26 September 2008

On ads, rhythm and the BTS

ครับ หัวข้อนี้ที่จริงค้างมาเดือนกว่าแล้วยังไม่ได้เขียนสักที จนชักน่ากลัวว่าจะเริ่มล้าสมัย ยังไงอาจจะต้องจินตนาการย้อนไปนิด คงไม่เป็นไรนะครับ

อยากจะพูดถึงเรื่องโฆษณา...

ปัจจุบันนี้ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสติดตามสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เท่าไรครับ (ห่างเหินกับกล่องสี่เหลี่ยมนั้นมากขึ้นทุกที)

ภาพยนตร์โฆษณาที่มีโอกาสได้เห็นส่วนใหญ่ก็จะเหลือแต่ที่ฉายบนสถานี/รถไฟฟ้า BTS เสียเท่านั้น

เพราะขนาดเพลง "เรื่องจริง" ของบอย(ด์) ที่ช่วงตอนอยู่ดมยา (วิสัญญี - ประมาณต้นเดือน ก.ค.) นับว่าได้ยินจากวิทยุในห้องผ่าตัดแทบจะทุกวัน วันละหลายครั้ง จนเกือบจะเอียน (แข่งกับ "เพื่อน" ที่ร้องใหม่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รัก สาม เศร้า) ผมยังเพิ่งจะทราบว่าเป็นเพลงประกอบโฆษณา Canon ก็ตอนที่เห็นอยู่ในอัลบั้ม Songs from Different Scenes #5 นี่เอง

ซึ่งเรื่อง SFDS นั่นก็ไม่ได้รู้มาจากไหน ก็โฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้านั่นแหละครับ

ความจริงเรื่องโฆษณาบนรถไฟฟ้า ชมรมหรี่เสียงกรุงเทพคงไม่เห็นด้วยเท่าไร

ซึ่งเรื่องเสียงดังนี่ผมก็เห็นด้วยอยู่เหมือนกันนะครับ แต่พูดไปก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าตัวกลายเป็น [hypocrisy] หรือเปล่า เพราะผมก็อาศัยโฆษณาเหล่านั้นเพื่อความบันเทิงเหมือนกัน (แต่ก็สังเกตอยู่ว่าระดับความดังมันฟังดูไม่ค่อยจะเสมอต้นเสมอปลายเอาเท่าไร)

เอาเถอะนะครับ ยังไงก็อยากจะขอพูดถึงโฆษณาที่เห็นช่วงที่ผ่านมา (บวกกับอีกเดือนเศษ) สักหน่อย

ผมชอบโฆษณา "50 ปี การไฟฟ้านครหลวง" ครับ

<a href="//www.youtube.com/watch?v=MjCsCZb2VdE">Link</a>

ด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักการสร้างสรรค์สื่อโฆษณาแต่อย่างใด ก็จะไม่ขอวิจารณ์รายละเอียดนะครับ

นอกจากนี้ก็มีโฆษณาของธนาคารกสิกรไทย ที่ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายหรอกครับ เพียงผมรู้สึกว่าสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้คนดูจำได้ดีมาก (แต่จะกลายเป็นจำโฆษณาได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์หรือเปล่านี่ไม่ทราบนะครับ) ขนาดที่ผมเห็น trailer โฆษณาตัวอย่างภาพยนตร์ของจริงบางอันแล้วยังนึกว่าตอนจบจะเป็นโฆษณาธนาคารกสิกรไทย แต่ไม่ใช่เสียนี่

ส่วนโฆษณาที่น่ารำคาญที่สุด (ซึ่งจากการ google ดูคร่าว ๆ ผมว่ามีคนเห็นด้วยกับผมไม่น้อย) ก็คงไม่พ้นโฆษณาชุด "นามาฉะ นะมาชะ กรีนลาเต้" ครับ (อันนี้ไม่ต้องใช้ความรู้ด้านการสร้างสรรค์สื่อในการวิจารณ์)

ความน่ารำคาญนี่ไม่เกี่ยวกับข้อที่น่าสงสัยว่าทำไมถึงสะกดชื่อผลิตภัณฑ์แบบนั้น (เข้าใจว่าคงไม่เขียนตามเสียงอ่านว่า นามาฉะ แต่ทำไมถึงสะกดว่า นะมาชะ แทนที่จะเป็น นะมะชะ ถ้าจะถอดคำตามภาษาต้นแบบ?)

