4 April 2014

น้องผู้ชายที่นั่งทำการบ้านกับตาชั่งตรงทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ

วันนี้เห็นการวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาของไทยประกันชีวิตที่เพิ่งออกมาใหม่ รวมถึงข้อทักท้วงจากมูลนิธิกระจกเงา แล้วจึงนึกถึงน้องผู้ชายที่นั่งทำการบ้านกับตาชั่งตรงทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ...

คนที่เดินผ่านตรงนั้นบ่อยช่วงราว 10 ปีที่แล้วอาจจะจำได้ น้องเค้าจะนั่งทำการบ้านอยู่กับเครื่องชั่งกับกระป๋องรับเงินเป็นประจำเกือบทุกวัน มีป้ายข้อความเรื่องประมาณเกี่ยวกับหาเงินเรียน/ช่วยทางบ้านวางเอาไว้

ดูเหมือนจะมีคนสนใจเรื่องของน้องเขาพอควร เพราะต่อมาก็เห็นมีบทความข่าวถ่ายเอกสารแปะฟีเจอร์บอร์ดมาวางแทน ผมเจอน้องเค้าทุกวันก็สนใจอยากรู้เรื่องราวดังกล่าวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปดูบทความนั้นใกล้ ๆ หรือคุยกับน้อง

เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะไปอยากรู้ก็ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้จะคุยอะไรก็ส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเหตุผลหลักที่ไม่กล้านั้น คือเหตุผลเดียวกับที่อยากรู้ขึ้นมาตั้งแต่แรก

นั่นคือ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ครั้งใดที่เห็นน้องเค้านั่งอยู่ตรงนั้น ก็จะต้องเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างเตี้ย ผมสั้นไม่เรียบร้อย สวมหมวกแก๊ป ใส่แจ็กเก็ตตัวโคร่ง ๆ ยืนพิงราวทางเดินอยู่ไม่ห่างไปเท่าไรนักเสมอ

แท้จริงแล้วเธอจะยืนทำอะไรผมก็คงไม่ทราบได้ ได้แต่สังเกตว่าน้องกับเธอจะปรากฏตัวร่วมกันทุกครั้ง หากไม่อยู่ก็จะไม่เห็นทั้งคู่ ไม่เคยมีวันใดที่คลาดไปจากนี้เลย

คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าเธอมายืนเฝ้าน้องอยู่ แต่ความคิดนี้ก็นำไปสู่คำถามต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งว่าทำไมจึงต้องเฝ้า? ถ้าไม่เฝ้าน้องเขาจะไปไหน? เธอคนนี้เป็นใคร? น้องเขามาจากไหน? ภาพที่เห็นทุกวันเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ามนุษย์หรือเปล่า? แต่งั้นแล้วจะไม่มีใครรู้เรื่องแล้วทำอะไรเลยเหรอ? แล้วนักข่าวที่มาทำข่าวล่ะ? แล้วเธอคนนั้นก็ดูรู้จักคุ้นเคยกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่วางสินค้ากีดขวางทางเดิน ถ้าเป็นขบวนการอะไรเขาคงไม่กล้าทำอย่างนี้ที่เดิมตลอดทุกวันหรอก? นี่เราคิดอคติไปเองหรือเปล่า? แต่งั้นถ้าไม่ใช่แล้วเธอจะมายืนทำอะไร?

ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านหัวผมเกือบทุกครั้งที่เดินผ่านและเห็นน้องเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยความกลัว ทั้งกลัวที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว กลัวคำตอบที่อาจจะพบ และกลัวที่จะก้าวออกจากเส้นทางปกติที่เดินตรงผ่านไปเป็นประจำ ผมจึงบอกตัวเองไปทุกครั้งไม่ให้ทำอะไร ได้แต่เมินเฉยต่อความเป็นห่วง และปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นพัดผ่านเลยไป

เวลาผ่านไป ภาพที่เห็นจนชินตานั้นเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ ความคิดกังวลทั้งหลายเริ่มกลายเป็นชาชิน แต่ประกายความเป็นห่วงเล็ก ๆ นั้นก็ยังวาบขึ้นเสมอเมื่อเห็นน้องตรงนั้น แม้จะถูกดับลงอย่างรวดเร็วทุกครั้งก็ตาม

ผมสัญจรผ่านทางเดินรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นประจำอยู่ราว 5 ปี ผมเห็นน้องตลอดช่วงนั้น ตั้งแต่ยังเด็กจนใส่ชุดนักเรียน ม.ปลาย จากนั้นจึงไม่ค่อยได้ผ่านไปทางนั้นอีก ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเห็นน้องเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่แม้จะไม่เห็นน้องแล้ว เวลาที่เดินผ่านทางนั้นก็ยังนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง และก็ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่กล้าหาคำตอบ (เพื่ออย่างน้อยจะได้หยุดความฟุ้งซ่านไว้บ้าง) และคิดในใจหวังให้เรื่องร้าย ๆ ที่เคยกังวลทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสิ่งที่คิดไปเองและไม่จริง

No comments:

Post a Comment