เมื่อปีที่แล้วผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ [awareness] เรื่องภาวะโลกร้อนในประเทศไทยไว้นิดนึง... เอาเข้า ถึงตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่าดูภาวการณ์น่าเป็นห่วงจริง ๆ
เพราะไม่ว่าทั้งภาครัฐหรือเอกชน ต่างฝ่ายก็ยังไม่เห็นมีใครทำอะไรที่ดูจะพอจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันในอนาคตอันใกล้นี้เลย (หรือผมไม่เห็นเอง?) วัน ๆ เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่จะเอาเรื่องภาวะโลกร้อนไปเป็นเครื่องมือหากิน บ้างยังพยายามทำเป็นรณรงค์โน่นนิดนี่หน่อย บ้างก็ทำโลกร้อนเองเสียดื้อ ๆ ด้วยซ้ำ
ความรู้ความเข้าใจของประชาชน และความตระหนักในปัญหา มันไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ
เพราะตอนนี้ผมมีเหตุให้ต้องสงสัยอยู่มากทีเดียว ว่าคนที่เข้าใจถึงสาเหตุของภาวะโลกร้อนในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีมากกว่าคนที่กำลังแตกตื่นกันอยู่เรื่องวันที่จะเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมโลกเท่าไรเชียว
ไว้มีเวลาจะมาขยายความแล้วกัน ระหว่างนี้ก็ขอให้คลิกไปอ่านบทความจากจดหมายข่าวกรีนพีซ เดือนกันยายน-ธันวาคม 2550 เรื่อง กรีนพีซปลื้มคนไทยสนใจโลกร้อน เตือนอย่าเห็นเป็น "แฟชั่น" ฮิตแล้วเลิก: แนะต้องเฝ้าจับตานโยบายรัฐ-เร่งปฏิบัติจริงจัง ไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ
ป.ล. ผมยังไม่แนะนำให้รีบหาทางซื้อรถที่รองรับน้ำมัน E85 นะครับ ไม่ทราบว่าเร็วแค่ไหนรัฐบาลจะเปลี่ยนนโยบายตามอำเภอใจอีก หรือนานแค่ไหนจะรู้ตัวกันว่าเอาที่นาไปปลูกอ้อยหมดจนไม่มีข้าวกินกันแล้ว
ป.ป.ล. เรื่องน้ำมันแพง มองในแง่หนึ่งก็ [ironic] ดีนะครับ ถือได้ว่าเป็นภาษี CO₂ ที่ไม่ได้ตั้งใจไปในตัว
อืม ว่ามีเยอะนะครับงานที่ทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน
ReplyDelete(ทราบหลังจากที่เริ่มทำโครงการ begreen)
แต่ marketing มันเห่ยเกินกว่าที่เราจะรู้จักกันได้
จากการพิสูจน์แล้วด้วยตัวเอง พบว่าน้ำมันที่ผสมแอลกอฮอล์ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากไปกว่าการใช้เบนซิน 95 หรือ 91 ตามปกติ
ReplyDeleteถ้าว่ากันในแง่ของราคาที่เราต้องจ่าย ขอบอกว่าถึงแก๊สโซฮอล์จะถูกกว่า แต่ระยะที่วิ่งได้ก็สั้นกว่า บวกลบคูณหารแล้วออกมา ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ อาจจะถูกกว่านิดหน่อย
ในแง่ของมลภาวะนี่ได้ยินมาว่าแก๊สโซฮอล์แย่กว่า แต่อันนี้ไม่มีหลักฐาน และขี้เกียจไป search หา รอเจ้าของ blog ละกัน
แต่แอลกอฮอล์ที่เอามาผสมนั่นน่ะ แน่ใจนะว่ากระบวนการได้มาซึ่งสิ่งนั้นคุ้มกัน? ใช้แอลกอฮอล์คุ้มกว่าจริง? กระบวนการกลั่นแอลกอฮอล์ไม่ต้องใช้พลังงานหรือ? แล้วพลังงานนั้นมาจากไหน? ขี้ช้างจับตั๊กแตนหรือเปล่า? แต่ที่แน่ ๆ แอลกอฮอล์กำลังทำให้ของกินราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ นะ หรือว่าไง?
