26 November 2013

Конфликт

รื้อ ๆ บล็อก บังเอิญขุดเจอเอ็นทรีนี้ที่เก็บเป็น draft ไว้ตั้งแต่ 07/10/2008 จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่เผยแพร่ (อาจจะดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เท่าไรมั้ง) แต่ชอบภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ ยังไงก็ขอโพสต์ย้อนหลังแล้วกัน (หมายเหตุ: เปลี่ยนลิงก์เนื่องจากอันเก่าผู้อัปโหลดตั้งเป็น unlisted ไป)


พยายามแต่งนิทานเรื่องการสลายการชุมนุมในประเทศในจินตนาการแห่งหนึ่ง ซึ่งมิได้มีพื้นฐานบนเรื่องจริงใด ๆ ทั้งสิ้น... แต่เอาเข้าแล้วเรื่องวกไปวนมาไม่ได้ประเด็นสักที เลยขออนุญาตโพสท์วิดีโอนี้ (ซึ่งเคยเห็นลิงก์จากบล็อกหวาย) แทน

Конфликт

5 November 2013

ขีดเขียนยามดึก (ว่าด้วยกระแสร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ)

นอนไม่หลับ...

เปิดแหล่งข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็มีแต่เรื่องร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฯ เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็แล้วขอพ่นทิ้งหน่อยละกัน

เมื่อเย็นนี้เห็นทวีตที่ติดใจอยู่หลัก ๆ สองอัน

หนึ่งคือ

สองคือ

นั่นล่ะครับ ที่ว่าเซ็งกระแสป้ายดำในเฟซบุ๊ก จะว่าเพราะแอบขัดใจที่อยู่ดี ๆ เพื่อน ๆ ทั้งหลายก็เกิดตื่นตัวทางการเมืองกันขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็ส่วนหนึ่ง เพราะรำคาญที่รูปมันดูเหมือนกันไปหมดก็ส่วนหนึ่ง แต่หลัก ๆ แล้วคือ

ครับ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่มีความเห็น และการโพสต์ลงบล็อกนี่ก็ไม่ขัดกับแนวทางการใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวแต่อย่างใด

ว่าด้วยนิรโทษกรรม

สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ารู้จักคำ นิรโทษกรรม ในแง่ลบ ในนัยที่ว่าเป็นการล้างความผิด ล้มกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารังเกียจ และไม่เข้าใจว่าสังคมจะมีกระบวนการเช่นนี้ไปทำไม

ต่อมาเมื่อได้ยินชื่อ Amnesty International แปลเป็นภาษาไทยว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล จึงแปลกใจและสงสัย ว่าทำไม NGO ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งน่าจะไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้คนที่เข่นฆ่าประชาชน ถึงตั้งชื่อเช่นนั้น¹

เมื่อโตขึ้นอีกถึงเข้าใจว่าความยุติธรรมเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ถูก-ผิดมักขึ้นกับมุมมอง และกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกที่ไม่เคยเป็นอิสระจากการเมือง คำ amnesty ในชื่อของ AI นั้นมุ่งหมายถึงการยกเลิกความผิดให้นักโทษทางการเมือง ไม่ใช่ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจทางการเมือง แต่สองอย่างนี้ก็ไม่ได้แยกจากกันง่ายเสมอไป

ดูง่าย ๆ จากเหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยใกล้ตัวไปก็ดูอียิปต์ ถามว่า Mohamed Morsi ที่เพิ่งขึ้นศาลไปเมื่อวานเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองที่กระทำผิดต่อประชาชน หรือเป็นนักโทษทางการเมืองที่เป็นเหยื่อของรัฐประหาร คำตอบที่ได้คงแตกต่างกันไปแล้วแต่จะถามใคร

ในสังคมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่น้อยที่สุดที่มีอยู่ เรายอมรับว่าการเมืองไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จึงต้องอาศัยทำให้คนส่วนมากพอใจโดยไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของส่วนน้อย แต่เรากลับไม่ค่อยมองเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมก็เป็นดอกผลของกระบวนการทางการเมืองเดียวกันนี้ ซึ่งย่อมโอนอ่อนเอนเอียงไปได้ตามกาลเวลา

เราจึงมักไม่เข้าใจแก่นของนิรโทษกรรม ว่าควรมีไว้แก้ไขข้อผิดพลาด สมานช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างเสรีภาพทางการเมืองกับความเอนเอียงของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพียงสิ่งชั่วร้ายที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือตนเอง

ว่าด้วยกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ

ขอยอมรับว่าหกปีกว่าหลังจากเขียนเอ็นทรีนี้ ผมก็ยังไม่หายรู้สึกระอิดระอากับการเมือง และยังคงไม่รู้สึกอยากมีส่วนร่วมใด ๆ กับมัน (มากไปกว่านั่งบ่นอยู่ตรงนี้) กระนั้นผมก็คิดว่าการไม่เลือกลงไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายใด ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เห็นแนวคิดและการกระทำของแต่ละฝ่ายผ่านเลนส์ที่ไม่ถูกเจือสีได้ดี

หลาย ๆ ท่าน (รวมถึงตัวผมเอง) ได้กล่าว (เชิงกึ่งขบขัน) ไปแล้ว ว่าร่าง พรบ.ฉบับนี้ ดูจะสร้างความสมานฉันท์ระหว่างแต่ละขั้วการเมืองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการร่วมกันออกมาต่อต้าน แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายต่อต้านนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนโกงชาติ ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็ต่อต้านการล้างผิดให้คนสั่งฆ่าประชาชน

ผมเองไม่เห็นด้วยกับคำดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย

ผมไม่ได้บอกว่าทักษิณไม่ได้โกงชาติ แม้ผมจะไม่เชื่อว่าการตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวจะเป็นอิสระจากการเมือง ผมก็ไม่กังขาสักนิดครับว่าเขาโกง ไม่ต่างจากที่ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็โกงชาติอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะโดยการยื่นภาษีไม่ตรงประเภทตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากร การใช้เส้นสายเวลาติดต่อราชการ หรือกระทั่งการข้ามถนนนอกเขตทางข้าม

ทักษิณโกงแน่ครับ แต่การโกงนั้นไม่ใช่เหตุให้ยอมรับรัฐประหาร และศาลยุคตุลาการภิวัตน์ที่ตัดสินมากี่คดีก็มีแต่ทักษิณกับพวกที่ผิด (ไม่ว่าจะคดีอาญาหรือคดีการเมือง) ย่อมสมควรถูกกังขาในความเป็นกลาง กระนั้นการบอกยกเลิกความผิดนี้โดยปริยายก็ไม่สมควรเช่นกัน ผมไม่ได้ติดตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ฟังดูเผิน ๆ แนวคิดเรื่องการยกเลิกคำตัดสินที่ถูกกังขาเพื่อกลับมาเข้ากระบวนการใหม่ที่เที่ยงตรง ก็เหมือนจะเข้าท่าดี หากแต่ก็ไม่เห็นว่าจะทำจริงได้อย่างไร

ผมเองไม่ได้ชอบทักษิณ แต่ผมก็เชื่อว่าเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ผมไม่เชื่อว่าหากศาลเดียวกันนั้นตัดสินให้ทักษิณพ้นผิด หรือให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมีความผิด บรรดาคนที่เรียกร้องให้รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมอยู่นี้ จะยังกล่าวกันเช่นเดิม

สำหรับฝ่ายคนที่ไม่ยอมให้อภัยฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน ขอเถอะครับ กับไอ้คำ ฆาตกร เนี่ย จะเวอร์กันไปถึงไหน

ถามว่า พ.ค.'53 มีผู้บริสุทธิ์ตายด้วยน้ำมือทหารไหม ผมไม่กังขาครับว่ามี หากเช่นนั้นแล้วทหารปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดไหม ไม่ต้องสงสัยครับว่าผิด ถามว่าผู้นำที่ตัดสินใจให้ใช้กำลังทางทหารควรจะรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหม ผมบอกเลยว่าควร แต่ถามว่านั่นแปลว่าเขาเป็นฆาตกร ที่สั่งฆ่าประชาชนด้วยเจตนาอันโหดเหี้ยมเพื่อหมายจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ช่างคิดไปได้นะครับ...

