย ๆ...)

22 September 2007

My God, the irony...

*The reference to God in the title of this post is used purely as a figure of speech, and does not in any way reflect my personal beliefs, respect for any deity, or lack thereof.

2 September 2007

On the YouTube issue

คราวก่อนบอกว่าอีกนานแค่ไหนไม่ทราบ ต้องคอยลุ้นต่อไป ปรากฏว่าไม่ค่อยเห็นจะมีใครหลงเข้ามาอ่านหรือช่วยลุ้น แต่เอาเถอะครับ ถือว่าสถานการณ์ได้โอกาสประจวบเหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้แล้วกัน

อย่างที่หลาย ๆ ท่านอาจจะทราบ ว่าทาง MICT (เผลอจะคิดบ่อย ๆ ว่าย่อมาจาก Mandate for the Internet Censorship Taskforce) เลิกบล็อค YouTube แล้วตั้งแต่เมื่อวานซืน หลังจากที่ Google ตกลงเซ็นเซอร์คลิปวิดีโอบางเรื่อง ไม่ให้ผู้เข้าชมจากประเทศไทยสามารถรับชมได้

มองในแง่หนึ่ง ก็น่าจะเป็น [compromise] ที่แก้ปัญหาเบื้องหน้าได้ดีในระดับหนึ่งครับ เพราะอย่างที่ผมเคยแสดงความเห็นกับเพื่อน ๆ บางคน ว่าประเด็นปัญหานี้มันเกิดขึ้นมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม

กล่าวคือ เมื่อเนื้อหาบางอย่างเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ได้ในทั้งสองวัฒนธรรมที่กล่าวถึง ก็ไม่เกิดปัญหา จึงไม่มีใครมีปัญหากับคลิปแมวร้องเพลง และก็ไม่มีใครมีปัญหากับคลิปโป๊ที่ไม่มีอยู่บน YouTube

แต่เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์ไปเหยียบเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมเข้า จึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ที่ทำให้ [integrity] ของอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องถูกลิดรอนเพื่อรักษา [cultural identity] ของแต่ละฝั่งบนเส้นนั้นไว้

ซึ่งเส้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ว่าในกรณีดังกล่าว ก็คือ free speech vs respect for the King อย่างที่หลาย ๆ คนคงทราบ

มองตรงนี้ วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว ก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร...

ตราบที่ยอมรับได้ว่า หลักพื้นฐานของประชาธิปไตยบางข้อนั้นเข้าไม่ได้กับวัฒนธรรมไทย และรัฐจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อรักษาวัฒนธรรมนั้นไว้เหนือหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยดังกล่าว

แต่เงื่อนไขนี้ เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผมไม่ยินดีที่จะยอมรับเท่าไรครับ

สมัยที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เมื่อผมได้เปิดอ่านดูก็แปลกใจอยู่ครับ เพราะไม่เคยทราบว่าการที่ "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" นั้นเป็นเรื่องที่ต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อาจเพราะตอนนั้น ผมยังไม่ได้เข้าใจถึงลักษณะของระบอบการปกครองที่ต้องมีการ [adapt and modify] ให้เข้าได้กับวัฒนธรรมของประเทศต่าง ๆ ที่รับเอาระบอบการปกครองนั้นไปใช้ และการที่ว่าพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายนั้นก็มีเงื่อนไขรายละเอียดที่จำเพาะอยู่มาก

แต่ผมก็ยังอยากจะถามครับ ว่าจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องรักษาวัฒนธรรมเดิม ๆ นั้นไว้เหนือสิ่งอื่นใด ที่จะต้องกำหนดเอาไว้ในบทบัญญัติสูงสุดของประเทศ

ในเมื่อคนไทยทุกคนรักในหลวงอยู่แล้ว ทำไมถึงจะต้องกำหนดบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักพื้นฐานที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งของประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยล่ะครับ

ทุกวันนี้บทบัญญัติที่มีไว้เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าสิ่งอื่นใดครับ (อันที่จริงแล้วอาจจะรองจาก "ความมั่นคงของประเทศ" อยู่พอสมควร)

และหากคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง บทบัญญัตินั้นจะไปบังคับเขาได้ที่ไหนเล่าครับ

ทำไมล่ะครับ ถึงจะต้องปิดกั้นไม่ให้ผู้คนได้เห็นความเห็นของคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ที่ไม่ได้รักในหลวง ในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าคนไทยเราเทิดทูนพระมหากษัตริย์ขนาดไหน

หรือว่าคิดว่าคนไทยไม่ได้รักในหลวงจริง?

หรือว่าคิดว่าคนไทยจะโง่พอที่จะทำให้วิดีโอคลิปคลิปหนึ่งทำให้จิตวิญญาณของความเป็นไทยนั้นบอบช้ำไปได้?


................


ผมไม่เคยพูดครับว่าวัฒนธรรมไทยที่มีอยู่นั้นคร่ำครึล้าสมัย ควรที่จะเลิก ๆ ไปได้แล้ว

แต่กระแสโลกาภิวัตน์นั้น กำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม และคงยากครับ ที่จะหลีกเลี่ยง หรือตั้งกำแพงกีดขวางไว้ได้

ตอนนี้เราก็คงได้แต่เฝ้ามองครับ ว่าอะไรจะพังไปก่อนกัน

บนทั้งสองฝั่งของเส้นบาง ๆ ของสงครามความแตกต่างทางวัฒนธรรม

19 August 2007

My (long-belated) take on politics

เคยพูดไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับมุมมองทางการเมืองของผมมาหลายครั้ง หลายปี แต่ก็ไม่ได้ทำสักที จนมุมมองที่ว่านั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว...

เอาเถอะ มาเริ่มด้วยเรื่องราวของวันนี้ก่อนแล้วกันครับ...

ด้วยความที่ดักดานอยู่บนวอร์ดมาหลายเพลา ก็แทบจะไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองหรือแม้กระทั่งรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติแต่อย่างใด (ถึงจะอยู่แค่ศัลย์-สูติก็เถอะ) ผมจึงรู้สึกว่ายังมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจไม่เพียงพอ

สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปลงคะแนนมันซะเลย

เพราะรู้สึกว่าการให้ประชาชนไปลงมติรับ/ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับคุมถังชนนี่มันดูน่าขันอยู่ เหมือนจะต้องการให้การลงประชามติเป็นการสร้างคำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาได้ แล้วคนจัดก็ไม่ใช่ใครนอกจากกลุ่มบุคคลที่เอารถถังแล่นเข้าเมืองหลวงแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปเมื่อไม่นานมานี้

ถึงการไปลงคะแนน ไม่รับ จะเป็นการแสดงออกถึงทัศนคตินี้ได้ในบางส่วน แต่ผมก็รู้สึกว่ายังนับเป็นการมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างภาพประชาธิปไตยนี้อยู่ดี กอปรกับการที่ยังมองการณ์ในภาพรวมได้ไม่ดีนัก และความค่อนข้างเบื่อและเอือมระอาเต็มที จึงนำไปสู่การตัดสินใจดังกล่าว