แต่นอกจากความน่ารำคาญโดยพื้นฐานที่ใครเห็นก็คงรู้สึกได้ (การทำหน้าบู้บี้แล้วพูดอะไรไม่รู้เรื่อง) ความไร้เหตุผลของแนวคิดของตัวโฆษณานี่ ผมว่าเกือบจะแย่กว่าด้วยซ้ำ

เพราะความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว Namacha คือชื่อผลิตภัณฑ์ green แปลว่าเขียว latte แปลว่ากาแฟใส่นม

รวมกันก็เป็น นามาฉะ กาแฟเขียว ไม่เห็นมีอะไรน่างงตรงไหนแม้แต่น้อย (นอกจากชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งถ้าอันนั้นเป็นปัญหาก็ไปเกิดใหม่เถอะ)

จะมา ชานามา เขียวแฟกา มาชานา แฟกาเขียว ฯลฯ ทำบ้าอะไร เพื่อ?

เลิกฉายไปนี่โล่งใจเวลาขึ้นรถไฟฟ้าขึ้นเยอะครับ (ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครคิดจะอัพโหลด)

ส่วนโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งที่ผมรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ คือโฆษณา "ทิปโก้ คูลฟิต" ชิ้นนี้ครับ

<a href="//www.youtube.com/watch?v=L8Tcge79cJE">Link</a>

ไม่แน่ใจว่าคนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมจะขออธิบายความรำคาญของผมดังนี้ครับ

ขอถอดจังหวะเพลงในโฆษณาให้ดูดังนี้ (โน้ตบรรทัดล่างไว้ให้เทียบนับจังหวะ)

อาจจะดูยุ่งเหยิงไปหน่อย แต่ประเด็นคือ สังเกตเนื้อหาของเพลงส่วนที่คล้ายกัน เช่น ช้อบชอบ ว่าตรงกับจังหวะที่ 7, 12, 20, 25 ตามลำดับ

ปัญหาก็คือไม่มีค่า a ใดที่ทำให้ (xia) มีค่าหารร่วมมากเป็นจำนวนเต็มที่มากกว่าหนึ่ง สำหรับ i∈{1,2,3,4} เมื่อ x คือหมายเลขจังหวะข้างต้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพยายามแบ่งห้องให้กับโน้ตเพลงข้างต้นแล้ว จะพบว่ามันแบ่งไม่ลงตัว

ต้องมีห้องประหลาดที่มีจังหวะเกินมา ถึงจะทำให้เพลงลงพอดีห้องได้

ความจริงผมเองก็ไม่เคยได้เรียนทฤษฎีดนตรีมาแต่อย่างใด และก็ยังไม่มีโอกาสได้อ่าน This Is Your Brain on Music โดย Daniel J. Levitin (วันก่อนเห็น The World In Six Songs โดยผู้แต่งคนเดียวกันเพิ่งวางแผงที่ Kinokuniya) ก็ไม่ทราบว่าความเข้าใจของผมเหล่านี้จะถูกต้องแค่ไหน

แต่การที่องค์ประกอบของเพลงเพลงหนึ่งจะหารลงตัวได้นั้น ผมว่าสำคัญมากต่อความน่าพึงประสงค์ของเสียงที่จะเกิดขึ้นมา

ลองเปรียบเทียบ ช้อบชอบ ข้างต้น กับในเพลงนี้ของยุ้ย ญาติเยอะ ที่ถึงแม้ชื่อเพลงจะสะกดไม่เป็นภาษา แต่อย่างน้อยองค์ประกอบของเพลงก็หารลงตัว (สังเกตท่อนสร้อย ตั้งแต่ประมาณวินาทีที่ 60)