อภิสิทธิ์ (กับสุเทพ) ทำผิดแน่ครับ แต่ผิดที่ไว้ใจผิดว่าทหารจะไม่ทำอันตรายผู้บริสุทธิ์ (โดยไม่ได้ตระหนักว่าหน้าที่ของทหารคือรบกับศัตรู ไม่ใช่สลายการชุมนุม) ไม่ใช่สั่งฆ่าประชาชน ถามว่าเขาควรต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เห็นว่าแก่นของกรณีนี้จะแตกต่างจากการสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวเมื่อ ต.ค.'51 เท่าใดนัก เหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคือความไม่สามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เจตนาฆ่า การเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียเป็นสิ่งที่สมควร แต่ตราบใดที่ยังตะโกนแต่คำว่าฆาตกรกันอยู่นั้น ผมก็เห็นแต่คนที่เอาศพของผู้เสียชีวิตมากองเป็นเวทีให้ตนเองเหยียบยืนเท่านั้นเอง

แล้วตกลงคิดอย่างไรกับกระแสต่อต้านร่าง พรบ.ฯ โดยรวม?

อันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับหลักการลบล้างความผิดทั้งหมดทั้งมวล ก็คงไม่ถึงขนาดที่เห็นว่าต้องแสดงออกผ่านการเอาป้ายดำเป็นรูปโปรไฟล์เต็มไปหมดแบบนี้

ส่วนหนึ่งคงเพราะว่าที่ผ่านมาผมเสื่อมศรัทธากับกระบวนการยุติธรรมไปมากแล้ว และไม่อยากหวังลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไปว่าจะมีโอกาสเห็นการดำเนินคดีที่เป็นกลางได้จริง (ดูตัวอย่างจากการทำคดีของ DSI ที่เปลี่ยนทิศทางไปมาตามสายลมการเมืองที่พัดผ่าน) ลึก ๆ แล้วก็เลยยังแอบคิดอยู่ว่าหากร่าง พรบ.นี้ผ่านได้ อย่างน้อยก็จะได้เลิกกันเสียทีกับกระบวนการยุติธรรมปาหี่นี่ นัยว่าถ้าจะมีแต่กระบวนการยุติธรรมที่ลำเอียงเช่นนี้แล้ว ออกกฎยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเลยเสียอาจจะดีกว่า

และอย่างไรเสีย แค่นี้ร่าง พรบ.ฯ ก็ได้ช่วยให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้มีโอกาสทบทวนแนวคิดกันยกใหญ่แล้ว หากทักษิณกลับมา เราอาจจะได้เห็นการแตกหักกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างจริงจังเสียที²

ซึ่งผมยังคงรออยู่ เผื่อว่าประเทศไทยจะได้เกิดมีกลุ่มการเมืองเสรีนิยมที่ผมจะสามารถสนับสนุนได้โดยบริสุทธิ์ใจบ้างสักวัน


  1. อีกชื่อที่สงสัยมาแต่เด็กคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ทำไมหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนจะตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย ๆ กันไม่ได้หรือไง
  2. ดู Leftists and the Red Shirts: This relationship could write a bad romance.

30 June 2013

หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?

ช่วงที่ผ่านมาเรื่องทรงผมกับเครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนจะเกิดเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบนะครับ ตั้งแต่เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงนโยบายเรื่องทรงผมของนักเรียนมา ซึ่งก็มีเหตุให้เกิดความลักลั่นในการนำไปปฏิบัติกันอยู่ให้เห็น ตลอดจนการนำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนมาประกอบโครงเรื่องในละครโทรทัศน์¹ ในเวลาใกล้เคียงกับที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนทั้งต่างประเทศ² และในประเทศ³

ผมเองได้เห็นการถกเถียงในเรื่องดังกล่าวผ่านมาแล้วก็ผ่านไปบนโลกออนไลน์หลายรอบ แต่ละรอบก็เห็นประเด็นเดิม ๆ มิได้แตกต่างกันเท่าไร จนระอาที่จะร่วมคิดหรือติดตาม เพราะมองว่ายังไงก็คงเปล่าประโยชน์ที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลง (อีกอย่างตัวเองก็เลยวัยที่จะเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้มาแล้ว และวงการศึกษาไทยก็มีปัญหาที่สำคัญกว่านี้อีกมาก) จึงแปลกใจพอควรครับ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ออกมากำหนดแนวนโยบายเรื่องทรงผมที่ชัดเจนแบบนี้

แต่ขอกล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบก่อนดีกว่าครับ

ให้เวลา 30 วินาที ลองนึกชื่อภาพยนตร์ที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีกากีสักเรื่องนะครับ

นึกออกไหมครับ ผมนึกออกหนึ่งเรื่องคือ ปัญญา เรณู

อาจจะมีเรื่องอื่นอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กชนชั้นกลางในเมืองใหญ่เช่นกัน

ที่ในเนื้อความเขียนว่าเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่นั้นไม่จริงหรอกครับ อย่างเครื่องแบบนักเรียนชายนี่ยังมีสีกางเกงที่ถูกใช้เป็น stereotype บ่งระดับชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ส่วนของนักเรียนหญิงยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแบบเสื้อ แบบกระโปรง แล้วยังอุปกรณ์ประกอบอีกเต็มไปหมด

หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับค่านิยมของสังคมที่สะท้อนออกมาในภาพยนตร์ ซึ่งมองว่าชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินคือโรงเรียนเอกชน สีกากีคือโรงเรียนวัด/โรงเรียนรัฐบาล (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ส่วนสีดำก็มีหมด แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ในเมือง นอกจากนี้ยังมีสีหายาก ลายสก็อตต่าง ๆ ตามแต่โรงเรียนจะรังสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างเป็น "เอกลักษณ์" ขึ้นมา (ส่วนสีกรมท่าคนไม่ค่อยรู้จัก ที่จริงสังเกตได้ว่าสัมพันธ์กับโรงเรียนในวัง ทั้งจิตรลดา วชิราวุธ ราชวินิต ฯลฯ แอบสงสัยว่าสาธิตเกษตรจะตั้งใจเลือกมาด้วยเหตุนี้ (ไม่ก็ให้เข้ากับสีม่วง))