ดูจะขัดกับแนวคิดความมีส่วนร่วมของประชาชนที่ผมเองก็เคยพูดถึงหรือเปล่าครับ

อย่างที่เคยเล่าให้บางคนฟังในช่วงที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วครับ ว่าประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่

เพราะหลักการบางอย่างที่ผมเคยมั่นใจอยู่เดิม เช่น Democracy ≠ Majoritarianism (ประชาธิปไตยไม่ใช่การให้อำนาจเหนือกว่าแก่คนส่วนใหญ่) เมื่อคิดดูแล้ว มันทำให้เกิดความขัดแย้งบางอย่าง

หลักการที่สำคัญของประชาธิปไตยอย่างหนึ่งคือ majority rule ควบคู่กับ minority rights หรือการปกครองโดยเสียงข้างมาก โดยในขณะเดียวกันต้องมีการรับรองสิทธิของประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ซึ่งหลักการให้อำนาจตัดสินใจแก่เสียงส่วนมากนั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนมากกว่า 1 คนไม่สามารถมีความเห็นพ้องต้องกันได้ตลอดเวลา

แต่ขณะเดียวกัน เสาหลักของประชาธิปไตยข้อนี้เอง ก็ขัดกับอุดมการณ์สูงสุดที่ให้ความเท่าเทียมแก่บุคคล

เพราะถึงแม้จะมีการรับรองสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน ก็เท่ากับว่ายอมรับว่ารัฐบาล (คือเสียงข้างมาก) สามารถให้ผลประโยชน์ หรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ในส่วนที่นอกเหนือจากสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่รับรองไว้โดยหลักการของประชาธิปไตยนี้ได้ โดยไม่เท่าเทียมกัน

ที่สุดแล้วผมจึงต้องสรุปว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่อุดมการณ์ที่สามารถมีได้อย่างสมเหตุสมผลในโลกอุดมคติ

(ลองเทียบกับหลักเผด็จการ ซึ่งถึงแม้จะยอมรับได้ยากในเชิง [normative] แต่ก็ [perfectly logical] เพราะไม่มีอะไรขัดแย้งกับผู้นำคนเดียวนั้นได้)

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะผมเองก็พูดอยู่เสมอว่าโลกไม่ใช่ตาชั่ง และไม่มีความยุติธรรมบนโลกนี้ ประชาธิปไตยก็เป็นเพียงแต่ระบอบการปกครองที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกปัจจุบัน ไม่เคยมีใครบอกว่าจะหาที่ติไม่ได้

แต่พอมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ดูซับซ้อนขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่ทราบว่าจะเชื่ออะไร จะยึดอะไรเป็นหลักในการตัดสินใจอีกต่อไป...


อันที่จริง เรื่องที่ว่าเคยบอกว่าจะพูดถึงมาเป็นปีแล้ว คือข้อติที่ว่า "เยาวชนสมัยนี้ไม่มีความกระตือรือร้น ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง" ซึ่งได้ยินมาเป็นสิบปีแล้ว และปัจจุบันนี้ก็ยังได้ยินอยู่

ผมไม่ทราบเกี่ยวกับสภาพสังคมหรอกครับ ผมไม่ทราบว่าข้อความข้างต้นนั้นจริงแค่ไหน แต่สำหรับตัวผมเอง ผมมีความเชื่อสูงสุดเกี่ยวกับการเมืองว่า

การเมืองเป็นเรื่องสกปรก

และไม่มีทางที่ใครที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจะผ่านพ้นออกมาได้โดยไม่แปดเปื้อน แค่นี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผมไม่อยากจะสนใจหรือมีส่วนร่วมในสถานการณ์ความเป็นไปทางการเมือง (นอกจากแสดงความเห็นส่วนตัวเงียบ ๆ ไปวัน ๆ) ได้เหลือเฟือแล้วครับ

ใช่ครับ... ขัดกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างที่ Pericles กล่าวถึงการปกครองของนครรัฐเอเธนส์ไว้ว่า

We alone regard a man who takes no interest in public affairs not as harmless, but as a useless character.

แต่ ณ ปัจจุบัน ผมเองค่อนข้างจะพอใจที่จะเป็นคนไร้ประโยชน์ และไม่เป็นอันตราย ไม่ใช่ต่อสังคม แต่ต่อตัวเองครับ อาจจะเพราะสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าต้องดิ้นรนต่อสู้ และมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้ แต่หน้าที่ที่จะทำให้ตนเองมีประโยชน์ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น สำหรับผมตอนนี้ มันยังไม่คุ้มกับความเสี่ยง และความสกปรก ที่จะติดตัวมา

และผมยังเชื่อครับว่า การเมืองเป็นคำสาปของมนุษยชาติ

เพราะถึงแม้ผมจะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรกเพียงใด เป็นสิ่งบั่นทอนความเจริญเพียงใด มันก็เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในสันดานของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มมีวัฒนธรรม และไม่มีทางที่จะหลีกหนีไปได้ ตามที่ Aristotle เคยกล่าวว่า

Man is by nature a political animal.

วันหลัง (อีกนานแค่ไหนไม่ทราบ) อาจจะเขียนเรื่อง The YouTube issue ต่อ ต้องคอยลุ้นต่อไป...

18 July 2007

แล้วพรุ่งนี้?

เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ขณะเดินไปรถไฟฟ้าสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมได้ยินเพลง "พ่อแห่งแผ่นดิน" ที่เปิดขึ้นจอตรงบริเวณ Victory Point ก็พลันเกิดรู้สึกใจหายวาบ สับสนบอกไม่ถูก และรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มจะคลอ

ส่วนหนึ่งจะว่าน้ำตานั้นเกิดจากความตื้นตันในเนื้อหาของเพลง ก็อาจเป็นได้ แต่สิ่งที่ปรากฏในความคิดขณะนั้นมันน่าเศร้า และมืดมนกว่ามาก

ก็เพราะเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่ว่า

ไทยทั้งผองภูมิใจ ไทยเป็นไทยจนวันนี้ เพราะองค์ภูมิพลที่ คุ้มครองไทย

เมื่อคิดตามและประจักษ์กับความจริงข้อนี้ คำถามถัดมาที่เกิดขึ้นทันทีในใจก็คือ

แล้วเมื่อผ่านพ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแล้ว ไทย จะยังเหลือเป็นอะไรอยู่ได้อีก เมื่อไม่มีใครคุ้มครอง?

3 June 2007

Google search ภาษาไทยได้แล้ว?!

กรี๊ด~ ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไร... ไม่ทันสังเกต

ป.ล. ดูเหมือนว่าจะสองสัปดาห์มาแล้ว - -'

27 May 2007

ดั่งความฝัน...

