วันนี้เป็นวันเอดส์โลก
ไล่ดูก็เห็นว่าครั้งแรกที่เขียนถึงบนบล็อกนี้ก็ 20 ปีที่แล้วพอดี
และครั้งล่าสุดที่เขียนถึง HIV exceptionalism ก็ 10 ปีก่อน
ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนับทศวรรษ เรามาถึงไหนกันแล้วนะ?
ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ที่พัฒนาไปมาก ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับการรักษาและการป้องกันการติดต่อของโรค จนสถานะของเอชไอวี/เอดส์ นับได้ว่าเปลี่ยนจากวิกฤตสาธารณสุขอันดับต้น ๆ มาเป็นโรคเรื้อรังหนึ่งในหลายโรคที่ต่างมีความสำคัญ
แต่ยิ่งการแพทย์ก้าวหน้าไปเท่าไร เอชไอวี/เอดส์ก็เหมือนจะยิ่งถูกลืมเลือนไปจากความรับรู้ของสังคม
ขณะที่ปัญหาอคติที่นำไปสู่การตีตราและเลือกปฏิบัติก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ในมุมหนึ่ง สังคมก็คงจะค่อย ๆ ลืมอคติเหล่านั้นไป พร้อม ๆ กับที่ลืมความน่ากลัวของวิกฤตโรคเอดส์เมื่อ 40 ปีก่อน
แต่นั่นก็แปลว่าเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมัน
และกว่าจะถึงวันนั้น มันก็ย่อมไม่โอเคที่เราจะปล่อยให้อคติเหล่านั้นดำรงอยู่และสร้างความอยุติธรรมในสังคมต่อไปเรื่อย ๆ
หากเราจะมูฟออนก้าวผ่านความทรงจำของช่วงวันเวลาที่เอชไอวี/เอดส์เป็นโรคมฤตยูที่คนต้องหวาดกลัว เราก็ต้องนำพาสังคมให้ก้าวข้ามและทิ้งทัศนคติเก่า ๆ ที่เป็นภาระตกทอดมาจากยุคมืดเหล่านั้นไปด้วย
เอาจริง ๆ ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทัศนคติต่อเอชไอวี/เอดส์ของสังคมทุกวันนี้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ รุ่นใหม่ มันเป็นยังไงบ้างแล้ว
ก็คงเพราะเราปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ถูกลืมและไม่ได้พูดถึงกันนั่นแหละ
แต่ถ้าเราไม่ต้องการปล่อยให้ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นสูญเปล่า เราก็ต้องอย่าลืมที่จะพูดถึงมัน เพื่อที่จะชักนำและปรับปรุงทัศนคติของทั้งตัวเราเอง และของสังคมโดยรวม ให้สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไกลมากแล้ว
No comments:
Post a Comment