แต่ความจริงแล้วต่อให้ไม่มี stereotype ที่ได้จากรูปแบบหรือสีของชุดนักเรียน ค่านิยมของสถานศึกษาแต่ละที่ก็สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจอยู่แล้ว

ลองนึกถึงภาพยนตร์อีกรอบครับ คราวนี้เอาที่ตัวละครใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน มีสักเรื่องไหมที่ตัวละครจะใส่กางเกงยาวเกินสองคืบ

อันนี้อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง (แล้วแต่คืบใคร) แต่ลักษณะการแต่งกายดังกล่าวก็สะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของนักเรียนหลายโรงเรียน โดยเฉพาะเหล่าโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่เก่าแก่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันเกิดมาได้ยังไง แต่ก็รู้สึกทึ่งกับการยึดมั่นในค่านิยมดังกล่าวของบรรดานักเรียนเหล่านั้น โดยเฉพาะเด็กอัสสัมชัญ ซึ่งเพื่อนที่เป็นศิษย์เก่าเคยบรรยายว่ากางเกงนักเรียนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน

ส่วนชุดนักเรียนหญิงก็มีปรากฏการณ์แบบเดียวกัน ดูอย่างสาธิตเกษตรที่นอกจากกระโปรงจะเป็นสีม่วงเด่นขนาดนั้นแล้วยังนิยมใส่กันยาวแทบกรอมข้อเท้าแบบที่ว่าอยากนั่งขัดสมาธิตรงไหนก็ลงไปนั่งได้เลย

ค่านิยมเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นครับว่าถึงจะมีการกำหนดเครื่องแบบจากเบื้องบนลงมา (หรือต่อให้ไม่มีก็ตาม?) อย่างไรเสียก็จะยังมี "เครื่องแบบ" แห่งค่านิยมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเติบโตแพร่กระจายได้เองในสังคมดำเนินควบคู่ไปด้วยอยู่นั่นเอง

ผมขอไม่ทบทวนข้อถกเถียงทั้งหมดในเรื่องที่ว่าเราควรมีเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษาต่อไปหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามดู ก็ไม่เคยเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายไหนจะมีความถูกต้องสัมบูรณ์เหนือกว่า ผมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่ว่าสังคมไทยนั้นนิยมเครื่องแบบ (มาก) เพราะมันตอบสนองความคาดหวังของสังคมทั้งในแง่ที่เป็นสังคมอำนาจนิยมมาแต่เดิม และที่เครื่องแบบนั้นเป็นเครื่องแสดงระดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจน แต่ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์ในเชิงปทัฏฐาน (normative) แต่อย่างใด หากมองในแง่เสรีภาพ ที่สุดขั้วของการมีเสรีภาพในการเลือกแต่งกายเต็มที่ คือจะให้นุ่งผ้าเตี่ยวหรือแก้ผ้าไปเรียนได้นั้น ก็คงไม่เป็นที่ยอมรับตามค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม สุดท้ายมันก็นำไปสู่คำถามพื้นฐานว่าสังคมจะต้องการให้ขีดเส้นตรงไหน ซึ่งเว้นเสียแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม ก็คงลงเอยที่การรักษาสถานะเดิม (status quo) อยู่ดี

ผมเองยอมรับครับว่าในฐานะนักเรียน ก็คงเลือกที่จะรักษาสถานะเดิมนั้น ไม่ใช่เพราะชื่นชมกับเครื่องแบบอะไรนักหนา แต่เพราะเท่าที่อยู่ในสังคมมา ก็เห็นสังคมที่มีเครื่องแบบอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับมัน ในทางกลับกัน คนที่เห็นสังคมที่ไม่มีเครื่องแบบมาก่อนก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยความคุ้นเคยว่าสังคมแบบนั้นมันไม่ได้มีปัญหาสำหรับเขา การเถียงกันบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวว่าอย่างไหนตรงกับธรรมชาติพื้นฐานของสังคมมนุษย์มากกว่ากันนั้นคงไม่เกิดประโยชน์

ในขณะเดียวกัน ความคุ้นเคยนั้นเองก็อาจจะทำให้หลายคนสร้างความคิดเชื่อมโยงเครื่องแบบกับประสบการณ์ในวัยเรียนที่ตนประทับใจได้โดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ GTH (หรือค่ายไหน ๆ ก็ตามแต่) ใช้เครื่องแบบเป็นจุดขายภาพยนตร์ (รวมถึงละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงข้างต้น) ได้อยู่เรื่อย ๆ และก็อาจส่งผลป้อนกลับ (feedback) ให้มีความพยายามรักษาสถานะเดิมนั้นมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

ที่จริงการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียนนี่คิดดูก็มีส่วนแปลกนะครับ เรามักจะเห็นว่าเครื่องแบบอื่น ๆ มักเป็นเครื่องสะท้อนอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป ต้องมีสิทธิพิเศษถึงจะได้ใส่ จะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เครื่องแบบนักเรียนนี้ทุกคนต้องใส่หมด (ขอไม่พูดถึงการศึกษานอกระบบซึ่งเป็นส่วนน้อย) มันก็เลยมีส่วนเป็นเครื่องบังคับความเท่าเทียมในสังคมอย่างหนึ่ง (วาทกรรมที่ว่านักเรียนควรภูมิใจที่ได้แต่งเครื่องแบบจึงดูแปร่งๆ เพราะเครื่องแบบนักเรียนมันก็เหมือนกันแทบทุกที่) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังทำหน้าที่แบ่งแยกชนชั้นผ่านการสะท้อนชื่อเสียงเรียงนามของโรงเรียนที่คนคนนั้นได้เรียนอยู่ดี ในประเด็นความเท่าเทียมจึงตีความได้ยากว่าควรมองเครื่องแบบนักเรียนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่

แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือความแตกต่างระหว่างประเด็นเครื่องแบบนักเรียนกับประเด็นทรงผม ทั้ง ๆ ที่ก็กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันในระดับหนึ่ง (ทรงผมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ) แต่กลับเชื่อได้ (ทึกทักเอาเอง) ว่านักเรียนที่สนับสนุนหรือเฉย ๆ กับเครื่องแบบจำนวนมาก คงไม่สนับสนุนการตัดผมเกรียน/ติ่งหูด้วยเป็นแน่

เพราะการบังคับทรงผมมันรุกล้ำต่อร่างกาย ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนกว่าเครื่องแต่งกายมากหรือเปล่า นั่นเป็นคำอธิบายอย่างเดียวที่ผมนึกออก เพราะชุดนักเรียน พอเลิกเรียน วันหยุด ก็ถอดชุดเปลี่ยนได้ แต่ผมเกรียน/ติ่งหู ไม่ใช่อย่างนั้น