เรื่องพลังงานเนี่ย ทางยุโรปที่เคยสนับสนุนเรื่องแก๊สโซฮอล์ก็เริ่มตระหนักแล้วว่าน่าจะไม่ work แต่ทางยุโรปก็มีความพยายามจะทำไปทางดีเซลอยู่ด้วยเหมือนกัน
ส่วนรถรองรับแอลกอฮอล์ที่ส่วนใหญ่เป็นค่ายฝั่งญี่ปุ่นผลิตน่ะนะ เขาก็แค่สนองนโยบายรัฐจะได้ขายของได้เท่านั้นเอง จริง ๆ ก็เริ่มเข้าขั้นผูกขาด เพราะถ้าต่อไปรถยุโรปไม่ทำให้รองรับแก๊สโซฮอล์ ก็จะขายไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ก็หาที่เติมน้ำมันเบนชิน 95 ไม่ค่อยได้อยู่แล้ว ญี่ปุ่นมีแต่ได้จากไทยเท่านั้น กินอิ่มอ้วนกันเห็น ๆ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้เราเห็นด้วยกับ trend ของฝั่งสหรัฐฯเกี่ยวกับระบบ Hybrid ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าดีกว่าใช้แก๊สโซฮอล์เห็น ๆ และมลภาวะก็น้อยกว่าจากการที่ใช้พลังงานไฟฟ้ากึ่งหนึ่งและโดยเฉพาะขณะที่รถจอดนิ่ง เพราะในขณะที่รถจอดนิ่ง การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จะเกิดมากกว่าขณะรถเคลื่อนที่ และมลภาวะก็เกิดมากกว่า การใช้ Hybrid system จึงแก้ปัญหาตรงนี้ได้ชัด ๆ หนึ่งจุด ไม่รวมความประหยัดที่ได้มาอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ระบบ hybrid มีขนาดและน้ำหนักมาก การแบกของหนักไปตลอดย่อมเผาผลาญน้ำมันมากกว่าด้วย แต่หักลบกลบหนี้แล้วก็ยังประหยัดกว่าทั้งดีเซล และแก๊สโซฮอล์อยู่นั่นเอง
แต่นั่นแหละนะ รถ Hybrid - คงต้องรอรวยเท่าสหรัฐฯก่อนถึงค่อยฝันต่อ
แต่แก๊สโซฮอล์นี่... เลิกตกเป็นหนูทดลองของฝรั่งซะทีเหอะ อีกอย่าง ธุรกิจผลิตแอลกอฮอล์นี่เสพสุขกันไปถึงเท่าไหร่แล้วนะ ใครนั่งรับกำไรอยู่เบื้องหลังหว่า...
(พอดีบทความกระตุ้นต่อมงกและไม่สบอารมณ์เรื่องน้ำมันแพง เลยยาว)
อืม
ReplyDeleteเรื่องโลกร้อนก็น่าสนใจนะครับ ผมเองก็เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้ามีเงินสักล้านนึง จะทำโครงการอะไรที่ช่วยลดโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม (จริง ๆ)
นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก...
ส่วนแก็สโซฮอล์ น่าสนเหมือนกันครับ ถ้ามันไม่ได้ประหยัดมากกว่าน้ำมันจริง ๆ (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหักลบกันอย่างไร หรือมีวิธีคำนวนกว่าอย่างไร) ผมว่ากลไกตลาดเองก็คงทำให้มันไม่เฟื่องหรอกครับ (แต่ถ้าเป็นน้ำมันที่ใส่แอลกอฮอล์มากกว่า 50% อันนี้น่าจะเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมชัดเจนกว่า)
รถ E85 ถึงอยากหาก็หาไม่ได้หรอกครับ
- มันยังไม่ขายในเมืองไทย
- ถึงขาย ตอนนี้ก็ยังไม่มีปั๊มไหนจ่ายนำมันชนิดนี้อยู่ดี
อีกสัก 3-5 ปีนู่นแหละครับ ขนาดรถอีโคคาร์ รถ E20 รถไฮบริด พูดกันมาหลายปีแล้ว (ไม่ต่ำกว่า 5 ปี) ยังไม่เห็นมีมาแล่นในเมืองอมรกันเลยนี่นะ