I dreamed I was a butterfly, flitting around in the sky; then I awoke. Now I wonder: Am I a man who dreamt of being a butterfly, or am I a butterfly dreaming that I am a man? - Chuang Tzu

เสาร์อาทิตย์กับสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกราวกับเป็นคนละชีวิต... ราวกับก้าวผ่านกระจกมาจากโลกแห่งความฝัน... เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยพบมาก่อนจริง ๆ

17 May 2007

4 May 2007

Facebook wins | Italia 2007

เอาล่ะ... จากที่คราวที่แล้วว่าจะไม่อัพรูป แต่ด้วยความเห็นแก่คนที่มาคะยั้นคะยอ (เวอร์ ความจริงมีคนบอกอยู่สองคน) ก็เลยอัพโหลดไว้ที่ Facebook นะครับ (เล่าเรื่องที่พูดถึงอยู่ในโพสท์ที่แล้วหน่อยก็ได้ ก็คือ เราคิดอยู่ว่าจะอัพโหลดรูปที่ไหนดี ที่่จะไม่ได้ต้องการโฆษณาให้โลกได้รับรู้ ซึ่งมันก็ไม่ลงตัวสักอย่าง เพราะไม่ว่าจะเลือกที่ไหน ก็ต้องให้คนที่จะดูสมัครสมาชิกแล้ว verify ความเป็นคนรู้จักอีกหลายขั้นตอน จะใช้ที่นี่ ซึ่งอนุญาตตาม messenger allow list ได้ ก็ไม่โออีก เพราะบล็อกไม่ได้เขียนแบบส่วนตัว แล้ว allow list ก็มีใครไม่รู้เต็มไปหมดอยู่ดี) คนที่ไม่มี account และขี้เกียจสมัครก็ติดต่อถามมาโดยตรงได้นะครับ ยังสามารถเข้าดูได้อยู่...

ไหน ๆ ก็แล้ว เล่าถึงที่ไปเที่ยวมาย้อนหลังสักนิดนึงละกัน...

  • แพง มาก
  • ไปเที่ยวแบบ educational สุด ๆ เข้าพิพิธภัณฑ์จน lost track ว่าเข้าไปกี่แห่ง
    (ความจริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มีตั๋วอย่างอื่นปนมาด้วยนิดหน่อย)
  • เอากระเป๋าตังก์เปล่าไปหลอกคนล้วงกระเป๋าตั้งเยอะ ไม่ขโมยไปสักใบ
  • Graffiti เต็มเมือง... ไม่น่าดูน่าอยู่เลย โดยเฉพาะโรม ขึ้นรถไฟบางขบวนนี่มองออกไปข้างนอกไม่เห็น เพราะพ่นหมด
  • Raffaello สุดยอด...
  • คนอิตาลีนี่ไม่ง้อนักท่องเที่ยวเลยสักกะติ๊ด คงรู้ดีว่ายังไงคนก็แห่กันมา
  • ไปร้านไอศกรีมที่เขาว่าอร่อยที่สุดในโลกมาด้วยนะ
  • นั่งเครื่องบินกลับ ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณสวยสุด ๆ

20 April 2007

Web 2.0: Neither personal nor private

แจ้งให้ทราบก่อนว่ากลับมาตั้งแต่เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้ว...................

นั่งคิดไปพิมพ์มาครึ่งชั่วโมง ปรากฏว่าขัดแย้งในตัวเองอีกแล้ว เรื่องที่จะบ่นนั้นเป็นอันตกไป

แต่แก่นประเด็นหลักก็ยังจริงอยู่แหละ ว่าแนวโน้มของ Web 2.0 ที่จะให้ share & connect อย่างไร้ขอบเขตมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทำให้พื้นที่สำหรับคนที่อยากใช้บริการออนไลน์เหล่านี้โดยจำกัดอยู่ในกรอบแคบ ๆ แบบเดิมนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ

(ความจริงเนื้อหาที่พิมพ์ไปตอนแรกมีอธิบายด้วย ว่าทำไมถึงไม่ได้อัพโหลดรูปที่ไปเที่ยว เอาเป็นสรุปว่า ไม่รู้จะอัพที่ไหนดีก็เลยเปลี่ยนใจไม่อัพมันแล้ว)

11 April 2007

Greetings from Firenze!

See you back in Thailand! (10 minutes : 1 Euro)

ป.ล. พิมพ์ผิด: 1 ยูโร ไม่ใช่ 10

Note: Photo is © 2007 my dad

3 April 2007

2 April 2007

#Away...

จะไม่อยู่ในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 3-15 เม.ย. นะครับ

โอกาสที่จะเช็คอีเมลก่อนกลับมาค่อนข้างน้อย

ถ้ามีเรื่องด่วน กรุณาติดต่อผ่านสถานทูตไทย ณ กรุงโรม โทรศัพท์ 39 (06) 8622-051 ครับ

That's all well, but where's Beijing? (or New Delhi?)

Or Bangkok, for that matter?

ที่จริงก็น่าสนใจอยู่ว่าหลังจากที่เห็นมติชนโปรโมตโฆษณา An Inconvenient Truth ฉบับแปลซะครึกโครมที่งานหนังสือฯ จะทำให้คนให้ความสนใจกันมากขึ้นอย่างไรหรือเปล่า...

1 April 2007

Notes from the Book Fair

  • คนเยอะ มาก
  • Artemis Fowl ภาษาไทยเขียนชื่อคนแต่งถูกสักที (เพิ่งเล่ม 5 เอง)
  • เอ... นึกว่าถ่ายรูปป้ายที่รถไฟฟ้าใต้ดินมาแล้วนะ สงสัยเผลอลบไป ช่างมันก็ได้
    • คิดอีกทีแล้วไม่ช่างดีกว่า จะพูดถึงไอ้ป้ายที่บอกว่า คนที่มางานที่ศูนย์ประชุมฯ แล้วจะกลับโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ต้องรบกวนตรวจกระเป๋าอีกครั้ง <-- จะบอกเพื่อ? แล้วคนที่มาทำอย่างอื่นไม่ต้องตรวจรึไง

29 March 2007

Third post of the day

แหม่ ขอหน่อยเถอะ นาน ๆ ทีจะอารมณ์ขึ้นแบบนี้ (โพสท์ก่อนหน้านั่นจิ้มไว้ใน PPC ตั้งแต่กลางวันแล้ว แต่ไม่ได้โพสท์เลย (EDGE - แพง) เลยเพิ่งจะได้โพสท์

ไล่เป็นเรื่อง ๆ เลยละกัน

เรื่องที่ 1: ผมได้ทราบแล้วว่าไอ้ติ่งตรงกลอนลูกบิดประตูนี่มันมีไว้ทำไม

ผมได้ประจักษ์กับความจริงข้อนี้มา 2-3 วันแล้ว หลังจากที่สงสัยมานับสิบปี แต่เพิ่งจะได้มีโอกาสหารูปประกอบมาลง

ไอ้ติ่งที่ขีดสีแดง ๆ ไว้เนี่ยครับ... ผมสงสัยมาตั้งแต่แถว ๆ ป.2 (เดา) แล้ว ว่ามันมีไว้ทำไม

ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ว่า ก็กดเล่นอยู่บ่อย ๆ ก็ตั้งแต่จำความได้ก็รู้อยู่ว่าถ้าไอ้ติ่งนั่นถูกกด ตัวกลอนอันใหญ่มันจะดันเข้าไม่ได้

(ที่จริงรู้แค่นี้ก็น่าจะรู้คำตอบแล้วเนอะ คงเป็นเพราะความไม่เฉลียวเองน่ะแหละ ที่ทำให้มองไม่เห็นมาเป็นสิบปี)

คำตอบก็คือ เค้าทำเพื่อไม่ให้มันเป็นแบบประตูห้องแผนกวิเทศสัมพันธ์ (ห้องประชุม สพจ.เดิม) นั่นเองครับ

สังเกตนะครับ... ติ่งที่ว่านั่นมันหายไป

(ที่จริงไม่ควรจะพูดต่อหรือเปล่า... เดี๋ยวจะ [compromise] ความปลอดภัยของห้องเค้า) เอาเป็นว่าคงเดาได้นะครับว่ากลอนประตูนี้มันมีความพิเศษยังไง

เรื่องที่ 2: ยังอีกตั้ง 2 วันกว่าจะครบวาระ โดนปลดจากบอร์ดซะแล้ว...