อันที่จริงผมก็คงวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไม่มากนัก เพราะตั้งแต่ประถมถึง ม.ต้นก็เรียนโรงเรียนสาธิต ไม่เคยถูกบังคับเรื่องทรงผมแบบนี้ จะมามีช่วงที่ต้องรันทดกับหัวเกรียนก็ตอน ม.ปลาย ที่ฝึก นศท.นั่นแหละ (แต่นั่นก็เถียงไม่ได้เพราะขึ้นชื่อว่าสมัครใจ) แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดว่าคนที่ถูกบังคับตัดทรงนักเรียนตั้งแต่ ป.1 จะเกิดความผูกพัน ภาคภูมิใจกับสภาพหัวเกรียนได้แบบเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน (ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเห็นนักแสดงหนัง GTH ในสภาพหัวเกรียนด้วยแล้วหรอกมั้ง)

นั่นยิ่งทำให้ผมฉงนกับเหล่าบรรดาผู้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ออกมาดราม่าต่อต้านการยกเลิกผมทรงนักเรียนกันอย่างรุนแรง ว่าเออ มันมีคนที่รักและผูกพันกับทรงหัวเกรียน/ติ่งหูกันขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย จะว่าเขาเห็นมันมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์แบบการไว้ผมจุกที่จะต้องรอจนก้าวพ้นวัยเด็กในพิธีโกนจุก ในสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าใช่ ยิ่งในฐานะนักเรียนเก่าสาธิต ที่ไว้ผมรองทรงได้มาตั้งแต่ ป.1 เลยยิ่งงงกับตรรกวิบัติของพวกเขาที่ว่า ตัดผมแค่นี้ทำกันไม่ได้ โตไปจะมีระเบียบวินัยอยู่ในสังคมได้ยังไง ยิ่งขึ้นไปอีก

พูดถึงความยาวของกางเกง ในคู่มือนักเรียนที่เตรียมฯ กำหนดเรื่องกางเกงไว้ละเอียดมากว่า "ใช้ผ้าเทโรหรือผ้าเสิร์จสีดำ (ห้ามใช้ผ้าเวสปอยส์) มีจีบข้างหน้าด้านละ ๒ จีบ ผ่าตรงส่วนหน้าติดซิป (ห้ามใช้กระดุม) มีกระเป๋าด้านข้าง ๒ ข้าง ปากกระเป๋าตัดตรง ไม่มีกระเป๋าหลัง มีหูไว้ร้อยเข็มขัดกางเกง เมื่อใส่แล้วต้องมีความยาวเหนือลูกสะบ้าเข่าไม่เกิน ๕ ซม. และความกว้างของปลายขากางเกง เมื่อดึงออกมาจากขาต้องห่างไม่น้อยกว่า ๗ ซม. แต่ไม่เกิน ๑๒ ซม."

เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ตรวจเครื่องแบบแล้วเอาไม้บรรทัดมาวัดความกว้างของขากางเกงนะครับ

แต่มารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วยังมีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งระบุไว้ว่า "กางเกง แบบไทย ขาสั้นเพียงเหนือเข่า พ้นกลางลูกสะบ้า ประมาณ ๕ ซม. เมื่อยืนตรง..." ถ้านับตามศักดิ์ของกฎหมายแล้ว (และถ้าระเบียบกระทรวงดังกล่าวยังไม่ถูกยกเลิก) ก็ต้องยึดตามเนื้อความในระเบียบกระทรวงฯ ถึงจะถูก

ซึ่งแปลว่าที่เราใส่กางเกงชายขาเสมอเข่านั้นผิดกฎหมายนะ ต้องสั้นขึ้นอีก 5 ซม.ถึงจะถูก~

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของการมีเครื่องแบบแหละครับ อะไรที่ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรตายตัว พอสังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ก็ยากที่จะเปลี่ยนตามได้ทัน เครื่องแบบต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนั้นจึงเป็นเครื่องสะท้อนแฟชั่นย้อนยุคได้เป็นอย่างดี

เรื่องนี้ก็เป็นการถกเถียงบนพื้นฐานของความคุ้นเคยส่วนตัวแบบเดียวกับกรณีเครื่องแบบ แต่ผมเชื่อ (ทึกทักเอาเองอีกแล้ว) ว่าขณะที่อาจจะเห็นนักเรียนปัจจุบันสนับสนุนเครื่องแบบได้ไม่ยาก ในบรรดาคนที่สนับสนุนทรงหัวเกรียน/ติ่งหูอยู่นี้ ส่วนมากคงจะเป็นบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ ที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ตนเคยผ่านมาเป็นสิ่งที่จะต้องบังคับให้ชนรุ่นหลังผ่านตามไปเช่นกัน มากกว่า

ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการเชื่อเช่นนั้นจะผิดเสมอไป คนที่ตอนเด็กถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก พอโตขึ้นและตระหนักได้ถึงความสำคัญของอาหารทั้งห้าหมู่ ก็คงจะบังคับให้ลูกของตนกินผักเช่นเดียวกัน แต่ถ้าครูจะใช้ไม้เรียววางอำนาจว่าตนอยู่เหนือนักเรียน เพียงเพราะจำได้ว่าสมัยตนเป็นนักเรียนเคยถูกกดขี่มาอย่างนั้น โดยไม่ได้ใส่ใจในเหตุผล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีการศึกษาพึงกระทำ

จึงต้องพิจารณาว่าที่มาที่ไปของผมทรงนักเรียนที่มีมานานนั้นคืออะไร และยังสมเหตุสมผลอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า ไม่แน่ หากพบว่าการให้ตัดผมเกรียนครั้งแรกนั้นเกิดจากเหาระบาดครั้งใหญ่จะเงิบได้ตาม ๆ กันไป ส่วนใครที่จะอ้างว่าเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสำคัญของโรงเรียนที่มีมาช้านาน ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนเก่าแก่ที่เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ (ส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจว่าทำไม) ก็คงต้องบอกว่าอยากบังคับก็บังคับไป เพราะยังไงนักเรียน (โดยผู้ปกครอง) ก็ต้องสมัครใจไปเข้า แต่สำหรับโรงเรียนรัฐ เทียบเหตุผลดูแล้วก็คงไม่ควร

แต่อย่างไรเสีย จะเลิกผมทรงนักเรียน ก็ไม่ได้แปลว่าเลิกบังคับทรงผม ที่ผมไม่เคยมีปัญหากับการกำหนดให้ตัดรองทรง (สูง?) ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มี แต่สังคมจะต้องการให้ผู้ชายไว้ผมยาวหรือทำผมโมฮอว์กไปโรงเรียนได้หรือเปล่านั้น ก็คงเป็นประเด็นที่จะโผล่ขึ้นมาให้ถกเถียงกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเครื่องแบบนักเรียน ที่ตราบใดที่สังคมยังมองว่าไม่ได้เดือดร้อน ทุกอย่างก็ย่อมจะคงอยู่ตามสถานะเดิมต่อไป


  1. ดู HORMONES วัยว้าวุ่น EP.1 เทสโทสเทอโรน (Testosterone) 25 พ.ค.56
  2. ดู Thai Students Find Government Ally in Push to Relax School Regimentation จาก The New York Times
  3. ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเครื่องแบบนักเรียนโดยตรง แต่ highly recommended: วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ - 26 มิ.ย.56 (HD)
  4. ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะเป็นผลงานที่น่าจดจำที่สุดของคุณพงศ์เทพในฐานะ รมว.ศธ.หรือเปล่า (ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงยังน่าจดจำกว่า รมว.ศธ.อีกหลายท่าน) ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปว่าการใช้คอมพิวเตอร์กระดานชนวนสุดท้ายแล้วจะให้ผลเป็นอย่างไร