<a href="http://www.imeem.com/itums/music/qG9ObC1P/yui/">Link</a>

ฟังดูรื่นหูกว่าใช่ไหมครับ

อีกตัวอย่างหนึ่ง (ที่อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไร แต่หาเรื่องโพสท์) คือ Potter Puppet Pals in "The Mysterious Ticking Noise" ที่ชนะเลิศ YouTube Awards 2007 ประเภท comedy ครับ

<a href="//www.youtube.com/watch?v=Tx1XIm6q4r4">Link</a>

...

ความจริงแล้วโฆษณาทิปโก้ข้างต้น อย่างน้อยโครงสร้างของสามห้องแรกกับสามห้องหลังก็ตรงกัน อาจจะถือว่ายอมรับได้ในระดับหนึ่ง (หรือยอมรับได้? อย่างที่บอก ว่าไม่มีความรู้)

เพราะยังไงก็คงไม่กวนโสตประสาทได้เท่าริงโทนของ PCT รุ่นหนึ่ง ที่ฟังแล้วอยากจะตามไปฆ่าเสียบประจานทำร้ายคนแต่ง เพราะเอาทำนอง theme ของ the Pink Panther มาใส่จังหวะเกินเข้าไปจนฟังไม่ได้ดังนี้ครับ

[ภาพประกอบจะตามมาภายหลัง]

ความจริงแล้วน่าสงสัยนะครับ ว่าความสามารถในการรับรู้ความลงตัวของจังหวะเพลงที่ว่ามานี้ อาจจะมีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้องอยู่ด้วย (นึกถึงข่าว Perfect Pitch May Be Genetic ที่เคยเห็นใน WebMD)

เพราะไม่อย่างนั้นจะมีคนแต่งริงโทนดังกล่าวออกมา หรือเจ้าของโทรศัพท์ที่ผมเคยได้ยินจะทนใช้อยู่ทุกวันได้อย่างไร

...

ก่อนจะจบ ขอย้อนกลับมาเรื่องโฆษณาอีกครั้งดีกว่าครับ

คือจะขอแปะภาพยนตร์โฆษณาที่ผมยังคงชอบเป็นอันดับต้น ๆ ชิ้นนี้

<a href="//www.youtube.com/watch?v=6UOEw88MQFU">Link</a>
Sharing โดย TA Orange ครับ

ซึ่งพูดถึง TA Orange แล้ว ก็โยงกลับมาหารถไฟฟ้า BTS ได้อีก...

คงจะจำได้นะครับ ว่าโฆษณาเปิดตัวของ Orange เป็นโฆษณาชุดแรกที่มีการโฆษณาบนรถไฟฟ้าแบบเต็มขบวนทั้งด้านในและด้านนอก ด้วยสโลแกน "The future's bright, the future's Orange." (ซึ่งปัจจุบันนี้ Orange ก็เลิกใช้ไปแล้ว)

ผมเองยังว่าเป็นโฆษณาที่เปิดตัวได้อย่างสวยงามโดยแท้ และหลาย ๆ คนก็คงจะยังจำภาพยนตร์โฆษณาที่กวาดรางวัล TACT Awards ปี 2002 ไปได้ถึง 5 รางวัลนั้นได้เป็นอย่างดี

ก็จะขอส่งท้ายเอ็นทรีนี้ด้วย Get Closer ครับ

<a href="//www.youtube.com/watch?v=luD8ibJFevA">Link</a>

*Note: Copyright of posted media are owned by their respective owners.

