บทความที่แล้วเปิดซีรีส์ไปด้วยการบ่นระบบทหาร ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนด้วยเท่าไร ตราบที่ทหารยังอยู่ส่วนทหาร (และไม่คำนึงว่ามีกฎหมายบังคับให้รับราชการทหารอยู่) ความงี่เง่าของระบบเหล่านั้นก็ไม่น่ากระทบอะไรกับประชาชนพลเรือนทั่วไป
แต่เรื่องของเรื่องคือ ระบบเหล่านั้นมันไม่ได้จำกัดขอบเขตตัวเอง วันนี้จะขอพาเข้าประเด็นหลักโดยยกพาดหัวรองจากบทความ The New York Times เมื่อ พ.ค.ที่แล้ว ที่เคยอ้างถึงในเอ็นทรี หัวเกรียน? ชุดนักเรียน?
In Thailand’s Schools, Vestiges of Military Rule
ประเด็นที่อยากจะอภิปรายวันนี้ คือองค์ประกอบของระบบทหารที่เราต่างพบเห็นกันเป็นประจำในพื้นที่สถาบันการศึกษาไทย หรือ “school regimentation” ที่กล่าวถึงในชื่อบทความดังกล่าวนั่นเอง
ผมคงไม่ขอร่วมวิเคราะห์ว่าธรรมเนียมการเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่งเครื่องแบบ ตัดผมสั้น เชื่อฟังคำสั่งครู ฯลฯ ในโรงเรียนนั้นมีที่มาเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบทหารในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรหรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าธรรมเนียมเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ยังคงแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน
และด้วยความฝังลึกนี้ ทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมเนียมการปฏิบัติดังกล่าว เราก็มักได้เห็นการอภิปรายถกเถียงเป็นวงกว้าง ทั้งในสื่อมวลชนและชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ และก็ไม่พ้นที่จะต้องได้เห็นข้อสนับสนุนที่ว่าธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ล้วนสำคัญ เพราะเป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยให้เยาวชนได้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต
ที่บทถกเถียงเหล่านี้ไม่เคยสร้างความเข้าใจที่ตรงกันได้ อาจเพราะความเห็นที่ต่างกันสุดขั้วก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแต่ละฝ่ายยังไม่เข้าใจว่า ระเบียบวินัย ที่ต่างอ้างกันนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เองก็ไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะให้คำจำกัดความไว้ซ้ำซ้อนกันว่า ระเบียบ คือ แบบแผนที่วางไว้เป็นแนวปฏิบัติหรือดำเนินการ
ส่วน วินัย คือ ระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ, ข้อปฏิบัติ
ผมจึงขอเสนอคำจำกัดความใหม่ สำหรับอธิบายแนวคิดของผมต่อประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยผมจะกำหนดให้ ระเบียบ (order) หมายถึงการปฏิบัติอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ส่วน วินัย (discipline) หมายถึงการควบคุมตนตามกาลเทศะอย่างสมควร
บอกแค่นี้อาจจะยังเห็นไม่ชัดเจนว่าแล้วตกลงมันต่างกันยังไง ลองดูตัวอย่างครับ ยกประเด็นต้นเรื่องเลยคือการเข้าแถว สมมุติว่าครูสั่งให้นักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งนักเรียนก็ยืนตรงได้ไม่ยุกยิก เข้าแถวเรียบร้อยเป็นแนวตรงทั้งแถวตอนแถวหน้ากระดาน อันนี้คือที่ผมเรียกว่ามีระเบียบ แต่หากนักเรียนเข้าแถวได้อย่างนั้นเฉพาะเวลาที่มีครูยืนคุมอยู่ ก็ไม่เรียกว่ามีวินัย เทียบกับการเข้าแถวต่อคิวรับถาดอาหารกลางวัน ถ้านักเรียนต่อคิวกันเป็นแถวโดยไม่ต้องคอยสั่ง ไม่มีคนแซงคิวแม้จะไม่มีครูคอยยืนคุม นั่นคือที่ผมเรียกว่ามีวินัย แม้อาจจะไม่ได้มีระเบียบ คือนักเรียนไม่ยืนตรง แถวเบี้ยวไปมาก็ตาม