13 June 2013

อะไรคือวิทยาศาสตร์

อยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมุติสักเล็กน้อยนะครับ*

สมมุติในเว็บบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่ง มีคนเข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มอาหารเสริม ความว่า

เราเห็นหลาย ๆ คนชอบแอนตี้คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมเอาไว้ชงดื่ม บอกกันว่ามันไม่มีประโยชน์ กินไปก็เปลืองเงินฟรีเปล่า ๆ แต่ทำไมเท่าที่ตัวเราเองเคยลองทานดูก็รู้สึกว่าได้ผลนะคะ สังเกตว่าช่วงที่ทานแล้วผิวดีขึ้นจริง ๆ บางทีคนใกล้ตัวยังทักเลย มันเป็นไปได้รึเปล่าคะว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ได้ผลเฉพาะบางคน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องต่อต้านกันไปเสียหมดนะคะ เพราะสำหรับคนที่เค้าได้ผล มันก็น่าจะมีประโยชน์จริง ๆ

เมื่อมีกระทู้แนวนี้ออกมา ก็เดาได้ว่าจะต้องมีคนมาตอบแบบตามคิวเป๊ะ ว่า

เรื่องแบบนี้ลองใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมคิดดูเอาเองก็ได้นะครับ  คอลลาเจนมันเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน เวลากินอาหารเข้าไป โปรตีนจะถูกย่อยเป็นเปปไทด์สายสั้น ๆ ในกระเพาะ แล้วก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนในลำไส้เล็กก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพราะฉะนั้นคอลลาเจนที่กินเข้าไปมันก็ถูกย่อยหมด แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกับร่างกายได้ยังไงครับ มันก็เหมือนกินโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ ตามธรรมชาติ เพราะยังไงมันก็ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนเหมือนกันอยู่ดี ที่ว่ากินแล้วผิวดีขึ้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ น่าจะคิดไปเองมากกว่า

...ครับ...

xxแอดxx WRONG ANSWER!!

...

ในเหตุการณ์สมมุติข้างต้นนี้ จะเห็นได้นะครับว่ามีฝ่ายหนึ่งแสดงความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

นั่นก็คือผู้ตั้งกระทู้

เพราะผู้ตั้งกระทู้ได้แสดงให้เห็นว่ารู้จักตั้งคำถาม รู้จักสังเกตจากประสบการณ์ตรงของตน รับฟังข้อมูล และพยายามหาคำตอบเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่รู้

ขณะที่ผู้ตอบกระทู้อาศัยความเชื่อมั่นในความรู้วิทยาศาสตร์ของตนที่มีอยู่ นำมาหักล้างข้อสังเกตของอีกฝ่าย และฟันธงปฏิเสธในทันทีว่าสิ่งที่ขัดกับความรู้ของตนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

ความเชื่อแบบตายตัวเช่นนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

การที่ผู้ตอบกระทู้แสดงความยึดมั่นว่าสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้เสนอ ซึ่งไม่ตรงกับความรู้ของตนเอง ต้องเป็นเท็จ ก็ไม่ต่างจากการที่กาลิเลโอต้องถูกไต่สวนโดยศาสนจักรเพราะสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัสว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ

หากแต่วิทยาศาสตร์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตและการทดลอง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าใจ

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาจากการยืนยันสมมุติฐาน ว่าสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สังเกตได้ หากพบหลักฐานใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับความรู้ดังกล่าว นั่นแปลว่าความรู้เราอาจยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายหลักฐานใหม่นั้น ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมและพัฒนาความรู้กันต่อไป ไม่ใช่ปฏิเสธว่าว่าหลักฐานใหม่นั้นผิดเสียตั้งแต่ต้น

ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะยังเชื่อกันอยู่ครับ ว่าหนอนแมลงวันเกิดมาจากเนื้อเน่า

อะไรที่เรายังไม่รู้ จะมีโอกาสรู้ได้ก็ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามอย่างของผู้ตั้งกระทู้ที่ยกตัวอย่างครับ ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์จะยังจำกัดอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ควรจะสอน ไม่ใช่สั่งให้ปิดปากบอกให้เงียบเสีย

จะเป็นประโยชน์กว่ามากครับ ถ้าจะตอบกระทู้โดยอธิบายว่า

การที่ จขกท.รู้จักสังเกตแล้วก็ตั้งคำถามนั้นก็ดีแล้ว แต่ข้อเท็จจริงทางชีวภาพจะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวแค่นี้มันไม่พอหรอกครับ เพราะมันมีปัจจัยรบกวนเยอะเกินกว่าที่จะเอามาบอกอะไรได้

อย่างแรกก็คือความรัดกุมในการทดลองครับ การที่ จขกท.ลองดื่มเครื่องดื่มคอลลาเจน แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองนี่นับได้ว่าเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการทดลองที่ไม่รัดกุม ก็เลยยังไม่น่าเชื่อถือครับ การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีกลุ่มควบคุมมาเปรียบเทียบ และมีการควบคุมตัวแปรให้รัดกุมครับ

ตัวแปรต้นในที่นี้ก็คือการดื่มหรือไม่ดื่มคอลลาเจน ซึ่งที่ จขกท.ทำ คือเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็ไม่ผิด แต่ที่ขาดไปคือไม่ได้มีการเปรียบเทียบกับ placebo (ยาหลอก) และไม่มี blinding ซึ่งก็คือการปิดข้อมูลไม่ให้ผู้ถูกทดลองรู้ว่าในการทดลองขณะนั้นตนเองได้กินคอลลาเจนจริง ๆ หรือกิน placebo ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะบอกไม่ได้ว่าผลที่สังเกตได้มันเกิดจากผลของคอลลาเจนจริง ๆ หรือเป็น placebo effect คือการที่เห็นว่าได้กินยาแล้วก็มีผลขึ้นเองทั้งที่อาจจะกินยาหลอก คือไม่ใช่ผลจากยาที่ทดลอง

ตัวแปรตาม ในการทดลองจะต้องกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่นจะดูความนุ่มของผิวเทียบกับก่อนเริ่มดื่ม หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยต้องมีวิธีการวัดที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เหลือคือตัวแปรควบคุม ซึ่งจะต้องกำหนดให้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ดื่มคอลลาเจนหรือ placebo

ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะตอบคำถามในเชิงสุขภาพ เพราะในความเป็นจริง เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ 100% และก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่คุมไม่ได้อีกอย่าง คือความบังเอิญ การตัดความไม่แน่นอนจากความบังเอิญออกไปจะต้องอาศัยการทดลองซ้ำ (เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งเยอะยิ่งดี) ซึ่งโดยปกติสำหรับคำถามทางสุขภาพแบบนี้จะทำการในรูปแบบของงานวิจัยขนาดใหญ่ โดยเลือกผู้ร่วมงานวิจัยมาตามจำนวนที่กำหนด แล้วทำการสุ่ม ให้ครึ่งนึงเป็นกลุ่มทดลอง อีกครึ่งเป็นกลุ่มควบคุม นำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกันในทางสถิติ งานวิจัยแบบนี้เรียกว่า randomized controlled trial (RCT) ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้มากที่สุดครับ