ภาพประกอบ

เรื่องที่ 3: ไปปากเกร็ด เดินสะพานพระรามสี่มา

อืม เห็นวิวเกาะเกร็ดกับเจดีย์เอียงวัดปรมัยยิกาวาสชัดเจนทีเดียว (คือ... ข้ามสะพานไปแล้วก็เดินกลับ... พิลึกคน)

แล้วก็ได้พบว่า Tesco Lotus มาเปิดตลาดโลตัสสาขาปากเกร็ดอยู่ตรงข้ามตลาดปากเกร็ด!

เดี๋ยวนี้นี่กะเจาะตลาดกันถึงขั้นนั้นเชียว...

จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้น่าแปลกอะไรเท่าไร แต่ที่แปลกใจคือ

1.

มันมี Oriental Princess มาเปิด

และ 2.

มี B2S ด้วย~!

สงสัยเราจะยึดติดกับภาพเดิม ๆ ไปหน่อย... เห็นทีแรกถึงกับตกใจพอควรทีเดียว

เรื่องที่ 4: เปิดตัวปก Deathly Hallows แล้ว

ซึ่งก็ได้บ่นกับบางคนตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละ ว่าเพิ่งสังเกตว่า 21 ก.ค. เป็นสัปดาห์ก่อนสอบ


อืมม... คงหมดแล้วแหละมั้ง สำหรับเรื่องที่อยากจะพล่ามวันนี้

กระจกประตู

ผมเคยสงสัยอยู่ไม่น้อยครั้ง ว่าทำไมหลายคนถึงนิยมเอามือผลักประตูกระจกตรงที่เป็นกระจก แทนที่จะจับตรงราวจับของประตู

เพราะผลตามมาที่เห็นเด่นชัดอย่างหนึ่งก็คือ รอยมือที่ประทับอยู่บนกระจกนั่นเอง (เพื่อน ๆ กลุ่มสุขศึกษาตอน ม.6 อาจจะจำกันได้)

แต่อันที่จริงแล้วอย่าว่ากระนั้นเลย ผมเองถึงจะไม่ชอบรอยมือบนกระจกก็ไม่ค่อยจะได้ผลักตรงราวจับหรอกครับ จะดันตรงขอบประตูที่เป็นอะลูมิเนียมเสียมากกว่า

ที่มาพูดถึงก็เพราะวันนี้ผมเห็นแม่บ้านเช็ดกระจกประตูที่ห้องสมุด แล้วนึกอะไรขึ้นมาบางอย่าง

คือสังเกตว่าเวลาเช็ดประตู เราก็เช็ดแต่กระจก ส่วนอื่นจะได้เช็ดก็นาน ๆ ครั้ง

เหตุผลก็คงเพราะว่ากระจกมันเป็นรอยแล้วเห็นว่าไม่สวยงามนั่นแหละครับ

ซึ่งมันก็เป็นผลตามมาจากการเอามือผลักตรงกระจกอย่างที่ว่า

แล้วตกลงทำไมเราถึงไม่นิยมจับตรงราวจับกัน?

เพราะว่าเราไม่ชอบใช้อะไรตามที่ออกแบบมาหรือเปล่า? หรือว่าจะเป็นเพราะเราไม่อยากสัมผัสขี้มือคนอื่นที่จับราวจับนั้นมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน โดยที่ราวจับนั้นก็ (แทบจะ) ไม่เคยเช็ดเลย?

อืม พยายามหลีกเลี่ยงดีกว่า ผลักตรงกระจกเนี่ยแหละ สะอาดกว่า ยังไงก็มีคนเช็ดอยู่ทุกวัน...

เห็นอะไรไหมครับ

เหมือนอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่เราคอยแต่จะแก้ไขผลจากสิ่งที่ทำไว้ไม่ถูก แล้วการทำอย่างนั้นก็กลับกลายเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมผิด ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ

ขณะที่คนที่จับตรงราวจับ ก็ได้สัมผัสแต่ขี้มือเก่า ๆ ของคนอื่นต่อไป

เพราะทำอะไรตามกติกาแล้วมันไม่ทิ้งความไม่น่าดูเอาไว้ให้เห็น ให้เช็ด ให้สังคมช่วยรับผิดชอบ


อืมม... ความจริงผมอาจจะคิดลึกไปก็ได้ แต่ถึงคนที่ผลักตรงกระจกจะทำด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าพื้นที่มันเยอะกว่า มันก็ยังสะท้อนให้เห็นอยู่ดี ว่าเราไม่เช็ดประตูส่วนที่มีไว้จับ จะได้เช็ดกันก็แต่ส่วนที่ถ้าทำตามกติกาแล้วไม่ควรจะต้องเช็ด (บ่อย ๆ) เลยตั้งแต่แรกแล้ว

หูฟัง กับวัฒนธรรมโลกส่วนตัว

เมื่อเช้าขึ้นรถไฟฟ้า เห็นคนใส่หูฟังกันเกือบครึ่งได้มั้ง...

ที่จริงก็อาจจะไม่ขนาดนั้น แต่ก็นับว่าเยอะจนเป็นที่น่าสังเกตทีเดียว...

ที่น่าแปลกใจคือ ผมเพิ่งพบว่าแทบจะยังไม่มีงานวิจัยที่ทำเกี่ยวกับผลกระทบของการฟังเครื่องเ่ล่นเพลงดิจิทัลต่อการสูญเสียการได้ยินเลย

(ถ้ามีก็จะมาลง post นี้แล้วแหละ)

แต่คิด ๆ ดู... ก็น่าเป็นห่วงว่าวัฒนธรรมใหม่นี้มันเหมือนจะทำให้คนเรา พูดกันน้อยลง ฟังกันน้อยลง ได้อยู่นะเนี่ย...

(นึกถึง essay: The Age of iPod Politics โดย James Poniewozik ใน Time ฉบับเมื่อ 2 ปีกว่า ๆ มาแล้ว)

24 March 2007

ไหนว่าจะนอนอยู่บ้านไง

วันนี้เขานัดกันเป็น Shutdown Day...

ที่จริงตอนแรกก็กะจะร่วมด้วยอยู่หรอก แต่ติดว่าปิดคอมยังไม่ได้...