3 comments:

  1. ชอบเอนทรี่นี้ครับ

    และ

    ไม่มีความรู้ทางทฤษฏีดนตรีเลยครับ

    (แต่ผมชอบ เรื่องจริง โคตร ๆ เลยนะ)

    ReplyDelete
  2. อื่ม ความจริงถ้าเสียง Ring Tone เป็นเสียงที่ฟังแล้วน่ารำคาญ ก็นับว่าประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของการทำหน้าที่ Ring Tone ของมันแล้วไม่ใช่รึ

    ก็ลองนึกดูว่าเสียงอะไรที่น่ารำคาญที่สุดในโลก ความจริงก็เพิ่งถกประเด็นนี้ร้อน ๆ เร็ว ๆ นี้เลยล่ะ สำหรับเรามันคือเสียงนาฬิกาปลุก เสียงโทรศัพท์มาตรฐาน เสียงแตรรถ เสียงกริ่งบ้าน ออดบอกเวลาเริ่มและเลิกเรียน ซึ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นเสียงที่ต้องทำให้รำคาญ ถึงจะกระตุ้นได้ถูกจุดประสงค์

    พูดมาตั้งยาวแค่จะเห็นด้วยว่า Ring Tone น่ารำคาญน่ะถูกแล้ว 555+

    ส่วนเรื่องโฆษณา เนื่องจากว่าไม่ได้ดูเลยซักกะนิดเลยไม่วิจารณ์ดีกว่า (ดูแต่ช่องที่ไม่มีโฆษณา หุหุ)

    แต่โฆษณาทางคลื่นวิทยุ (ขนาดไม่มีภาพ มีแต่เสียง) ก็ยังมีอันที่แทบอยากปิดทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอด การทำให้โฆษณาน่ารำคาญคงไม่ใช่เป้าหมายแบบเดียวกับไอ้ประเด็น Ring Tone ข้างบน เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ที่ต้องสร้างความรำคาญ แต่โฆษณาที่น่ารำคาญนี่ จะว่าไม่ประสบความสำเร็จในการโฆษณาก็ไม่เชิง เพราะเราก็จำผลิตภัณฑ์และตัวโฆษณาได้ขึ้นใจเลยทีเดียว แต่ถ้าผลในแง่ของการขายก็คงติดลบอยู่น่ะ เพราะหมั่นไส้ ถ้าไม่จำเป็นคงไม่ซื้อ

    จะว่าไปแล้วก็มีโฆษณาบางตัวที่อยากดูแต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูซักทีอยู่เหมือนกัน เฮ้อ... ท่าทางคงต้องดูใน You Tube

    ขอตั้งกระทู้เรื่องการใช้ดารามาโฆษณาดีกว่า คำถามคือว่ามันมีผลต่อการเลือกซื้อแค่ไหน สำหรับเรา เราไม่เห็นว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น นอกไปซะจากจะรู้จักสินค้าชิ้นนั้นเพิ่มเท่านั้น

    ที่พูดขึ้นมาเพราะ Super Junior ที่ถ่ายโฆษณา Fino หรือ ดงบังฯที่เคยถ่ายโฆษณามอเตอร์ไซค์เหมือนกัน มันส่งผลต่อยอดขายจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่ดูด้วยตา คนตามดงบังฯหรือ SuJu ก็ไม่ขี่รถพวกนี้ คนที่ขี่รถพวกนี้ก็ไม่ดู K-pop หรือว่าไง?

    ปล. แล้วก็ว่างนั่งแกะดนตรีอ่ะนะ...

    ReplyDelete
  3. เราจะรำคาญเพลงเนื่องจากทำนองมันไม่เพราะมากกว่าเรื่องจังหวะไม่ลงตัวแฮะ

    ที่จริงเพลง(คลาสสิก)ในยุคหลังๆ ก็มีการใช้อัตราจังหวะที่แปลกๆ ไม่ลงตัวกันมากขึ้น กับบางเพลงก็ฟังดูจิตๆ แต่บางเพลงกลายเป็นฟังดูดีกว่าเดิมก็มี

    คุณพอลองแบ่งเพลงนี้ใหม่ มันอาจจะแบ่งให้คำว่า "ช้อบชอบ" มาตกจังหวะหลักได้ทั้งหมดก็ได้ เช่นแบ่งจังหวะเป็น 3 4 3 4 สลับกัน หรืออื่นๆ

    ReplyDelete