สรุปแล้วก็คือ การที่ จขกท.สังเกตว่าตัวเองดื่มคอลลาเจนแล้วผิวดีขึ้นนั้น ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นผลของคอลลาเจนหรือเปล่า เพราะมีปัจจัยรบกวนได้เยอะครับ ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ก็ต้องอาศัยการวิจัยแบบ RCT อย่างที่บอกครับ ส่วนการอธิบายด้วยความรู้เชิงทฤษฎีนั้นเป็นปัจจัยรองลงมา เพราะถ้ามีผลการวิจัยออกมาว่าได้หรือไม่ได้ผลยังไง ความรู้ทางทฤษฎีก็ต้องปรับตามครับ

อย่าลืมนะครับ ว่าความสำคัญของหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับวิทยาศาสตร์ไม่ได้จำกัดแค่วิทยาศาสตร์ชีวภาพ แม้ว่าความรู้ทางทฤษฎีของวิทยาศาสตร์กายภาพจะนิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ชีวภาพอยู่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไร ทฤษฎีก็ต้องตามหลังปฏิบัติเสมอ

สมมุติว่าเอาเครื่อง GT200 มาทดลองแบบควบคุม แล้วผลการทดลองพบว่ามันชี้ระเบิดได้ถูกต้องมากกว่าการเดาสุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษยชาติบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นยิ่งจะเป็นเหตุผลให้ต้องหาคำตอบครับ ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร


*อาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ แต่เนื้อความในเอ็นทรีนี้ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดในกระทู้ดังกล่าวแต่อย่างใด

6 May 2013

เกรียนฟิคฯ

อุตส่าห์ว่าดูจบก็จะจบ ๆ แล้วนะ ปรากฏจบไม่ลง~ ขอระบายทิ้งหน่อยละกัน

ก็อย่างที่บอกว่าเห็นคำชมหลุดมาประปรายในทวิตเตอร์ เลยดู ๆ เห็นกระแสตอบรับดี ไม่เกรียนอย่างเดียวแบบหน้าหนังที่ออกมา (คืออย่างน้อยเทียบกับความคาดหวังจากตัวอย่างแล้วหนังก็ดีทีเดียว) ซึ่งดูแล้วก็ชอบนะ สารภาพว่าแอบไปดูซ้ำด้วย (ความจริงคือฝังใจที่รอบแรกมาไม่ทัน เข้าช้าไป 10 นาทีมากกว่า)

และก็เหมือนเดิม วิจารณ์หนังไม่เป็น แต่ลองดูที่เค้าวิจารณ์กันว่ายังไม่ดีเท่าผลงานเรื่องอื่นของมะเดี่ยวอย่างโฮมหรือรักแห่งสยาม ก็เห็นด้วยนะ ว่าอารมณ์หนังมันเหมือนยังไม่สุด แล้ว [plot elements] บางอย่างมันดู [forced] เกินไป ส่วนตัวดูแล้วรู้สึกดีทีเดียว แต่ก็พอจะบอกได้ว่า เนื้อหาที่สื่อออกมายังค่อนข้างเบา แล้วก็รู้สึกเหมือนหนังพยายามจะเล่าเรื่องราวอะไรมากมายที่จับยัดใส่เวลา 2 ชั่วโมงแล้วมันเลยไม่พอ มีบางประเด็นที่เหมือนจะไม่จบ ซึ่งพอดูรอบสองแล้วก็เห็นว่าเยอะอยู่ทีเดียว

ยังไงขอหยิบโน่นนี่มาพูดถึงเป็นข้อ ๆ...

ALERT! สปอยล์กระจาย

  • ชอบการใช้เรื่องราวความเกรียนเป็นเครื่อง [carry] ตัวเรื่อง แม้จะไม่ได้เป็น [plot device] สำคัญแต่ก็สื่อถึงอารมณ์วัยรุ่นได้อย่างดี ฉาก [montage] แต่ละฉากสวยมาก การใช้เพลงประกอบก็สุดยอด
  • เพิ่งรู้ทีหลังว่า รร.วารีเชียงใหม่มีอยู่จริง เสร่อ แต่แอบแปลกใจนิดนึง (แต่โฮมก็ใช้ รร.มงฟอร์ตนี่นา)
  • เรื่องของทิพย์กับ อ.เสน่ห์นี่โผล่มานิดเดียวแล้วหายไปเลย งง ๆ ว่ามันควรจะมีความหมายอะไรมากกว่าเป็นแค่ฉากตลกหรือเปล่า
  • ยังไม่เข้าใจ "แต่งงานกันมั้ยคะ" ด้วยว่าจะสื่อว่าไง เกี่ยวกับที่ตี๋ขอเขตต์ตอนหลังหรือเปล่า
  • ผู้หญิงที่ อ.แดงต้อยพูดด้วยประมาณว่า "ตรงนั้นควรจะเป็นที่ของเธอ" ตอนละครรจนาเลือกคู่คือใครนะ
  • เรื่องของก้อย ไม่แน่ใจว่าแรก ๆ เหมือนจะสื่อว่าก้อยแอบชอบตี๋อยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรต่อนอกจากเฉลยเรื่องของน้องเอ ที่ก้อยอยากเป็นนักข่าวก็เหมือนหายไป
  • เรื่องเสื้อของก้อยด้วย ทั้ง "มึงตามหาเสื้อ แล้วเจ้าของเสื้อตามหามึงปะ" (ไม่แน่ใจว่าตี๋คิดอะไร ณ จุดนั้น) แล้วก็ฉาก [montage] ตอนหลังที่ตี๋ใส่เสื้อนั้นอยู่
  • เรื่องพลอยดาวก็ดูรวบไปเยอะ ทั้งกับโอ๊ต (ไม่แน่ใจว่าพลอยดาวชอบโอ๊ตจากละครรจนาเลือกคู่?) แล้วก็ตี๋ (ที่โอ๊ตบอกว่า "ถ้าพลอยรู้นะ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง" เรากลับแทบไม่ได้เห็นเลย (รู้แต่ว่ามีฉาก "ร่มมั้ยคร้าบ" ในตัวอย่างที่ถูกตัดไป)) ที่ตี๋บอกประมาณว่า "ที่ผ่านมา กูคิดว่ามึงพยายามช่วยกูมาตลอด" ก็เหมือนกัน
  • พูดถึงการเปลี่ยนตัวตอนรจนาเลือกคู่ ทั้งแป๋ง ตี๋ โอ๊ต ส่วนสูงนี่คนละเรื่องกันเลย แอบสงสัยว่าไปบอกพลอยดาวว่ายังไงเขาถึงไม่สงสัย
  • แล้วก็พูดถึงฉากแสดงละคร ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อว่าลิปซิงค์อยู่แล้วหรือเปล่า แต่มันชัดมาก
  • ฉากร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ป้าบอกว่ามีอะไรในตัวก็ให้เอามาจ่าย เห็นนะว่ายังมีนาฬิกาข้อมืออยู่
  • โมน/โมนนี่ทำไปทำไมนะ แต่ตอนแรกก็ไม่สังเกตจริงแหละ เมคอัพเขาใช้ได้อยู่ (แต่อุตส่าห์ lampshade ให้ตั้งสองรอบ~)
  • แต่พูดถึงเมคอัพ รอยเจาะหูนี่ใช้เมคอัพปิดไม่ได้เหรอ แอบรำคาญอยู่เกือบตลอดเรื่อง
  • ความสัมพันธ์ของตี๋กับทิพย์ สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าปมมันคืออะไร ทำไมแค่ทิพย์บอกขอโทษก็จบง่ายขนาดนั้น ที่จริงต้องบอกว่าไม่เข้าใจทิพย์ด้วย คือพอนึกออกว่าจะเป็นแม่ก็ทำไม่เป็น/ไม่กล้า/ไม่อยาก ไม่ยอมรับความจริง แล้วก็โทษตัวเอง แต่ทำไมถึงต้องแสดงออกว่าไม่ใส่ใจตี๋เลยทั้งที่เห็นอยู่ว่าห่วงใยกัน
  • ที่ทิพย์คบกับเขตต์ด้วย เห็นแต่ตอนแรกตี๋ไม่พอใจ แล้วมาอีกทีก็ขอให้แต่งงานละ เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า ตอนที่ทิพย์กรีดข้อมือนั่นมันเกิดอะไรขึ้น
  • ตอนที่เขตต์หนีไปแล้วก็กลับมาด้วย ดอกกุหลาบสีขาว/สีแดงจะสื่ออะไรนะ
  • แล้วชุดแต่งงานนี่น้าหอยแกยกให้เป็นที่ระลึกเหรอ แต่ถึงงั้นคนจะขึ้นรถไฟก็น่าจะอยากแต่งตัวธรรมดาหน่อยเปล่านะ
  • ชอบฉากไล่ต่อยกันที่ปราณบุรีสุดละ สารภาพว่าน้ำตาซึมไปนิดนึง