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะพอเดาได้ว่าแนวคิดที่ผมจะเสนอคืออะไร ครับ เมื่อกำหนดความหมายแยกกันให้ชัดเจนแล้ว ผมเชื่อว่า วินัย คือสิ่งที่สำคัญต่อปกติสุขของสังคมมากกว่า เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่มีใครมาคอยคุมให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์และมารยาทของสังคมอยู่ตลอดเวลา คงไม่มีประโยชน์ที่ทุกคนจะสามารถเข้าแถวเคารพธงชาติได้ตรงเป๊ะทุกวันเช้าเย็น ถ้าเวลาขึ้นรถเมล์เราจะกลับยืนออเบียดเสียดแย่งกันแซงขึ้นรถตรงหน้าประตูจนผู้โดยสารบนรถลงไม่ได้ และก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะกำหนดฝั่งขวาหรือซ้ายของบันไดเลื่อนให้ยืนหรือเดิน หากกำหนดไปแล้วคนจะไม่ปฏิบัติตาม
ไม่ใช่ว่าระเบียบไม่สำคัญ เพราะเมื่อมีวินัยในการปฏิบัติอะไรแล้วก็ย่อมต้องอาศัยระเบียบช่วยกำหนดให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามมา ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับส่วนหนึ่งในคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่อ้างไว้ในบทความที่แล้ว ที่ใช้วงโยธวาทิตเป็นสัญลักษณ์แทนความงี่เง่าของระบบทหาร เพราะการควบคุมร่างกายให้ผสานเข้ากับจังหวะดนตรีนั้นก็ต้องอาศัยทั้งระเบียบและวินัยร่วมกันในระดับสูง ไม่ต่างจากที่สมาชิกวงออร์เคสตราต้องมีทั้งระเบียบและวินัยในการเล่นจึงจะบรรเลงดนตรีออกมาได้พร้อมเพรียงโดยไม่ผิดเพี้ยน
แต่การบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ (regimentation) ที่ปฏิบัติกันในโรงเรียนนั้น แม้จะสร้างสภาพที่มีระเบียบได้แต่ก็แค่ชั่วคราว และที่สำคัญ ไม่น่าจะช่วยปลูกฝังวินัยได้แต่อย่างไร เพราะอาศัยแต่การเฝ้าควบคุม (และอาจจะกดขี่) อยู่ตลอดเวลา สภาพบีบบังคับเช่นนี้ ถึงแม้ในเบื้องต้นอาจจะสามารถขู่ให้ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจเกรงกลัวและไม่กล้าละเมิดระเบียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่ในเบื้องลึกแล้วกลับเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกต่อต้าน ที่จะส่งผลในทิศทางตรงข้ามเมื่อมันมากจนทนไม่ไหว หรือเมื่อแรงบีบบังคับนั้นอ่อนลง
การปลูกฝังระเบียบและวินัยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระและมีความสามารถที่จะทำความรู้ความเข้าใจกับโลกรอบตัวได้ ครูจะตรวจผมตรวจเครื่องแบบนักเรียน จะยืนเฝ้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติเป็นสิบปี หากทำไปเพียงด้วยสภาพบังคับที่ไม่มีเหตุผล ก็คงไม่เหลืออะไรหลังจากที่นักเรียนเรียนจบพ้นเงื้อมมือครูไปแล้ว แต่การสอนให้นักเรียนรู้จักคิดถึงสังคมและคนรอบข้าง ให้เห็นและเข้าใจว่าการเข้าคิวจะช่วยให้ตนเองและเพื่อนทุกคนได้ทานอาหารกลางวันโดยเรียบร้อยตามความประสงค์ นั่นต่างหาก คือสิ่งที่โรงเรียนควรทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัย
No comments:
Post a Comment