เพราะยัง ลงโปรแกรมหลังฟอร์แมต + จัดห้อง ไม่เสร็จ~

ก็แปลกดี... ทีแรกก็กะว่ากลับมาจากเกาะช้างจะอยู่บ้านทุกวันให้หายจากการดำเท่าเบิ้ล ไหงดันยังจัดห้องไม่เสร็จซะนี่

ก็ปรากฏว่า
  • วันศุกร์ไปประชุมส่งงานตอบปัญหาฯ แล้วเอาลำโพงไปซ่อม
  • วันเสาร์ไปดู The Queen กับป้า ก็ไม่อยู่บ้านเกือบทั้งวัน
  • วันอังคารไปช่วยเตรียม Text Fair กลับก็สี่ทุ่ม
  • วันพุธก็ไปนั่ง Text Fair ทั้งวัน
  • วันศุกร์ไป ComMart ไปเอาลำโพง แล้วแวะไปคณะ
เลยโดนไอซ์-ยอดยิ่งว่าเลย บอก "แน่ะ ชีพจรลงเท้าทุกวันนะ"

อะไรกันเนี่ย... เราวางแผนไว้ตรงกันข้ามเลยนะ~

หรือว่าจริง ๆ แล้วตัวเองอยู่บ้านแล้วแอบเหงา? เลยหาเรื่องให้ได้ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย?

จริงเหรอ? นิสัยเราไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เอ๊ะ หรือว่าไงกันแน่?

เป็น blind spot หรือ unknown area หรือเปล่าเนี่ย

22 March 2007

ลืมอีกแล้ว...

เมื่อวานลืมสนิทเลยว่าเป็น vernal equinox (ภาษาไทยเรียกวสันตวิษุวัตหรือเปล่านะ)... สงสัยอีกหน่อยจะลืมวันเกิดตัวเอง

18 March 2007

ปิดเทอม... เฮ้อ (เพ้อ)

นึก ๆ ดูแล้วก็โหวง ๆ เหมือนกัน ปิดเทอมไม่รู้อยากจะเอาเวลาไปทำอะไร (รู้สึกโดนคณะอื่นส่งสายตาอาฆาตมา) ไอ้คำว่าติดบ้านที่เคยบอก (ถึงจะโดนว่าไม่จริงก็ตาม) ก็ชักจะไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วรู้สึกยังไงอยู่...

เอ๊ะ นี่เราเพ้ออะไรเนี่ย เลิก ๆ ไปนอนดีกว่า...

16 March 2007

ค่าโง่รถไฟฟ้า

(บนรถไฟฟ้าใต้ดิน...)

จะตัดสินใจเลือกเส้นเดินทางทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพระรามเก้า ไปยังรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสนามเป้า (บัตร BTS หมดไปแล้ว)

จำค่าบัตรบีทีเอสไม่ได้ (ขึ้นราคาด้วย ) เลยโทรศัพท์ไปถาม BTS Hotline ปรากฏว่าสุทธิแล้ว ไปทางสวนจตุจักร 45 บาท ไปทางอโศก 47 บาท

แต่เสียค่าโทรศัพท์ไป 2 บาท! ขาดทุนซะงั้น...

(ที่ขาดทุนเพราะก่อนจะโทรศัพท์ไปถาม ความน่าจะเป็นที่จะในเลือกทางที่แพงกว่าไม่ได้เท่ากับหนึ่ง (ไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาการเดินทาง))

4 March 2007

จันทรุปราคา

(อ่านว่า จัน-ทฺรุ-ปะ-รา-คา)

เมื่อเช้านี้มีจันทรุปราคาเต็มดวงครับ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้สังเกตการเกิดปรากฏการณ์นี้ ถึงแม้ว่าจะมีเกิดขึ้นบ่อยไม่น้อยอยู่ก็ตาม

ความจริงตั้งนาฬิกาไว้จนตื่นมาดวงจันทร์ก็ เกือบจะเข้าเงามืดเกือบทั้งหมดแล้วล่ะครับ แต่ยังได้ข้อคิดข้อสังเกตอย่างอื่นมาบ้าง ว่าการดูจันทรุปราคาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล...
  • ต้องหาที่สังเกตการณ์อยู่นานมากกว่าจะเห็นดวงจันทร์ ที่สุดคือมีที่เดียวคือระเบียงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ไม่ถูกหลังคาบ้านข้าง ๆ และ/หรือคอนโดบัง
  • เห็นดวงจันทร์หายเข้าไปในเงามืดของโลก แล้วก็หายลับไปหลังขอบเงาตึกเลย คือก็ไม่เห็นว่าจะเห็น "แสงอาทิตย์ที่หักเหผ่านบรรยากาศโลกไปตกที่พื้นผิวดวงจันทร์ทำให้ดวงจันทร์ ไม่มืดสนิทอย่างที่ควรจะเป็น แต่มีสีน้ำตาล แดงอิฐ หรือสีส้ม" แต่อย่างใด
  • สมาคมดาราศาสตร์ไทยบอกว่า "ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากนั้นแสงเงินแสงทองจะเริ่มจับขอบฟ้า ท้องฟ้าจึงค่อย ๆ สว่างขึ้นในขณะที่ดวงจันทร์งอยู่ในเงามืดของโลก"
    แต่พอลองสังเกตดวง อาทิตย์ขึ้นที่บ้าน พบว่า ท้องฟ้าไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนสีแบบนั้นเลย คือตอนมืดก็เห็นท้องฟ้าสีม่วง จากไฟเมืองกรุงที่สว่างไสว พอเริ่มจะสาง ก็ยังเห็นไฟเมืองกรุงสว่างไสวอยู่ (สิ่งที่พอสังเกตได้ก็เห็นสีแดงเรื่อ ๆ ในเมฆบาง ๆ ที่ลอยอยู่ด้านบน) แล้วอีกทีก็เป็นสีฟ้าแล้ว
  • ว่าแล้วก็นึกอยากไปท้องฟ้าจำลองขึ้นมา...

24 February 2007

Referring address - หลงมาจากไหนกัน

คนที่ใช้ Windows Live Spaces คงจะทราบนะครับ ว่ามันจะมี statistics ที่ดูสถิติการเข้า space ได้ และบอก referring address ว่ามาจากไหนบ้าง

วันนี้จะมาเล่า... space นี้ นอกจากจะมีคนหลงเข้ามาจากลิงก์ของเพื่อน ๆ ประปรายแล้ว ยังมี referring address ที่พาคนหลงเข้ามาบ่อยมาก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง คือ http://www.google.com/search?hl=en&q=%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82&btnG=Google+Search

ครับ มันคือ Google query หาข้อความ "ตรากระทรวงสาธารณสุข" ครับ

ช่างน่าดีใจ... อุตส่าห์แต่ง มีคนหลงเข้ามาอ่านด้วย (<-- น้ำตาแห่งความตื้นตัน)

สำหรับคนที่ไม่เคยหลงไปอ่าน มันคือเรื่อง The Symbol of the Medical Profession นะครับ

(เอาเข้าไป นอกจากจะดีใจที่คนหลงมาแล้วยังจะโฆษณาอีก)

แต่เดี๋ยวครับ ยังไม่หมด ยังมีอีกครับ วันก่อน... เห็น refer มาจากที่ http://www.google.com/search?hl=en&q=%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95&btnG=Google+Search

ครับ query "นโยบายการจัดกิจกรรมนิสิต" จะเจอ รับน้อง... (ตามกระแสเปล่าเนี่ย) ครับ

ไม่ยักเจอคน search หา "โรคประจำบล็อค" หลงเข้ามาบ้างนะครับ...