หมดละ (มั้ง) แต่ขอบ่นเรื่องนอกจอที่ทำให้ดูไม่ทัน คือไปดู SF เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดน Iron Man 3 กลบมิดเลย เหลือแต่รอบเที่ยง แล้วกว่าจะมาเช็คก็เกือบเที่ยงละ แถมเจอคิวซื้อตั๋วอีกสิบนาที จากที่จะทันพอดีเลยกลายเป็นไม่ทัน~ ความจริงถ้าซื้อตั๋วออนไลน์ก็ทันละ แต่ดันซื้อหลังเวลาหนังเริ่มไม่ได้ซะนี่ แต่ในอีกแง่นึง ก็ทำให้ใช้แต้มบัตรเครดิตกสิกรแลกตั๋วหนังได้ในราคาเทียบเท่า 100 บาท (ใช้ได้ถึงสิ้นปีนะครับ)

เอ้อ อีกเรื่องนึง:

  • ฉากเด็กผู้ชายเปลือยท่อนบนเมิงจะเยอะไปไหนวะครับ -"-

25 April 2013

End of an era: Good bye, Windows Live Messenger

ถูกถอดปลั๊กไปเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับโปรแกรม Windows Live Messenger บนเครื่องของผม หลังจากที่พ้นกำหนดอายุการใช้งานที่ไมโครซอฟท์ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา

และถึงแม้ว่าผมคงจะทำการรวมบัญชีกับ Skype ต่อไป และไมโครซอฟท์ก็ยังคงให้บริการ Messenger service ผ่านช่องทางอื่นไปอีกระยะหนึ่ง ยังไงก็อยากจะใช้โอกาสนี้รำลึกถึงบริการ instant messaging นี้ที่อยู่ด้วยกันมากว่า 10 ปี

ความจริงตอนที่เริ่มมี MSN Messenger เมื่อกรกฎาคม 1999 นั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มใช้ ICQ ด้วยซ้ำ มารู้จัก msnmsgr ก็ราวอีกสองปีถัดมา ขณะที่ความนิยม ICQ ก็เริ่มถดถอยลงไป

และถึงแม้ว่า ICQ จะยังคงให้บริการอยู่ในปัจจุบัน (ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้) สำหรับเพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกัน ก็คงเรียกได้ว่าทั้ง ICQ และ MSN Messenger ต่างเป็นแก่นหลักอย่างหนึ่งในชีวิตช่วงนั้น ที่มีบทบาทสืบเนื่องถัดกันมา

และหลายคนก็คงจะมีความทรงจำหลากหลายเกี่ยวกับทั้งสองบริการนี้ ไม่ว่าจะเป็น...

  • เสียงเรียกเข้า "โอ๊ะโอ" ของ ICQ (ที่ตอนหลังถูกแทนที่ด้วย "ตื่อดือดึ๊ง" ของ MSN Messenger)
  • จอข้อความที่ต้องกด tab เพื่อย้ายโฟกัสไปที่ปุ่ม Send (ซึ่งพอเปลี่ยนมาใช้ MSN Messenger ก็สับสนบ่อย ๆ เพราะไม่ต้องกด) และการ์ตูนหน้าคนที่จะเลื่อนหมุน ๆ เวลาส่งข้อความ
  • ปรากฏการณ์ Fwd URL ระบาด
  • หน้าจอ contact list ที่แสดงชื่อเป็นสีน้ำเงินหรือสีแดง พร้อมดอกไม้แสดงสถานะ
  • ซึ่งก็จะเห็นคนตั้งชื่อว่า "ลิสต์หาย ใครเห็นทักมาหน่อย" อยู่บ่อย ๆ
  • พอย้ายมา MSN Messenger ก็ไม่มีปัญหานี้ เพราะมันเก็บข้อมูล contact ให้
  • แต่ contact list ดันเต็มที่ 150 คน~ (มาเพิ่มให้ตอนปี 2005)
  • แล้วก็มีแฟชั่นข้อความต่อท้ายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นระบายอารมณ์ รำพึงรำพัน หรือโพสต์เพลงต่าง ๆ นานา
  • MSN Messenger เอง ก็เปลี่ยนหน้าตาเปลี่ยนความสามารถอยู่หลายครั้ง จากเดิมที่เป็นโปรแกรมเรียบ ๆ ง่าย ๆ ต่อมาก็มีเกม (จำ Minesweeper Flags กันได้ไหม) มีการเชื่อมโยงกับ MSN Spaces (ต่อมาเป็น Windows Live Spaces) มีฟังก์ชันเขย่าจอ มี custom emoticons มี video chat (ซึ่งไม่เคยใช้เลย) มีอะไรต่อมิอะไร ฯลฯ

ในปี 2005 MSN Messenger เปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger (WLM) แต่ชื่อ MSN ก็ฝังลึกในสังคมจนการ "ออนเอ็ม" หรือ "คุยเอ็ม" กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาพูดทั่วไปไปแล้ว แต่แน่นอนว่าอะไรที่ได้รับความนิยมก็ย่อมมีเสื่อมความนิยมตามมา การเติบโตของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Facebook เปิดให้ลงทะเบียนได้โดยไม่ต้องสังกัดสถานศึกษาในปี 2006 พร้อม ๆ กับที่ Hi5 เริ่มติดกระแสในประเทศไทย) และการขยายตัวของตลาด smartphone ที่ WLM ทะลวงเข้าไปไม่ถึง ต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนคนออนไลน์บน WLM ลดลงไปเรื่อย ๆ จากที่เคยมีวันละหลายสิบ (แต่ก็ไม่ได้คุย) กลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแค่คนที่เปิด Hotmail ทิ้งไว้ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

แม้จะไม่ต้องสงสัยว่าทุกวันนี้พื้นที่ที่ MSN Messenger เคยยืนอยู่จะถูก Facebook (และ Line) กลืนไปเกือบหมดแล้ว

แต่ความเป็นสัญลักษณ์ของ MSN Messenger ก็จะยังคงอยู่ ในฐานะสิ่งที่โตมาเคียงข้างชาว Generation Y ไม่ต่างจากโทรศัพท์สำหรับคนรุ่นก่อนหน้า หรือสิ่งใด ๆ บนโลกออนไลน์ที่จะตามมาสำหรับชนรุ่นถัดไป

11 February 2013

ตัดต่อชัด ๆ

วันนี้จะขอกล่าวถึงภาพภาพนี้ โดยคุณ pattpoom จาก Flickr ครับ

~ Bangkok Tonight ~

ในแง่สุนทรียภาพคงไม่จำเป็นต้องบรรยาย เพราะคอมเมนต์บนหน้า Flickr ก็อธิบายในตัวอยู่ระดับหนึ่งแล้ว แต่ในสมัยที่เทคโนโลยีการแต่งภาพแบบดิจิทัลก้าวไกลขนาดนี้แล้วผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเวลาเห็นภาพที่น่าแปลกตาเช่นนี้ก็คงคิดในใจว่า "ตัดต่อหรือเปล่านะ?"

ที่จริงเจ้าของผลงานเขาก็อธิบายและให้รายละเอียดอุปกรณ์และการตั้งค่ากล้องไว้ในคำบรรยายภาพแล้วล่ะครับ ว่าเป็นภาพประกอบจากภาพวัดอรุณกับภาพดวงจันทร์ที่ถ่ายแยกกัน แต่กระนั้นแล้วข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ได้บอกว่าองค์ประกอบที่แต่งขึ้นนั้นมีมากแค่ไหน

แต่ภาพนี้สังเกตเพียงเล็กน้อยก็บอกได้ง่าย ๆ ครับว่าดวงจันทร์ที่อยู่ตรงนั้นมัน "ตัดต่อชัด ๆ"

ที่ง่ายที่สุดก็คือ ข้อมูล EXIF ในภาพระบุเวลาถ่ายว่า 21:53 วันที่ 06/06/2009 ใครที่มีความสนใจดาราศาสตร์แม้เพียงเล็กน้อยคงบอกได้ว่าดวงจันทร์ (เกือบ) เต็มดวงแบบนี้ ไม่มาอยู่ริมขอบฟ้าเวลานี้หรอกครับ ต่อให้ตั้งเวลากล้องผิด ดวงจันทร์ที่เกือบเต็มดวงจะมาอยู่ใกล้ขอบฟ้าตะวันตก (คงทราบกันว่าวัดอรุณตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก) ก็ต้องเช้ามืดเกือบรุ่งแล้ว ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าวัดอรุณคงไม่ได้เปิดไฟส่องพระปรางค์ทิ้งไว้ทั้งคืน แต่ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าบาร์ Amorosa ที่ Arun Residence คงไม่ได้เปิดโต้รุ่งแน่ ๆ

นอกไปจากนั้น ดวงจันทร์ในภาพนั้นยังกลับหัวอีกด้วย จะเห็นได้ว่าถูกหมุน 180° จนขั้วเหนือหันไปทางใต้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะเดาว่าเป็นเพราะภาพถูกถ่ายเมื่อดวงจันทร์ยังอยู่ในซีกฟ้าตะวันออก แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือ นั่นแปลว่าเงาดวงจันทร์ที่เห็นนั้นไม่ใช่เงาข้างขึ้นประมาณ 14 ค่ำ (ซึ่งตรงกับวันที่ถ่ายภาพ) แต่เป็นเงาข้างแรมประมาณ 1 ค่ำ! แสดงว่าดวงจันทร์ในภาพ ไม่ใช่แค่ถ่ายจากคนละชั่วยาม แต่ถ่ายจากคนละเดือนกันทีเดียว

โอเค งั้นเจ้าของภาพอาจจะใช้เทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงานมากพอควร แต่นั่นก็ไม่ได้บอกว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จริง หรือเปล่า? ถ้าเราลองเทียบข้อมูลตำแหน่งดวงจันทร์ (จากหอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐฯ) เมื่อเช้ามืดวันที่ 07/06/2009 ณ ระดับความสูงเชิงมุมประมาณ arctan(290/480*80/275) ≈ 10° (เทียบจากความสูงของพระปรางค์ประมาณ 80 m และระยะแนวราบจากกึ่งกลางพระปรางค์ถึง Amorosa ประมาณ 275 m) จะเห็นว่าเวลา 04:15 ดวงจันทร์อยู่ที่ตำแหน่งแอซิมัทประมาณ 240° ซึ่งต่างจากประมาณ 235° ที่เห็นในภาพนิดเดียว แปลว่าอาจจะมีคืนอื่นที่ดวงจันทร์ตกผ่านตำแหน่งนี้พอดีก็ได้ (แต่จริง ๆ แล้วในเช้ามืดวันที่ 7 มิ.ย. ดวงจันทร์จะตกผ่านหลังพระปรางค์องค์ประธานเกือบพอดี)

ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดในภาพ คือขนาดของดวงจันทร์ล่ะ ถ้าพระจันทร์วันเพ็ญตกข้างพระปรางค์วัดอรุณแบบในภาพจริง ๆ เราจะเห็นดวงจันทร์ใหญ่ขนาดนั้นหรือเปล่า? ถ้าลองเทียบขนาดด้วยวิธีเดียวกันข้างต้น จะได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ arctan(96/480*80/275) ≈ 3.33°

อนิจจา ช่างมากเกินกว่าขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์ประมาณ 30′ (ครึ่งองศา) ไปกว่า 6 เท่า สรุปได้ง่าย ๆ ว่าดวงจันทร์ที่เห็นในภาพ ถูกขยายให้ใหญ่เกินจริงไปมากครับ

อันที่จริงมีวิธีเทียบที่ง่ายกว่านี้มาก เพราะขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นใกล้เคียงกัน ลองสืบค้น Google ด้วยคำค้น Wat Arun sunset จะพบภาพดวงอาทิตย์ตกใกล้พระปรางค์วัดอรุณหลายภาพ นั่นแหละครับ คือขนาดที่แท้จริงของดวงจันทร์เทียบกับพระปรางค์ ที่จะมีโอกาสได้เห็น

ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ศิลปินย่อมมีโอกาสใช้เทคนิคในการสร้างผลงานได้หลากหลาย แต่บางครั้ง เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในผลงานนั้นมีต้นกำเนิดแต่ในจินตนาการของศิลปิน หาได้มีอยู่ในธรรมชาติไม่ เราก็แอบอดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้ แม้ว่าสุนทรียภาพของตัวงานนั้นเองจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

Edited 2013-03-11: กว่า 6 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า