17 February 2007

ค่าโง่โทรศัพท์ - เจอจนได้

นึกว่าจะฉลาดแล้วเชียว...

เพื่อน ๆ ครับ เพื่อน ๆ (อย่างน้อยก็ที่ใช้เติมเงินของ Happy) คงจะเคยเห็นข้อความหลังบัตรเติมเงิน ที่ว่า "เช็กโปรโมชั่นทางลัด ผ่านบริการด่วนพิเศษ เพียงกด *103#✆ (ไม่คิดค่าโทร)" ใช่ไหมครับ†

อย่าลืมกดดูทุกวันที่ 1 ของเดือนนะครับ

เพื่อว่า ถ้าอ่านรายละเอียดโปรโมชั่นไม่ดี และ/หรือ จำกำหนดโปรหมดอายุไม่ได้ จะได้ไม่เสียตังฟรีแบบผม

ผ่านไปครึ่งเดือนเศษ ค่าโทรแพงขึ้นกว่าเดิม 89.50 บาท คิดเป็น 82.9% (เฮือก)

แถมมาหมดช่วงที่ปิดโทรศัพท์สอบซะด้วยนะ สงสัยงานนี้จะต้องจดการใช้โทรศัพท์ทุกบาททุกสตางค์ด้วยละมั้งเนี่ย (แค่เงินสดในมือก็จะแย่แล้ว)

ทีนี้จะเปลี่ยนไปใช้อะไรดีล่ะเนี่ย...

†อักขระตัวถัดจาก # ควรจะเป็นรูปโทรศัพท์; ต้องมี Unicode font เช่น Arial Unicode MS จึงจะแสดงผลได้ถูก

7 February 2007

The art of gift giving...

ผมเข้าไม่ถึงครับ

ผมเคยและยังมีปัญหากับทั้งการให้และรับของ ขวัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ว่าไม่รู้จะให้อะไรคนอื่น (คนที่สังเกตคงเห็นว่าคอยเกาะคนอื่นหารตลอด) หรือการรับของขวัญที่ ไม่ต้องใจ อย่างมีวัฒนธรรม

เท่าที่ผมทราบ ตามวัฒนธรรมตะวันตก ธรรมเนียมการให้ของขวัญนี้ถือเป็นการแสดงการให้ความสำคัญ และความหวังที่ดีต่อกันวิธีหนึ่ง Miss Manners (Judith Martin) กล่าวว่า "The whole point is that the other person decides what to get you on the basis of his knowledge of you and of his best judgment, however faulty that might be." (ในวัฒนธรรมไทยอันนี้ผมยังไม่เคยเห็นการกล่าวถึงอย่างเจาะจงนะครับ แต่ก็ขอเหมาว่าคงจะคล้าย ๆ กัน)

สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับผมก็คือ ผู้ให้ ถึงจะให้ด้วยความเต็มใจ ไม่คาดหวังอะไรตอบแทน แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงต้องหวังอยู่ว่าผู้รับจะยินดี กับสิ่งที่ได้รับ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ตามมารยาทแล้ว ผู้รับจะต้องแสดงความดีใจที่ได้รับของขวัญนั้น แม้ว่าใจจริงจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

แต่ผมทำไม่ได้

ขอบคุณหรือเปล่า ขอบคุณ ตื้นตันน่ะ ยิ่งใช่ แต่ยิ่งพยายามบอกถึงความยินดีในตัวของขวัญเท่าไร มันยิ่งรู้สึกว่าเป็นการโกหกผู้ที่ให้มามากเท่านั้น

สุดท้ายก็ทั้งทำร้ายจิตใจคนที่รักเรา ทั้งทำร้ายความรู้สึกตัวเอง

ทำไมนะ... ทำไม...

21 January 2007

TU-CU Traditional Football 63rd

โอยเหนื่อย...

ก็ตามชื่อเรื่อง วันนี้ (ตอนเริ่มเขียน - วันที่ 20) มีการแข่งขันฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 63...

ทีนี้เรื่องก็มีความเดิมอยู่ว่า ตั้งแต่อยู่จุฬาฯ มาก็ยังไม่เคยจะขึ้นสแตนด์งานบอลเลย (ถึงจะมาทุกครั้งก็เถอะ) ทั้งนี้ก็เนื่องจากตอนปี 1 ไปอยู่ในขบวนพาเหรด "ก้าวน้อย ๆ ตามรอยพระยุคลบาท" ก็เลยได้ดูแต่จากสแตนด์สตาฟตอนหลัง ส่วนปีที่แล้วก็มาเจอเพื่อน ๆ ซึ่งบางคนก็ต้องรีบกลับ + ไม่มีเสื้อ ก็เลยไปดูสแตนด์เสียตังกัน (ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ปรากฏว่าไม่ได้รีบกลับอยู่ดี) ด้วยความเสียดาย นางสาว อ. ก็เลยนัดกันว่าปีหน้า (คือปีนี้) จะมาขึ้นสแตนด์กัน

แต่ไป ๆ มา ๆ ปรากฏว่าด้วยความที่ใกล้สอบ นางสาว อ. ก็เลยไม่กล้าไป แต่ทีนี้ไอ้เราด้วยความที่รู้ว่าถึงไม่ไปวันนี้ก็ไม่ได้อ่านหนังสืออยู่ดี ก็ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปขึ้นสแตนด์ในปีนี้ (เพราะไม่งั้นมีหวังจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว) ก็ลองถามคนอื่นดูบ้าง อย่างตุลย์-อิทธิกร ซึ่งนางสาว อ. บอกว่าอาจจะมา ก็ยังพูดอยู่ว่าไม่แน่ใจ ไป ๆ มา ๆ ก็นัดใครไม่ได้สักคน

จนถึงเช้าวันเสาร์ที่ 20 ก็ยังไม่รู้จะเอายังไงดี (แต่ก็ยังตั้งใจจะไปอยู่นะ อุตส่าห์ไปซื้อเสื้อจากชั้น 3 ตั้งกะยังไม่ค่อยจะมีขาย) ก็ทานข้าว นั่งทำครอสเวิร์ด + Sudoku ใน Bangkok Post ไปอย่างละครึ่งนึง แล้วก็ขึ้นมาลองเปิด messenger เผื่อกุ้ง-ยุทธนาจะทิ้ง message ไว้ (ถามไปตอนที่พี่แกออนทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน เพราะเห็นเป็นคนเดียวที่ตั้งชื่อเกี่ยวกับงานบอล) ก็มีไอซ์-ยอดยิ่ง ถามว่าจะไปหรือเปล่า ก็ยังไม่ได้รายละเอียดอะไร

เอาวะ เดี๋ยวมื้อเที่ยงแล้วออกไปเลยละกัน (แบบว่านั่งทำครอสเวิร์ดอยู่นาน/ไม่ได้กะว่าจะรีบไป ปีที่แล้วงานเริ่มสแตนด์ยังเพิ่งจะเต็ม) ก็ออกจากบ้านไปพร้อมสัมภาระอันได้แก่กระเป๋า (ที่ข้างในมีร่ม 1 คัน) เวลาก็เกือบ ๆ เที่ยงครึ่ง

คิดไปคิดมา ถ้ารอสองแถวไปต่อรถเมล์ (รถโดยสารประจำทาง)/รถตู้ ปากซอย คงจะเสียเวลาเดินทางไม่น้อยกว่าชั่วโมงครึ่ง ก็เลยเรียกแท็กซี่ไปรถไฟฟ้าหมอชิต ก็ตัดสินใจผิดนิดหน่อยที่ไปหลักสี่แทนที่จะขึ้นทางด่วน ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คงเสียตังไม่ต่างกันเท่าไร แต่ก็ไม่เสียหายอะไร (คือสิ่งที่คิดตอนนั้น)

ก็ขึ้นรถไฟฟ้ามา... ก็เห็นมีเสื้อเหลือง/เสื้อ ชมพูกระจายกันไป จนถึงสนามกีฬาฯ ก็มีเรื่องประหลาด ไอ้บัตรผ่านฉลาดนี่มันดันไม่ยอมให้ออก... code 4 ให้ติดต่อห้องจำหน่ายตั๋ว - ได้รับแจ้งว่าบัตรไม่ register การเข้าระบบ (ซะงั้น) แต่เนื่องจากความไม่สังเกต ก็เลยไม่รู้ว่าโดนกินเที่ยวเดินทางไปหรือเปล่า (แต่ก็ไม่ได้ห่วงอะไร เพราะเดือนนี้จะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว)

อ้ะ ไม่เป็นไร ไปสนามศุภฯ ตามที่ตั้งใจไว้ดีกว่า ก็ไปเข้าประตูหน้าศูนย์ฯ ตรวจกระเป๋า แล้วก็เดินไปทางสนามศุภฯ... เอ ยังเพิ่งจะบ่ายโมงนิดเดียว แวะไปดูเค้าเตรียมพาเหรดที่สนามเทพหัสดินดีกว่า ก็เข้าไป อืมม มีน้องคณะเราอยู่บ้าง แล้วก็มีน้องบุช (ขอโทษครับ ชื่อผมเองครับ (<-- ผิดกฎข้อ 4)) กับเน็ท-พันธ์กวี ที่กะว่าคงเจออยู่แล้ว แล้วก็ท่าทางจะได้บัตร all-area มาสมใจ แต่ทำไม... ชื่อ... โน้ต แพทย์ ปี 5 แต่เป็นรูปเน็ทซะงั้น~

ก็ไม่มีอะไร แวะคุย + นั่งพักอยู่เกือบ 10 นาที (เน็ทยังพูดถึงว่าสงสัยสแตนด์จะเต็มช้า/ปีนี้ดูเงียบ ๆ /... อยู่) ก็ลัดออกประตูหลัง จะไป Gate 20 ตามที่เค้านัด แต่...

เอ่อ...

ทำไมแถวมันยาวซะขนาดนั้นล่ะ~ ?!!

ก็ต่อคิวไป เดี๋ยวคงได้ขึ้นแหละ ท่าทางจะมาทันพอดี (กะว่ามีคนอยู่ข้างหน้าสัก 200-300 คน)...

หรือเปล่าหว่า... เจอเปา-ประธานกับบิ๊ก-ปริญญา ก็ทักแป๊ปนึงแล้วหันตามไปมอง - เหยย ทำไมแถวมันงอกเร็วขนาดนั้น~ - สักพักเห็นคนวิ่งไปมา/เสียงคนในลำโพง บอกว่าใกล้จะเต็มแล้ว/อีก 50 ที่/ต่าง ๆ นานา กลุ่มที่อยู่ข้างหลังก็คุยกะเพื่อนที่มาจากใกล้ ๆ ประตูว่าจะได้เข้าเปล่าเนี่ย ก็... อะไรกันเนี่ย~ มาช้าไปจริง ๆ เหรอนี่

ก็ปรากฏว่า... บ่ายโมงครึ่ง สแตนด์เต็ม~

แหม่ ก็ไม่ใช่ไม่ดี แต่ว่ามันก็ทำเอาเซ็งเหมือนกันนะ อุตส่าห์ถ่อออกจากบ้านมา... (เรื่องนี้ตอนหลังคุยกับพวกกิ๊ฟ ลงมติได้ว่า สาเหตุหลักที่ปีนี้สแตนด์เต็มเร็วขนาดนี้ก็คือ ถุงยังชีพสุดหรู นั่นเอง)

โอ่วว... แล้วจะเอาไงดีเนี่ย... กะมาขึ้นสแตนด์แท้ ๆ... ตอนนั้นเค้าก็ยังเปิดให้ขึ้นสแตนด์สำรองอยู่ แต่ไอ้ตรงนั้นเราก็เคยนั่งดูแล้วนี่นา คนรู้จักแถว ๆ นี้ก็ไม่มี ก็เลยแวะไปซุ้มปฐมพยาบาล (ที่เน็ทชี้ตำแหน่งให้ตอนผ่านไปเมื่อกี้) ก่อนดีกว่า ก็เจอพี่ ๆ ปี 5 + น้องตั้ม อยู่... เกร็กเกร่อยู่แถวนั้นสักพักก็เจอบุ๊ค-นรวีร์กับปั๊ป-ศรัณย์พัฒน์ เห็นมีพี่เอส-ทวีกฤตย์ แล้วหลังจากนั้นก็เจอกิ๊ฟ-รุจิเรศ ลำปาง-นิรชรา แล้วก็ส้ม-สุรัตนา มาด้วยกันอีกกลุ่ม แล้วก็มีกุ้ง-ยุทธนาที่มากับพวกหลีดปีศาจ

ก็คุย/บ่นกันอยู่นานพอควร ว่าสแตนด์เต็มเร้วเร็ว แล้วก็จะทำยังไงดี ซึ่งก็มีทั้ง ขึ้นสแตนด์จ่ายตัง (฿200/แต่ก็เคยขึ้นแล้ว) ไปซื้อเสื้อเหลืองขึ้นสแตนด์ธรรมศาสตร์ (฿180 แต่ก็ร้องเพลงธรรมศาสตร์ไม่เป็น) รอหาช่องขึ้นสแตนด์สตาฟ (ซึ่งก็เคยแล้ว) หรือแม้กระทั่งไปดู Love&Learn ที่ รร.เตรียมฯ

อยู่พักใหญ่... จนเกือบ ๆ บ่ายสาม ก็เห็นเค้าเหมือนจะให้เข้าได้ ก็เลยเข้าไปกับกิ๊ฟ-ส้ม-ลำปาง ก็ไปนั่งสแตนด์สำรองนั่นแหละ (ก็ยังดีกว่าหันหลังกลับบ้านหรือต้องเสียตังล่ะนะ) มองไปสแตนด์ธรรมศาสตร์ก็ โอ่ว... ทำไมมีคนนั่งครึ่งสแตนด์ ที่จริงที่ว่าไปขึ้นสแตนด์ธรรมศาสตร์ก็ดูไม่เลวนะเนี่ย

ก็เลยนั่งดูอยู่ตรงนั้นแหละ คนก็มีเข้ามาเรื่อย ๆ (สรุปว่าตุลย์ก็มา) ที่จริงกิ๊ฟนัดกับเมย์-รุจิราไว้อีกคน แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้มานั่งด้วย ส่วนยอดยิ่งก็โทร.คุยกันอีกสองสามครั้ง แต่ตอนที่มาถึงก็ไม่ให้ขึ้นแล้ว ก็เลยรู้สึกจะไปนั่งสแตนด์จ่ายตัง

เรื่องก็เป็นอย่างนี้... สรุปผลบอลก็ออกมา...

ยังสิ! ยังไม่จบ มีเรื่องผจญภัยต่อ...

ก็บอกแล้วว่าเป็นสแตนด์สำรอง นั่ง ๆ ไปเค้าก็จะมาเรียกขอคนไปแทน ตอนแรกก็ไม่รู้จะไปดีเปล่า แต่กิ๊ฟก็สนับสนุน (กิ๊ฟอยากได้หมวก) ก็เลยต้องพยายามเสนอหน้าอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดช่วงจะเริ่มครึ่งหลังถึงได้ไปนั่ง... เย้ ๆ

ได้ไปนั่ง V2... ทีนี้ก็ตื่นเต้นใหญ่สิ ไม่เคยขึ้นสแตนด์แปรอักษรมาก่อน เอาไงดีเนี่ย ของอะไรไม่รู้เต็มไปหมด... เอ่อ~ ที่จริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เห็นก็พอจะรู้อยู่ว่ามือเอาไว้ตบ ร่มเอาไว้กาง คนข้าง ๆ ก็ช่วยแนะนำนิดนึง แต่มันก็ยัง มีทั้ง 1:16 1:1 โค้ดโต้ตอบ โค้ดต่อเนื่อง ฯลฯ แล้วอันไหนมันใช้กับอะไรเนี่ย~ หาไปหามาพักนึงถึงเจอใบ key - เฮ่อ รอดแล้ว

ระหว่างเรื่องราวทั้งหมดนี้การแข่งฟุตบอลกับกิจกรรมต่าง ๆ หน้าสแตนด์ก็ยังมีอยู่ตลอด เพียงแต่ด้วยความ narcissistic ก็เลยจะพูดถึงแต่ตัวเองน่ะนะ...

เรื่องต่อจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ก็ได้ขึ้นสแตนด์สมใจ ที่จริงก็มาซะเกือบจะจบแล้ว แต่ก็ได้มีส่วนร่วมล่ะ

... มาถึงตอนงานจบ ก็ประกาศผล พิธีปิด อธิการบดีมาพูด (ถึงบอลจะเสมอ แต่อย่างอื่นเราชนะหมด) ฯลฯ เสร็จแล้ว... เค้าก็ขอให้ทำประเมินผล ซึ่งอยู่ในหนังสืองานบอล เราก็... ถุงยังชีพอยู่ไหนหว่า ด้วยความที่มาตอนจะเลิกก็เลยยังไม่ได้เปิดดูอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรด้วย เพราะมาต่อเค้า แต่ก็ปรากฏว่า...

โอ้ว คนที่อยู่ก่อนหน้าทิ้งไว้ให้ ทุกอย่างเลย (ที่จริงตอนมาถึงข้าวก็ยังอยู่ แต่ตอนนั้นคนอื่นก็กินกันหมดแล้ว เลยไม่ได้ทาน) มีของกินพร่องไปหน่อย แต่อย่างอื่นครบ (โดยเฉพาะหมวก + ถุง (<-- มาด้วยใจน้า ไม่ได้มาเพราะอยากได้นี่ (แต่ได้ก็ดีใจ 55+))) งานนี้ถือเป็นบุญหล่นทับได้ทีเดียวมั้งเนี่ย... เพราะตั้งแต่นั่งมาก็เพิ่งจะมานึกถึงว่ามี (แบบว่าตื่นเต้นเวอร์)

ก็เลยเป็นอันว่า Happy Ending...

ยัง!

ถ้าเรื่องมีแค่นี้ก็ไม่มาเขียน blog ให้เมื่อย thenar หรอก (เริ่มจิ้มใน PocketPC บนรถไฟฟ้า)...

...งานจบก็มีคอนเสิร์ต... ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะออกไปก่อนเลยดีหรือเปล่า (ซึ่งถ้าไปซะก็คง happy ending อย่างที่ว่าแล้ว) แต่ก็ จะรีบไปไหนทำไม อยู่ให้ถึงจบสิ ก็เลยดูอยู่ถึงเลิก ทีนี้... ทีนี้... เค้าก็ขอให้ช่วยเก็บของ ซึ่งถ้าเราอยู่กับที่แล้วส่งของเฉพาะส่วนของตัวเองแล้วให้สต๊าฟไลน์จัดการ ที่เหลือเองก็คงไม่มีอะไร แต่ตรงรอบ ๆ ที่นั่งอยู่ (โดยเฉพาะแถวหน้า) คนก็กลับกันไปเยอะแล้ว ก็เลยไปช่วยแยกของจากถุงที่ไม่มีคนประจำอยู่ แรก ๆ ก็ไม่มีอะไร... ส่ง 1:16 ไปทางซ้าย... 1:1 สีขาว-ดำ... สีเหลือง-ส้ม... ไปเรื่อย ๆ ของก็เริ่มกระจาย ก็เลยเริ่มไม่อยู่กับที่มากขึ้น ๆ ก็เอาสมบัติที่ได้มาวางไว้ก่อน แล้วหันไปแยกของอีกแถวนึง...

พอหันกลับมา - มันหายไปแล้ว~

...

ก็แบบว่า... เซ็งแสดด

กิ๊ฟเลยอดได้หมวกเลย (ความจริงถ้าไม่หายก็ไม่ให้ฟรี ๆ หรอก )

มองซ้ายมองขวา ไม่เหลืออันไหนวางอยู่ที่ไม่มีเจ้าของเลย (ซะงั้น) ก็เลย เฮ่อ... เอาเถอะ ช่วยเค้าเก็บของต่อก็ได้...

ความจริง ก็บอกแล้วไม่ได้อยากได้หมวด/ถุง ขนาดนั้นหรอก แต่จะเก็บอย่างอื่นไปแทนก็ใช่ที่ เพราะไม่ได้อยากได้ไอ้แท่ง Samsung นั่นขนาดนั้น (แบบว่าเกลื่อนเต็มไปหมด) แล้วจะไปค้นถุงที่ทิ้งเกลื่อน ๆ อยู่หาหนังสืองานบอล (ที่อยากได้เป็นที่ระลึกมากกว่า) ก็ใช่ที่ (ทำนองว่าไม่ครบเซ็ทก็ขี้เกียจหอบกลับ) ก็เลยสรุปว่างานนี้ เก็บของกลับบ้านเท่ากับที่หอบมา คือตัว หัวใจ และกระเป๋ากับร่มข้างใน...

+ แต้มสะสมอีกหนึ่ง: ได้ขึ้นสแตนด์งานบอลแล้ว เย้...

2 January 2007

สำนักพระราชวังใช้ Creative Commons!

ไม่ถึงกับไม่น่าเชื่อหรอกครับ แต่ยอมรับว่าแปลกใจจริง ๆ...
http://palaces.thai.net/king60B/#Footer